myDear India :: day1
///////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////



** ธรรมเนียมการเดินทางใหญ่ปีละครั้งของเราเริ่มขึ้นอีกครั้ง
การเดินทางครั้งสำคัญ ตื่นตาตื่นใจ มีความสุขที่สุด สนุกที่สุด ชอบที่สุด
เปิดหูเปิดตาที่สุด ถ่ายรูปสนุกที่สุด และประสบการณ์เหนือคำบรรยายที่สุดของเรา
เริ่มต้นขึ้นเมื่อ 23 ตุลาคม 2555 ทริปนี้มีชื่อเต็มๆยาวๆว่า
“ทัวร์แคชเมียร์ ศรีนาคา สวนชาลิมาร์ กุลมาร์ค โซนามาร์ค ล่องทะเลสาปดาล”
เช้าตรู่ หกโมงเช้า คณะทัวร์ของเราไปรวมตัวพร้อมกันที่สนามบินสุวรรณภูมิ
เพื่อมุ่งไปสู่ดินแดนภารตะ ประเทศอินเดียอันเลื่องชื่อไปด้วยมนต์ขลังนั่นเอง
หลังจากการเที่ยว อินโดนีเซีย จีน ลาว และปีนี้สรุปลงตัวที่ประเทศอินเดีย
ความรู้สึกก่อนเดินทางไม่ต่างจากการได้ไปเที่ยวประเทศอื่นๆ แต่ที่ตื่นเต้น
คือการต้องเตรียมเสื้อโค้ท เพื่อไปสัมผัสอากาศหนาวและหิมะที่แคชเมียร์
ซึ่งตั้งอยู่ใจกลางเทือกเขาหิมาลัย แค่คิดก็ลุ้นแล้ว
ความหนาวยะเยือกที่เราพยายามเลี่ยงมาโดยตลอด เพราะเลือดน้อย ขี้หนาว
จะเป็นยังไงหนอ จะทนไหวไหม จะหนาวถึงขั้นไหนหนา





เครื่องบินสายการบินอินเดียทะยานออกจากกรุงเทพเวลา 8.55 น
เพื่อตรงไปสู่ท่าอากาศยานนานาชาติอินทิราคานธีร์ ณ เมืองเดลี
สิ่งที่ทำได้บนเครื่องบินคือ นอน ดูรายการจากจอคอมที่เครื่องบินเตรียมไว้ให้
เคี้ยวหมากฝรั่ง มองไปนอกหน้าต่าง ถ่ายรูปท้องฟ้า คุยกับเพื่อนร่วมทริป
สังเกตแอร์และสจ๊วต บิดตัวขยับก้นไปมาเพราะปวดเมื่อย
และลิ้มรสอาหารของสายการบินว่าเป็นเช่นไร ขาไปได้กินผัดไทยกุ้ง อร่อยดี
มิได้คิดไปเอง หลายเสียงบอกตรงกันว่าอร่อย ส่วนขนม ใช้ได้
พร้อมกับเปิดมิวสิควีดีโออินเดียไปด้วย เดี๋ยวนี้หนักข้อกว่าแต่ก่อน
ผู้คนออกมาเต้นเป็นหมู่คณะแบบจำนวนล้นหลาม นางเอกมิวสิคแต่งตัววาบหวาม
ดูแล้วคิดเทียบกับบ้านเรา ว่ามิวสิควีดีโอบางส่วนยิ่งทำยิ่งลงสู่เบื้องล่างกันหนักขึ้นทุกที
เครื่องบินพาผู้โดยสารมาถึงท่าอากาศยานนานาชาติอินทิราคานธีร์ เวลา 11.55 น
เวลาที่อินเดียช้ากว่าบ้านเราชั่วโมงครึ่ง ใช้เวลาเดินทางนับได้สามชั่วโมง







การตรวจคน (ต่างด้าวอย่างเรา) เข้าเมือง เป็นไปอย่างเข้มงวด
ที่นี่ตรวจทุกคนอย่างละเอียด เทียบกับไทยแล้วที่นี่มีเลเว็ลเข้มข้นกว่าสิบเท่า
ระหว่างทางไปสู่รถบัส เราเริ่มทำตัวเป็นนักท่องเที่ยวทันที
ใช้ตามอง ใช้มือถ่ายรูปรอบตัว ที่สนามบินอินทิราคานธีร์แห่งนี้
ตกแต่งด้วยงานศิลปะที่แทรกกระจายอยู่รอบๆสนามบิน สวยงามถูกใจเรายิ่งนัก
นอกอาคารแดดดี นับเป็นฤกษ์งามยามดีสำหรับการเที่ยว
ผู้คนท้องถิ่นรอบตัว ถ้าดูทางกายภาพแล้ว ดูเข้ม ดุ คมชัด ต่างกับเราโดยสิ้นเชิง



รถบัสนำคณะทัวร์ชาวไทยมุ่งไปสู่ภารกิจสำคัญแรก นั่นคือการกิน
ร้านนี้ชื่อ Aravarivilla ในใบนำเที่ยวบอกว่าเป็นภัตตาคารอาหารจีน
ภายในดูเรียบๆ น่านั่ง ตกแต่งทันสมัย มีชาวภารตะยี่สิบชีวิตนั่งกินข้าวอยู่อีกห้อง







บริกรผิวเข้ม คม ตาโต มีพุง ยิ้มแย้ม บริการเสิร์ฟชา และซุปร้อนๆให้กับทุกคน
ชาร้อนๆ กับเรา ช่างเหมาะเหม็ง สดชื่น กะปรี้กะเปร่าขึ้นอีกหลายกอง
อาหารที่นี่ส่วนใหญ่เป็นไก่ วัว แป้ง พร้อมผักและเครื่องเทศทั้งหลาย
เราจำได้ว่าเป็นมื้อแรกและเป็นมื้อที่อร่อยที่สุดของทริปนี้เลยก็ว่าได้





อิ่มแล้วเดินทางต่อทันที รถบัสประจำคณะเรามุ่งไปสู่ พิพิธภัณฑ์เมืองเดลี
ไปดูอินเดีย ผ่านศิลปะ ประติมากรรม เครื่องปั้นดินเผา พระพุทธรูป
ข้าวของเครื่องใช้นานาชนิด ภายในห้ามถ่ายรูป แต่ถ้าอยากถ่ายรูป
แค่จ่ายเพิ่มอีก 300 รูปี ได้ถ่ายรูปสมใจ ( 1 บาท เท่ากับ 1.75 รูปี โดยประมาณ)
ใครลักไก่ไม่จ่ายแล้วแอบถ่ายมีปรับ ภายในมีกล้องวงจรปิดทั่วไปหมด
ชั่งใจดูแล้วไม่ถ่ายรูปดีกว่า พอเข้าไปแล้ว มีประติมากรรมเก่าแก่อายุนับพันปี
ตั้งเรียงราย สวยงาม โดดเด่น แตกต่าง เต็มไปหมด ให้นึกถึงบ้านเรา
มีเหมือนกันแต่ไม่ค่อยได้ไปดูซักเท่าไหร่



เพราะไม่ได้ถ่ายรูป เลยคันไม้คันมือ หยิบสมุดเล่มเล็กที่พกติดตัวไปด้วยมาวาดเล่น
วาดแบบตามใจฉัน วาดของที่มีรายละเอียดน้อย วาดง่าย เพื่อไม่ให้เสียเวลามากนัก
เพราะคณะทัวร์ของเราเดินกันเร็ว และดูกันรวดเร็วมาก เราเลยรั้งท้ายอย่างเย็นใจไม่ได้
ภายในมีพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้าซึ่งขุดค้นพบจากเมืองกบิลพัศดุ์ด้วย
เดินดูเสร็จ ฝนอินเดียโรยตัวลงมาต้อนรับกันเยอะพอดู การเดินทางเลยช้าออกไปเล็กน้อย
สายตาเราพลันเห็นห้องสมุด น่าสนใจมาก เดินเข้าไปหมายจะหาหนังสือโบๆ สวยๆมาดู
แต่ถามเจ้าหน้าที่แล้ว ห้ามเข้า เข้ามิได้ เสียดายจุงเบย









ไม่นานเกินรอ ฝนซา ฟ้ากระจ่าง ไกด์รีบกวาดต้อนหมู่คณะทัวร์ให้ไปขึ้นรถ
ระหว่างทางเป็นเวลาที่เราชอบ ได้ดู ได้เห็น ได้ถ่ายรูป สิ่งที่เราสนใจ
คือคน บ้านเมืองและพาหนะ คนอินเดียใช้จักรยานกันเยอะเป็นปกติสามัญ
แถมจักรยานที่เห็นมีหน้าตาคล้ายๆกัน สีดำๆ ท่าทางบึกบืน ทนทาน คันใหญ่ๆ
เรียกได้ว่า ที่นี่นิยมก่อนกระแสจักรยานฟีเวอร์จะแพร่สะพัดไปทั่วโลกนานมากกก







รถของเรามาถึงจุดหมายในที่สุด นั่นคือ วัดอัครชาดาม (Akshadham)
วัดอันเป็นสถาปัตยกรรมแบบฮินดู สร้างโดย ผู้นำนิกาย Swamnarayan
ของศาสนาฮินดู ภายในห้ามถ่ายภาพ เราเลยต้องรีบเก็บภาพจากภายนอกไว้ก่อน
รวมทั้งเก็บภาพพี่น้องชาวอินเดียที่นั่งรถสามล้อมาชมวัดหลังฝนตกกันมากมาย
สังเกตให้ดีว่าสามล้ออินเดียเขานั่งหลังชนกันได้ ต่างจากบ้านเราที่นั่งได้คนสองคน
คงเพราะจำนวนประชากรของอินเดียเขา จะให้นั่งกันคันนึงน้อยคนคงไม่เหมาะ
พอเข้าไปในวัดให้ถึงกับต้องตกใจกันถ้วนหน้า ด้วยเหตุว่าวันนี้เป็นวันหยุดของคนอินเดีย
ผู้คนราวสองพันคนมารอต่อคิวกันเยอะแยะล้นหลาม และเนืองแน่น
ทำเอาหมู่คณะพี่ไทยใจคอไม่ดีว่าจะได้ชมวัดไหม แต่ด้วยว่าเวลาที่เริ่มเข้าสู่ช่วงเย็นแล้ว
จะเที่ยวที่อื่นต่อก็คงไม่ได้ เลยพร้อมใจลงมติว่าจะต่อคิวรอ
ระหว่างรอคิวก็เหมือนมีงานเทกระจาด มีการกั้นเชือก กั้นตรงไหน หยุดตรงนั้น แล้วรอต่อไป
แถวที่ได้ผ่านเข้าไป ก็วิ่งกันเป็นที่อึกทึกเอิกเริก ได้อารมณ์สุดๆ
ระหว่างรอก็มองดูคนอินเดีย เครื่องแต่งกายที่แตกต่างกัน เพลินมากๆ
เห็นแล้วอยากถ่ายรูปผู้คนน่าสนใจทั้งหลายเป็นที่สุด แต่กล้องอยู่ในรถ
พี่ที่ไปด้วยกัน ไปอำกลุ่มเด็กอินเดียว่า คนไทยคนนั้นเป็นซุปตาร์จากไทยแลนด์นะยู
เด็กๆเลยกรูกันไปขอถ่ายรูป พร้อมชวนคุยระหว่างรอกันสนุกสนาน
ใช้เวลาราวๆเกือบชั่วโมงกว่าจะได้เข้าไปชมวัด แต่เพื่อให้เร้าใจเข้าไปอีก
ก่อนได้ชมมีการตรวจเข้มเรื่องระเบิด เรียกได้ว่าเข้มข้นไม่ลดละ
แต่พอได้เข้าไปในวัด รู้สึกทันทีว่าคุ้ม ด้านในเป็นประติมากรรมที่สลักเสลาด้วยหินทราย
สีอิฐเกือบทั้งหมด ละเอียดยิบ สวยงาม อลังการไปเสียทุกตารางนิ้ว
ฝีมือมนุษย์ล้วนๆ คิดอยู่ว่าคงได้เป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกในอนาคตอันใกล้
ชมวัดเสร็จ ออกมาดูของที่ระลึก แสงสุดท้ายหายหน้าไปแล้ว









การเดินทางไปโรงแรม เพื่อกินอาหารค่ำ และพักผ่อน
ใช้เวลาพอสมควร เพราะรถติด คนอินเดียเลิกงาน เดินทางกลับบ้าน
อารมณ์เหมือนได้เที่ยวต่อ ได้เห็นสภาพท้องถนนอินเดีย รถเต็มแน่น
บีบแตรกันโดยพร้อมเพรียง บีบกันโหวกเหวกด้วยท่าทีปกติธรรมดามาก
ผู้คน จักรยาน แพะ มอเตอร์ไซค์ ปนๆกันอยู่บนถนน สนุกสนาน อลหม่าน
คณะทัวร์ส่งเสียงชี้ชวนให้ดูภาพอันแสนอเมซซิ่งตรงหน้ากันไม่หยุด
คนไม่หลบให้รถ รถต้องหลบเอาเอง ภาพอินเดียเริ่มแจ่มชัดอยู่ตรงหน้า
พระเอกของค่ำนี้คือ เสียงแตร มันช่าง มากมาย ตลอดเวลา ไม่หยุดหย่อน
ไม่มีใครยอมใคร อื้ออึง อลหม่านไปหมด
ได้เกร็ดเล็กๆมาจากไกด์ว่า คนอินเดียกินข้าวเย็นประมาณสามทุ่ม
และนอนเร็ว ประชากรอินเดียที่อ้วนจึงมีเยอะ จริงหรือเท็จ เราก็ไม่แน่ใจนัก



ถึงโรงแรม Premier inn ในที่สุด ด้วยความระทึกกับสภาพที่ได้ผ่านพ้นมา
อาหารมื้อค่ำมื้อที่สองนับว่าไม่เลว แต่รสเริ่มเลี่ยนแล้ว



ภาพจากห้องพักในโรงแรม ก่อนจะทิ้งตัวลงนอนเอาแรง
เพราะไม่รู้ว่าต้องใช้พลังงานมากน้อยแค่ไหนในวันต่อไป นอนเร็วเป็นดีที่สุด
วันแรกของการเที่ยวอินเดีย ยังเป็นแค่น้ำจิ้มเล็กๆน้อยๆ
เพราะการเดินทางในอีกหลายวันที่เหลือ มีเรื่องสนุก สถานที่สวยงาม
และภาพอันน่าประทับใจรออยู่อีกมากมาย พบกันใหม่ในเร็ววันนี้ :)

///////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////



Create Date : 05 สิงหาคม 2556
Last Update : 12 ตุลาคม 2556 22:17:15 น.
Counter : 2222 Pageviews.

0 comments
วัดตะโหมด Wat Tamod, Phatthalung. nanakawaii
(11 เม.ย. 2567 09:28:07 น.)
ตะวันยอแสง ที่ ภูคกงิ้ว พายุสุริยะ
(7 เม.ย. 2567 18:27:17 น.)
Tobu Zoo (東武動物公園)ในวันที่ค่าเข้าแล้วแต่จะบริจาคตั้งแต่ 1 เยนขึ้นไป SN_monchan
(6 เม.ย. 2567 20:15:04 น.)
แผ่นดินไหว นิวยอร์ก ซิตี้ 4.8 Magnitude earthquarke newyorknurse
(6 เม.ย. 2567 03:45:46 น.)

Trytobeillustrator.BlogGang.com

ถ่านหินจำศีล
Location :
สมุทรสงคราม  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 63 คน [?]

บทความทั้งหมด