ขับไป-เที่ยวไป จากเขื่อนป่าสัฯ ถึงโคราช





ขับไป - เที่ยวไป
จากเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ถึงโคราช



25 ตุลาคม 2008
ก่อนถึงเขื่อนฯ


ต้องย้อนหลังไปถึงเรื่องก่อนหน้านี้ คือ "วันฝนพรำ ที่อัมพวา" ซึ่งเป็นการเดินทางต่อเนื่องจากคราวนั้น โดยหลังจากที่เราออกจากสมุทรสงคราม เราก็ขับตรงมาที่เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ที่จังหวัดลพบุรีแบบรวดเดียวจบ จะมีพักบ้างก็แค่แวะเข้าห้องน้ำห้องท่าเท่านั้น เพราะเราออกจากดอนหอยหลอด ก็บ่ายสามโมงกว่าๆแล้ว กว่าจะถึงเขื่อนป่าสัก ก็ปาเข้าไปหกโมงเย็น แถมวกเข้าเส้นทางเล็กๆ ที่ไม่ค่อยจะมีใครใช้อีก แทนที่จะแยกเข้าตรง อ.พัฒนานิคม ทำให้เสียเวลาเข้าไปอีก เพราะยิ่งใกล้เขื่อนเราก็จะเจอชาวบ้านกำลังต้อนวัวนมเข้าคอกยามเย็นกัน ทำให้ฝูงวัวเหล่านั้นยึดถนนเราไปเกือบหมด

เรื่องผจญภัยเรายังมีต่อ เพราะเข้าไปที่เขื่อนเพื่อหาที่พัก เจ้าหน้าที่บอกว่าที่พักเต็มหมดแล้ว ถ้าจะพักก็เหลือแต่เต้นท์ เราถามเขาว่าพอจะแนะนำที่พักเป็นรีสอร์ทแถวๆนี้ได้ไหม เขาก็แนะนำเราไปที่ "ภัทร-ประภา รีสอร์ท" ซึ่งอยู่ขอบอ่างด้านบน เราจึงเลือกค้างกันที่นั่น ก่อนที่จะออกเดินทางตามหัวเรื่องที่จั่วไว้ได้บน.










ภัทร-ประภา รีสอร์ท




อันที่จริงเราไปถึงบริเวณที่พัก ที่เขื่อนป่าสักมืดไปซักหน่อย เลยทำให้มองไม่เห็นบรรยากาศรอบๆบริเวณที่พัก ซึ่งก็คล้ายๆเกาะ ปลูกต้นมะพร้าวล้อมรอบ และสวยงามมาก ผู้คนมาพักโดยการกางเต้นท์มากมาย ดูได้จากรถยนต์ที่จอดอยู่ที่ลานจอดรถ แต่อย่างที่บอกนั่นแหละครับ เรามาถึงมืดเกินไป....




บริเวณรีสอร์ท




เห็นกล้วยไม้สวยดี เลยเก็บภาพมาฝาก




ที่พัก : ออกจากสี่แยกแล้วตรงขึ้นไปทางเหนือประมาณ ซัก 1 กม. เราจะเห็นที่ป้าย.... รีสอร์อยู่ทางขวามือ เราแวะเข้าไปติดต่อ โชคดีที่ยังเลือห้องพักอยู่ห้องหนึ่ง เป็นบ้านแฝดชื่อห้อง "พาฝัน 2" ปลูกอยู่ท่ามกลางการประดับประดาด้วยไม้ดอก ไม้ใบ และตกแต่งแบบธรรมชาติ เงียบสงบ ด้านหน้าจะมองเห้นเวิ้งน้ำในเขื่อนฯ และสะพานรถไฟที่ทอดข้ามทะเลสาบ เขื่อนป่าสักฯ บริเวณที่ทำรีสอร์ท ก็ไม่กว้างนัก แต่เจ้าของเขาทำน่ารักดี





เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์



ทะเลสาบเขื่อนป่าสักฯ (ช่วงฝนตก)




เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ตั้งอยู่ ณ บ้านหนองบัว อำเภอพัฒนานิคม จังหวัดลพบุรี เป็นเขื่อนดินที่ยาวที่สุดในประเทศไทย ซึ่งแม่น้ำป่าสักมีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 13 ในจำนวน 25 ลุ่มน้ำของประเทศไทย เป็นพื้นที่ลุ่มน้ำประมาณ 14,520 ตารางกิโลเมตร มีลักษณะของลุ่มน้ำแคบเรียวยาว แหล่งต้นน้ำอยู่จังหวัดเลย ลำน้ำมีความยาว 513 กิโลเมตร ไหลผ่านจังหวัดเพชรบูรณ์ ลพบุรี สระบุรี และมาบรรจบกับแม่น้ำเจ้าพระยาที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา มีปริมาณน้ำท่าเฉลี่ยประมาณ 2,400 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี












พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานพระราชดำริเมื่อ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2532 ให้กรมชลประทานศึกษาความเหมาะสมของโครงการเขื่อนกักเก็บน้ำแม่น้ำป่าสักอย่างเร่งด่วน เพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนน้ำ เพื่อประโยชน์ต่อพื้นที่เพาะปลูก และ บรรเทาปัญหาอุทกภัยที่เกิดขึ้นประจำในลุ่มน้ำป่าสัก เป็นผลสืบเนื่องมายังเขตกรุงเทพมหานคร และเขตปริมณฑลด้วย ซึ่งนำความเดือนร้อนมาให้ราษฎร์เกือบทุกปี ต่อมาเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2536 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานพระราชดำรัส เนื่องในวโรกาสวันเฉลิมพระชนพรรษา เกี่ยวกับการพัฒนาแหล่งน้ำของกรมชลประทานว่า หากเริ่มดำเนินการตั้งแต่ปัจจุบัน ก็สามารถแก้ปัญหาน้ำท่วม ภัยแล้ง และขาดแคลนน้ำให้กับประชาชนได้ จะต้องก่อสร้างเขื่อน 2 แห่ง ที่แม่น้ำป่าสัก และแม่น้ำนครนายก ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้อนุมัติให้ดำเนินการ เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2537 โครงการนี้ใช้เวลาก่อสร้าง 5 ปี ระหว่าง พ.ศ. 2537 - 2542 และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระกรุณาพระราชทานนามเขื่อนนี้ว่า "เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์" อันหมายถึง "เขื่อนแม่น้ำป่าสักที่เก็บกักน้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ" เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ได้เริ่มเก็บกักน้ำครั้งแรกเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2541 ซึ่งสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้ทรงพระกรุณาเสด็จพระราชดำเนินมาทรงเป็นประธานในพิธี เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ มีลักษณะเป็นเขื่อนดิน แกนดินเหนียว ความยาวประมาณ 4,860 เมตร ระดับกักเก็บน้ำสูงสุดที่ +43.00 เมตร เหนือระดับน้ำทะเลปานกลาง ปริมาณกักเก็บน้ำ 960 ล้านลูกบาศก์เมตร และมีอาคารระบายน้ำ 3 แห่ง คือ


- อาคารระบายน้ำล้น ระบายน้ำได้สูงสุดวินาทีละ 3,900 ลูกบาศก์เมตร
- อาคารท่อระบายน้ำลงลำน้ำเดิม ระบายน้ำได้สูงสุดวินาทีละ 80 ลูกบาศก์เมตร
- อาคารท่อระบายน้ำฉุกเฉิน ระบายน้ำได้สูงสุดวินาทีละ 65 ลูกบาศก์เมตร
















การก่อสร้างเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ใช้งบประมาณรวมทั้งสิ้น 23,36 ล้านบาท เป็นค่าก่อสร้าง ด้านชลประทาน 7,831 ล้านบาท งบประมาณแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม 15,505 ล้านบาท โครงการพัฒนาลุ่มน้ำป่าสักอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ได้ก่อสร้างเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ และงานอื่น ๆ ซึ่งเป็นส่วนประกอบเสร็จสมบูรณ์และ เพื่อเป็นโครงการเฉลิมพระเกียรติในวาระที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ในวันพฤหัสบดีที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2542











ประโยชน์ของเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์
- เป็นแหล่งน้ำเพื่อ อุปโภค ของชุมชนในเขตจังหวัด ลพบุรี - สระบุรี
- เป็นแหล่งน้ำเพื่อการเกษตรในพื้นที่ชลประทานที่เกิดใหม่ในเขตจังหวัดลพบุรี-สระบุรี
- ช่วยป้องกันอุทกภัยในเขตพื้นที่ริมแม่น้ำป่าสัก ในเขตจังหวัดลพบุรี-สระบุรี และ ช่วยบรรเทาอุทกภัยในพื้นที่ตอนล่างของแม่น้ำเจ้าพระยา รวมถึงกรุงเทพฯ และเขตปริมณฑลด้วย
- เป็นแหล่งเพาะพันธ์ปลา และเป็นแหล่งประมงน้ำจืดขนาดใหญ่
- เป็นแหล่งน้ำเสริม เพื่อแก้ปัญหาขาดแคลนน้ำอุปโภคบริโภคในเขตกรุงเทพฯ
- เป็นแหล่งท่องเที่ยว




บ้านพัก




ทุ่งทานตะวัน
ช่วงที่ไปปรากฏว่าดอกทานตะวันที่ อำเภอพัฒนานิคม ที่เราตั้งใจจะไปดูยังไม่บานเต็มที่ คือเพียงเริ่มบานที่แถวๆ ซอย 26 ..... ตอนเ้ช้าที่เราขับออกจากเขื่อนมา ก็เลยเสี่ยงดวงเอาว่า จะไปดูแถวๆอำเภอวังม่วง จังหวัดสระบุรี ทางที่เราจะผ่านออกไปมวกเหล็ก ซึ่งน่าจะบานให้เราเห็นบ้าง เพราะเคยอ่านเจอว่าแถวๆวังม่วงดอกทานตะวันก็บานไม่แพ้ พัฒนานิคม เพียงแต่บิริเวณเล็กกว่าเท่านั้นเอง เราเจอลุงที่ทางไปวังม่วง เลยได้ความว่าปัจจุบันชาวบ้านเปลี่ยนไปปลูกมันสำปะหลังกันมากขึ้นเลยทำให้ปริมาณไร่ทานตะวันลดลง และวันที่เราไปแวะถ่ายภาพก็ยังไม่บานอีกต่างหาก...


















ทุ่งทานตะวันที่อำเภอวังม่วง ที่รอการออกดอก





อุโมงค์ต้นไม้-ไร่องุ่น

ตั้งอยู่ในเขต อุทยานแห่งชาติน้ำตกเจ็ดสาวน้อย เป็นทิวทัศน์ที่มีความสวยงามแปลกตา อยู่บนทางหลวงจังหวัดหมายเลข 2089 เส้นทางมวกเหล็ก-วังม่วง ทางทิศตะวันตกของพื้นที่ อยู่ที่ ต.แสลงพัน อ.วังม่วง จ.สระบุรี

อุโมงค์ต้นไม้เกิดจากต้นไม้ที่อยู่ริมสองข้างทางที่มีเรือนยอดโค้งเข้าหากันจนดูคล้ายอุโมงค์ ก่อให้เกิดความสวยงามและความร่มรื่นแก่ผู้ที่ขับรถผ่านได้ตลอดวัน ยาวประมาณ 100 เมตร







มีผู้รู้บอกเราว่าตอนที่เขาสร้างทางสายนี้ เขากลัวดินพังถล่มทับทาง จึงอยากจะคลุมดินด้วยต้นกระถิน ว่ากันว่าเขาโปรยเมล็ดจากเครื่องบินเลยทีเดียว..... การเดินทางผ่านบริเวณนี้ จึงเหมือนขับรถลอดเข้าไปในอุโมงค์ที่ร่มรื่น หลายคนที่ขับผ่านอดไม่ได้ ที่จะเก็บภาพบริเวณนั้นไว้เป็นที่ระลึก..... อยู่ไม่ห่างกันนัด เขามีเนินพิศวงไว้ให้ทดสอบ แต่เราก็ไม่ได้ลองดูว่า เนินนี้จะมีอะไรน่าพิศวงบ้าง





อุโมงค์ต้นไม้





ออกจากอุโมงค์ต้นไม้ เราก็ขับต่ออกมาทางมวกเหล็ก จะเจอชื่อไร่ต่างๆ พร้อมรีสอร์ทที่พักมากมาย บรรยากาศตามเส้นทางช่วงปลายฝน-ต้นหนาวนี้ สวยงามต้นไม้ขึ้นเขียวชะอุ่ม จึงทำให้เรามองดูทิวทัศน์สองข้างทางแบบสบายตา หรือที่เขาเรียกกันว่าสวยงามตามธรรมชาตินั่นเอง

ไม่ไกลนักเราก็ถึงไร่องุ่นแม่มาลี เราแวะเพื่อเดินเข้าไปชมไร่ ซึ่งแปลงองุ่นบางแปลงถูกเก็บเกี่ยวผลองุ่นไปหมดแล้ว มีเพียงอีกแปลงที่ยังพอหลงเหลือให้เราเก็บภาพมาฝากเพื่อนๆนักเดินทาง ข้างๆทางเดินเขาเลี้ยกวางเอาไว้ เป็นพันธุ์กวางดาวจากเวียดนาม ในไร่นี้เจ้าของไร่เขาเปิดเพลงเบาๆตามสายให้เราฟังด้วยขณะเดินชมภายในบริเวณ...





องุ่นที่รอการเก็บ




น้องกวางดาวพันธุ์จากเวียดนาม





ออกจากไร่องุ่นไม่ไกลนัก จะมีป้าบบอกทางเลี้ยวซ้ายเพื่อไปน้ำตกเจ็ดสาวน้อย ขับผ่านออกไปซักพักก็จะเจอทางไปน้ำตก เราเลี้ยวซ้ายอีกครั้ง ตามทางไปเรื่อยๆ ก็จะถึงป้ายบอกน้ำตกเจ็ดสาวน้อย เลี้ยวขวาเข้าไปที่จอดรถ โดยรับบัตรจอดรถตรงทางเข้าไม่ต้องจ่ายสะตังค์แต่อย่างใด..







น้ำตกเจ็ดสาวน้อย

วนอุทยานน้ำตกเจ็ดสาวน้อยอยู่ในท้องที่อำเภอมวกเหล็ก จังหวัดสระบุรีและอำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา อยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าทับกวาง-มวกเหล็ก แปลง 1 และป่าสงวนแห่งชาติป่าดงพญาเย็น มีเนื้อที่ประมาณ 540 ไร่ กรมป่าไม้ได้ประกาศจัดตั้งเป็นวนอุทยาน เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2523







ลักษณะภูมิประเทศ
อุทยานแห่งชาติน้ำตกเจ็ดสาวน้อยมีพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นภูเขาสลับซับซ้อนสลับกับที่ราบ ลักษณะพื้นที่ค่อนข้างแห้งแล้งมีหน้าดินตื้น มีความสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลางอยู่ในช่วง 180-402 เมตร จุดสูงสุดของพื้นที่อยู่บริเวณโชคชัยพัฒนา มีความสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลาง 402 เมตร รองลงมาคือเทือกเขาที่อยู่ตอนกลางของพื้นที่ และเทือกเขาบริเวณบ้านดงน้ำฉ่า มีความสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลาง 386 และ 359 เมตร ตามลำดับ บริเวณเชิงเขาด้านทิศตะวันออกและทิศเหนือของพื้นที่ติดคลองมวกเหล็กซึ่งมีน้ำไหลผ่านตลอดปี และไหลลงสู่แม่น้ำป่าสักที่อำเภอวังม่วง ส่วนบริเวณตอนกลางของพื้นที่มีลำห้วยเล็กๆ ไหลผ่าน ได้แก่ ห้วยแล้ง ซึ่งเป็นลำห้วยที่มีน้ำไหลเฉพาะในช่วงฤดูฝนเท่านั้น








ลักษณะภูมิอากาศ
สภาพภูมิอากาศของอุทยานแห่งชาติได้รวบรวมข้อมูลจากการเก็บข้อมูลปริมาณน้ำฝนของสถานีตรวจวัดอากาศมวกเหล็ก ซึ่งอยู่ห่างจากพื้นที่ประมาณ 10 กิโลเมตร และจากสถานีตรวจอากาศเกษตรปากช่อง ซึ่งอยู่ห่างจากพื้นที่ประมาณ 26 กิโลเมตร ปรากฏว่า พื้นที่อุทยานแห่งชาติซึ่งอยู่บริเวณภาคกลางของประเทศไทย อยู่ภายใต้อิทธิพลของลมมรสุม ซึ่งมีระบบการพัดเวียนประจำเป็นฤดูกาล ในช่วงเดือนพฤษภาคมถึงเดือนตุลาคมได้รับอิทธิพลของลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ พัดพาเอาความชื้นจากทะเลและมหาสมุทรเข้ามา ทำให้เกิดฤดูฝน ในช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนกุมภาพันธ์ ได้รับอิทธิพลของลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ พัดพาเอาความหนาวเย็นมาจากตอนเหนือของทวีปเอเชีย ทำให้เกิดฤดูหนาว ส่วนฤดูร้อนจะอยู่ในช่วงเดือนกลางเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนเมษายน ปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยตลอดปีได้ 1,191 มิลลิเมตร อุณหภูมิเฉลี่ยตลอดปีเท่ากับ 26 oC








พันธุ์ไม้และสัตว์ป่า
สภาพป่าโดยทั่วไปเป็นป่าปลูก เนื่องจากแต่เดิมเป็นพื้นที่ที่ถูกบุกรุกทำลายมาก่อนและได้รับการปลูกป่าฟื้นฟู พื้นที่บางส่วนอยู่ในเขตสวนป่าหลังเขา-ท่าระหัด จังหวัดสระบุรี และพื้นที่แปลงปลูกป่าตามโครงการปลูกป่าถาวรเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเนื่องในวโรกาสทรงครองราชย์ปีที่ 50 บางพื้นที่เป็นป่าที่ฟื้นตัวตามธรรมชาติ พื้นที่โดยรอบทั้งหมดเป็นพื้นที่เกษตรกรรมและที่อยู่อาศัย มีถนนล้อมรอบ จึงถูกตัดออกจากป่าอนุรักษ์แห่งอื่นๆ อย่างสิ้นเชิง ไม่มีผืนป่าธรรมชาติแห่งอื่นต่อเนื่องหรือใกล้เคียง ดังนั้นจึงไม่มีการแลกเปลี่ยนสายพันธุ์พืช และสัตว์ป่ากับป่าธรรมชาติความหลากหลายของพันธุ์พืชและสัตว์ป่าจึงมีค่อนข้างน้อย








สังคมพืชในอุทยานแห่งชาติสามารถแบ่งออกได้เป็น
ป่าดงดิบ จากการศึกษาพบว่า บริเวณที่เป็นป่าดงดิบธรรมชาติจะพบได้เฉพาะบริเวณที่อยู่ติดลำห้วยมวกเหล็ก และขึ้นกระจายเป็นหย่อมๆ ตามแนวลำน้ำ พันธุ์ไม้ที่พบได้แก่ โสกน้ำ ไคร้ย้อย มะแฟน ยางนา ตะเคียนทอง ยมหอม กระทิง สัตตบรรณ อบเชย มะเดื่อ สาธร เฉียงพร้านางแอ มะหาด ฯลฯ พันธุ์พืชที่ขึ้นในน้ำและที่ชื้นได้แก่ ไคร้น้ำ สันตะวา ดีปลีน้ำ บัวสาย เฟินก้านดำ กูดเขากวาง กกรังกา ตีนตุ๊กแก ไม้เถาได้แก่ นมตำเลีย สะบ้า กระเช้าผีมด แสลงพัน เครือออน บันไดลิง หวายชนิดต่างๆ พืชอิงอาศัย เช่น ข้าหลวงหลังลาย กระแตไต่ไม้ เอื้องกระเรกระร่อน เป็นต้น





สะพานนี้ ถ้าข้ามไปอีกฝั่งก็คือำเภอปากช่อง




ป่าเบญจพรรณ พบอยู่ในบริเวณตอนกลางของพื้นที่ สภาพป่าส่วนใหญ่เป็นป่าที่ฟื้นตัวเองตามธรรมชาติ มีไม้ชั้นบนที่สำคัญ คือ ประดู่ป่า สำโรง กะพี้ งิ้วป่า ตะคร้ำ หว้า แสมสาร มะเดื่อ ไม้ชั้นรองได้แก่ โมกหลวง ตีนนก แคหางค่าง ปีบ หนามคนทา หนามมะเค็ด ฯลฯ นอกจากนี้ยังพบไผ่ป่า ไผ่คาย ขึ้นทั่วพื้นที่ ส่วนพืชพื้นล่างและพืชคลุมดินประกอบด้วยกล้าไม้ของไม้ชั้นรองและไม้พุ่มเป็นส่วนใหญ่ และยังพบหญ้าคาขึ้นเป็นกลุ่มในบางพื้นที่

สัตว์ป่า ที่สำรวจพบในอุทยานแห่งชาติประกอบด้วย สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม พบจำนวน 19 ชนิด ได้แก่ เลียงผา หมาจิ้งจอก หมาไม้ ชะมดเช็ด พังพอนธรรมดา ลิ่นพันธุ์มลายู อีเห็นข้างลาย อ้น เม่นใหญ่แผงคอสั้น กระต่ายป่า กระจ้อน กระเล็นขนปลายหูสั้น พญากระรอกบินหูแดง กระรอกหลากสี หนูพุกใหญ่ และหนูท้องขาว เป็นต้น มีนกชนิดต่างๆ ทั้งหมด 78 ชนิด แยกเป็นนกประจำถิ่น 54 ชนิด นกอพยพย้ายถิ่นตามฤดูกาล 23 ชนิด และนกอพยพผ่าน 1 ชนิด ได้แก่ เหยี่ยวกิ้งก่าสีดำ นกแอ่นตาล นกเด้าดินทุ่ง นกปรอดหัวสีเขม่า นกแซงแซวหงอนขน นกกระเต้นน้อยธรรมดา นกกระปูด นกจับแมลงสีฟ้า นกกางเขนดง นกแอ่นพง นกกระแตแต้แว้ด นกตะขาบทุ่ง นกสีชมพูสวน นกอีเสือสีน้ำตาล นกจาบคาหัวสีส้ม นกกินปลีอกเหลือง ไก่บ้าน นกหกเล็กปากแดง นกกวัก นกกะรางหัวขวาน ฯลฯ สัตว์เลื้อยคลาน สำรวจพบ 17 ชนิด ได้แก่ เต่านา กิ่งก่าเขาเล็ก กิ้งก่าบิน ตะกอง ตุ๊กแกบ้าน จิ้งจกหางหนาม จิ้งจกบ้าน จิ้งเหลนบ้าน ตะกวด เหี้ย งูเหลือม และงูเขียวพระอินทร์ เป็นต้น นอกจากนี้ยังสำรวจพบ ผีเสื้อ จำนวน 48 ชนิด ได้แก่ ผีเสื้อถุงทองธรรมดา ผีเสื้อหนอนใบรักฟ้าใหญ่ ผีเสื้อปลายปีกส้มใหญ่ ผีเสื้อจิ๋วหนอนมะพร้าวธรรมดา และผีเสื้อหนอนพุทราธรรมดา ฯลฯ
(ที่มา : วนอุทยานแห่งชาติน้ำตกเจ็ดสาวน้อย)




หมดแรงแล้ว ทานส้มตำปลานิลเผาเกลือหน่อยไหม






กลางดง

ออกจากมวกเหล็ก เราเดินทางต่อไปที่ที่อำเภอกลางดง ตรงข้างทางจะมีแผงขายผลไม้ที่ส่วนมากปลูกได้จากบริเวณนั้น ถ้าจะขับขึ้นทางภาคอีสานส่วนมากจะมาจอดซื้อกันแถวๆนี้ หรืออีกทีก็ที่ปากช่อง ซึ่งมีให้เลือกน้อยกว่า








ตลาดผลไม้กลางดง






ฟาร์มโชคชัย

จากกลางดงเราขับตามถนนมิตรภาพ (หมายเลข 2) มาทางอำเภอปากช่อง ก่อนที่จะเข้าปากช่อง ทางด้านขวาของถนนมิตรภาพ (ขับเข้าโคราช) จะเห็นฟาร์มโชคชัยตั้งอยู่ริมถนนตรงทางโค้งพอดี ถ้าเรามาจากมวกเหล็กก็สามารถ ยูเทิร์นกลับไปที่ฟาร์มได้ ที่นี่ส่วนมากเด็กๆชอบมาขี่ม้า หรือทำกิจกรรมเที่ยวชมฟาร์มกัน พร้อมแวะชิมสะเต็กกันที่นี่ด้วย วันที่ไปถึงซึ่งเป็นวันหยุด ปรากฏว่าผู้คนแน่นมาก มีทั้งรถนำเที่ยว และรถส่วนบุคคล เราเลยได้แค่เดินดูโน่น ดูนี่ และแวะซื้อของติดมือไปนิดหน่อย



























เลยอำเภอปากช่องออกมาทางโคราช ทางซ้ายของถนนมิตรภาพจะเป็นเขื่อนลำตะคอง ที่ใช้เป็นเขื่อนผลิตไฟฟ้าแบบใช้ระบน้ำไหลเวียน ข้างๆถนนจะมีร้านขายอาหารประเภทปลาน้ำจืด ส้มตำ ไก่ย่าง เรียงรายกันหลายสิบร้าน ตรงนี้เหมาะสำหรับพักรถ ชมวิวริมทะเลสาบเขื่อนลำตะคอง เวลาเย็นๆจะได้ชมทิวทัศน์ที่สวยงามมาก





วิหารหลวงพ่อโต

เราขับเลยอำเภอสีคิ้วไปทางโคราช (ประมาณ 40 กม จะถึงโคราช) ทางด้านซ้ายมือก็จะเจอวิหารองค์สมเด็จพุฒจารย์ (โต พรหมรังสี) องค์ใหญ่ที่สุดในโลก ที่กำลังก่อสร้างอยู่ โดยการอำนวยการก่อสร้างโดย คุณสรพงศ์ ชาตรี และ คุณดวงเดือน จิไธสง











วันที่ไปเป็นวันเสาร์ เลยมีโอกาสเจอคุณสรพงศ์กำลังเชิญชวน และอ่านรายชื่อผู้ที่ร่วมบริจาคสร้างวิหารอยู่ เลยถือโอกาสถ่ายภาพมาให้ชม (เป็นภาพของผู้ที่มาทำบุญ) ที่ข้างๆวิหารจะมีสวนดอกทานตะวันขนาดใหญ่ ซึ่งในวันนั้นกำลังบานสะพรั่ง ลุงคนทำสวนบอกว่า เสียดายที่อีกด้านของศาลาน้ำท่วมสวนดอกทานตะวัน เลยเหลือไม่กี่ต้น...




สรพงศ์ กับผู้ร่วมทำบุญ




สวนหิน




ผู้คนจากทั่วสาระทิศได้หลั่งไหลมากราบไหว้ และทำบุญจนแทบจะหาที่จอดรถไม่ได้..... การเดินทางสะดวกมาก เพราะอยู่ติดกับถนน คาดว่าในอนาคต ที่นี่น่าจะเป็นจุดท่องเที่ยวจุดหนึ่ง บนเส้นทางสายนี้








สวนทานตะวันข้างวิหาร



บ่ายๆเราขับออกจากวิหารหลวงพ่อโต เลี้ยวซ้ายเข้านครราชสีมา เพื่อเดินทางกลับบ้าน..... การเดินทางแบบขับไปเที่ยวไป จากเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ถึงโคราชเที่ยวนี้ได้รับความเพลิดเพลินจากธรรมชาติข้างทางซึ่งเป็นช่วงปลายฝนต้นหนาว ที่ยังเขียวขจีเต็มไปด้วยสีสรรที่สวยงามตามธรรมชาติ แม้บางแห่งจะถูกปรับแต่งเพื่อเป็นที่พักผ่อนหลายที่ก็ตาม แต่ก็ยังรักษาสภาพที่สวยงามไว้ค่อนข้างดี.

ขอขอบคุณทุกท่านที่ตามอ่านครับ.



______ จบทริบ______







Create Date : 03 พฤศจิกายน 2551
Last Update : 6 พฤษภาคม 2561 10:11:44 น.
Counter : 18301 Pageviews.

36 comments
พาเที่ยววัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร ขอพรวัดเก่าใจกลางเมืองรับปีใหม่ไทย นายแว่นขยันเที่ยว
(15 เม.ย. 2567 13:57:04 น.)
วัดพระธาตุเสด็จ อำเภอเมือง ลำปาง tuk-tuk@korat
(14 เม.ย. 2567 13:54:44 น.)
หาอะไรดับร้อนกับน้องถั่วแดงที่ร้านเย็น เย็น หวานเย็น สาขาMRTท่าพระ นายแว่นขยันเที่ยว
(12 เม.ย. 2567 00:32:31 น.)
Mahar Shwe Thein Taw Pagoda, Royal Jasmine Hotel - Pyin Oo Lwin สายหมอกและก้อนเมฆ
(11 เม.ย. 2567 16:06:34 น.)
  
เป็ภาพที่คุนตามากค่ะ เพราะผ่านบ่อย แต่ภาพในนี้สวยสุด เห็นริ้วน้ำเลย
ที่พักที่เขื่อนก็หมายตาไว้อยู่ค่ะ แต่ที่คุณมาคราวนี้คนยังกะมดเลยนะคะ
ที่วัดสรพงศ์ ราดหน้าที่โรงทานอร่อยเป็นที่เลื่องลือเลยนะคะ
โดย: tuk-tuk@korat วันที่: 3 พฤศจิกายน 2551 เวลา:13:40:38 น.
  
ดอกทานตะวันบานแล้วเหรอค่ะ สวยจัง ยังไงจะตามไปชมดอกทานตะวันค่ะ ถ่ายรูปมาสวยจัง เมื่อไหร่เราจะถ่ายรูปได้ออกมาสวย ๆ เหมือนเค้าบ้างนะ
โดย: เคียงหมอก วันที่: 3 พฤศจิกายน 2551 เวลา:14:02:28 น.
  
สวัสดีครับ คุณตุ๊ก......
ไม่เจอกันนานนะครับ นึกว่าเลิกเขียนบล็อกแล้ว ครับวันที่ไปถึงคนเยอะมาก เห็นที่จอดรถเต็มไปหมด ขนาดตอนเช้าที่เข้าไปถ่ายภาพอีกครั้ง เขายังนั่งล้อมวงทานอาหาร และเปิดเพลงกันสนุกมาก.... มีคนเขาบอกเหมือนกันว่าลาดหน้าที่นั่นอร่อย แต่คนเยอะเลยไม่ได้ไปที่โรงทานเขานะครับ.... ขอบคุณที่แวะมาครับ

สวัสดีครับเคียงหมอก..
ทานตะวันเริ่มบานครับ ในวันที่ไป..... ผมเองก็อยากได้ภาพสวยๆ เหมือนที่เขาโฆษณาเหมือนกัน แต่แถวๆวังม่วงเพิ่งจะเริ่มบานแค่นั้นเอง เสียดายจัง...... ขอบคุณสำหรับคำชมเรื่องภาพ และการแวะมาอ่านนะครับ.
โดย: wicsir วันที่: 3 พฤศจิกายน 2551 เวลา:15:59:21 น.
  
แวะมาอีกที หลุมที่ว่า หลุม 10 ไงคะ เราตีตกน้ำค่ะ แต่ถ่ายจากทีออฟ หญิง ของชาย น่าจะ 137 หลาค่ะ
คุณภาพสนามที่ไปคราวนี้ เยี่ยมมาก แต่เป็นรองแค่เชียงใหม่ไฮแลนด์ สนามถัดไปค่ะ ก็ไปทัวร์นี้ค่ะ 7 วันเต็มรวมเดินทาง พักอีก 2 วัน เลยเพิ่งโผล่มาค่ะ
โดย: tuk-tuk@korat วันที่: 3 พฤศจิกายน 2551 เวลา:16:30:05 น.
  
โอ๊ย....ตาร้อนๆ ครับ อาจจะปลายๆปี รองานซาๆก่อนแล้วอาจจะตามรอยไปนะครับ
โดย: wicsir วันที่: 3 พฤศจิกายน 2551 เวลา:16:35:16 น.
  
เป็นทริปที่เก็บเกี่ยวที่เที่ยวที่ดัง.ดังไว้ได้หมดเลยนะคะเนี่ย

เส้นนี้ nLatte ก้อไปบ่อยๆ แต่ยังมีบางที่ยังไม่ได้เข้าไปแวะชมเหมือนคุณ wicsir เลยค่ะ

ขอบคุณที่นำภาพสวยๆมาฝากกันนะคะ
โดย: nLatte วันที่: 3 พฤศจิกายน 2551 เวลา:16:52:41 น.
  
สวัสดีครับ คุณ nLatte..

ขอบคุณครับที่แวะมาเยี่ยมเยือนกัน.... ก็อย่างว่าน่ะครับ มีโอกาสเดินทางซักครั้ง ต้องไปรื้อฟื้นความทรงจำ.... ผมชอบเดินทางลัดมาทางนั้นครับ ธรรมชาติสวยดี แถมได้เห็นไร่คนดังหลายคน.... เขื่อนป่าสักฯวันนี้ สวยงามน่าเที่ยวครับ.
โดย: wicsir วันที่: 3 พฤศจิกายน 2551 เวลา:20:21:46 น.
  

อิจฉาคุณจังเลยค่ะ
โดย: อุ้มสี วันที่: 3 พฤศจิกายน 2551 เวลา:20:42:44 น.
  
สวัสดีครับ คุณอุ้มสี....... ขอทั้งสามชิ้นเลยนะครับ หิว
ขอบคุณที่แวะมาเยี่ยมครับ
โดย: wicsir วันที่: 3 พฤศจิกายน 2551 เวลา:21:20:17 น.
  
ไปเที่ยวมาแล้วคร้าบ

ทั้งเขื่อนป่าสัก ทั้งฟาร์มโชคชัย

หนุกดีนะคับ
โดย: chalawanman วันที่: 3 พฤศจิกายน 2551 เวลา:22:09:40 น.
  





สวัสดีค่ะ

รูปสวยมากๆ เรื่องละเอียด น่าตามไปมากค่ะ
ค่ะ
เคยผ่านไปแต่ไม่เคยมีเวลาแวะเลยค่ะ
โดย: Sweety-around-the-world วันที่: 4 พฤศจิกายน 2551 เวลา:5:52:43 น.
  
สวัสดีครับ คุณ chalawanman...


ขอบคุณที่แวะมาทักทาย ผมยังคิดว่าจะหาเวลาไปนั่งรถไฟข้ามทะเลสาบ เขื่อนป่าสักซักครั้งเหมือนกัน รถออกประมาณ 06.00 น ข้ามน้ำขึ้นไปด้านเหนือ และลงที่สถานีถัดไป แล้วนั่งอีกขบวนย้อนกลับ.... อยากได้ภาพน่ะ..



สวัสดีครับ sweety

ขอบคุณที่แวะมาเยี่ยมครับ เห็นภาพในบล็อกคุณก็สวยมากเช่นกันครับ คงได้แวะไปชมภาพถ่ายบ่อยๆครับ
โดย: wicsir วันที่: 4 พฤศจิกายน 2551 เวลา:8:56:47 น.
  
สวัสดีค่ะ

เดินแบกกลดมา เพิ่งมาถึงค่ะ สวยมากค่ะ
โดย: บี่บี๋ IP: 115.67.47.181 วันที่: 4 พฤศจิกายน 2551 เวลา:15:50:15 น.
  
ขอบคุณ บีบี๋ครับ...... มาช้าดีกว่าไม่มาครับ
โดย: wicsir วันที่: 4 พฤศจิกายน 2551 เวลา:16:07:43 น.
  
ถ่ายรูปได้สวยมาก..
โดย: ริวคิ-mawin-maji-minic วันที่: 4 พฤศจิกายน 2551 เวลา:22:47:27 น.
  
ขอยืนยันอีกคนว่า ถ่ายรูปได้สวยจริงๆค่ะ
โดย: นีลา IP: 115.67.117.80 วันที่: 4 พฤศจิกายน 2551 เวลา:23:24:44 น.
  
วิหารหลวงปู่โต ทั้ง สองภาพงามมาก ยอดเจดีย์มองดูสูงราวกับทาบนภา กลุ่มเมฆขาวสะอ้านบนฟ้าใส ยิ่งทำให้ความงดงามเพิ่มขึ้น

ขอเชิญชวนเพื่อนผู้ชอบเดินทางสวดมนตร์ถวายเป็นพุทธบูชา บทสวดพระคาถาชินบัญชร แม้เพียงมีในบ้าน ก็เป็นศิริมงคลยิ่งนักแล้ว ทั้งหมด 38 บรรทัด ถ้าตั้งใจท่องจำ ก็จะเป็นเนื้อนาบุญคุ้มเกล้าปกเกศ ป้องกันภยันตรายทั้งปวง หากยังจำไม่ได้ ขอให้ท่อง 4 บรรทัดแรกให้ได้ ท่องให้คุ้นปากเคยใจ ท่านจะประสบแต่สิริสวัสดิ์พิพัฒนมงคลตลอดไป
โดย: บี่บี๋ IP: 115.67.2.233 วันที่: 5 พฤศจิกายน 2551 เวลา:6:57:31 น.
  
ตามประสาศิษย์หลวงปู่โต ที่ได้รับทราบมาว่า "ศิษย์ปู่โต ไม่มีวันตายโหง" อยากเล่าให้เพื่อนเด็กๆที่ยังไม่ทราบฟังว่า...

ปู่โต เกิดที่กำแพงเพชร ท่านโยมมารดา ชื่องุด เป็นลูกสาวของชาวนาผู้มีฐานะ ท่านโยมบิดา คือเจ้าพระยาจักรี แม่ทัพใหญ่ของพระเจ้ากรุงธนบุรี (พระเจ้าตาก) เมื่อแรกพบนั้น ท่านแม่ทัพควบม้ามาไกล และเหนื่อยมากทั้งคนและม้า เมื่อเห็นที่นามีบ้านคนจึงแวะ หวังขอน้ำดื่ม รวมทั้งให้น้ำม้า

ได้พบเพียงสาวน้อย จึงขอน้ำดื่มสาวน้อยตักน้ำฝนจากตุ่มด้วยขันใบใหญ่ แต่โรยมาด้วยเกษรบัวหลวง (อีกฉบับหนึ่งว่าเธอหักแฝกชายคาบ้านใส่ลงไปเล็กน้อย) ท่านแม่ทัพฉงนมาก แต่ด้วยความกระหาย จึงก้มเป่าสิ่งที่ลอยในขัน แล้วค่อยๆดื่ม จนอิ่ม สาวน้อยก็ให้น้ำม้า

เมื่อหมดกระหาย ก็ถามสาวน้อยว่า ก็เห็นอยู่ว่า หิวน้ำมาก เพราะเหตุใดจึงแกล้งเช่นนี้เล่า สาวน้อยตอบว่า เพราะเห็นว่าท่านกระหายมาก เกรงว่าท่านจะรีบดื่ม แล้วจะสำลัก มิได้ต้องการกลั่นแกล้งท่านแต่ประการใด

หมดกระหาย ลมบ่ายก่อนค่ำเย็นลง ด้วยพูดคุยกันอย่างสบอัธยาศัย และชอบพอ จึงรอสู่ขอกับพ่อแม่ ซึ่งเมื่อเห็น จากการแต่งกายก็ทราบว่าเป็นผู้มียศ ท่านแม่ทัพก็นบนอบขอเป็นเขย โดยถอดแหวนทองคำวงใหญ่จากนิ้วให้ไว้เป็นประกัน ทำหนังสือรับรองว่าจะมาไถ่คืนในราคา 20 ชั่ง

ท่านแม่ทัพก็พักอยู่ ณ บ้านน้อยกลางนา โดยได้นำเงินมาไถ่แหวนคืนแล้ว แต่ด้วยอยู่ระหว่างออกทัพ จำเป็นต้องไปปฏิบัติหน้าที่ ก่อนจากภรรยาผู้กำลังตั้งท้องอยู่นั้น ได้ให้ "รัดประคต"ไว้ เพื่อให้ลูก เพราะยามศึกอย่างนี้ ไม่ทราบเมื่อใดจะได้พบกันอีก

ท่านแม่ทัพได้อุดหนุนครอบครัวภริยาของท่าน ให้เป็นปึกแผ่นไว้เผื่อบุตรในวันข้างหน้า โดยไปตั้งถิ่นฐานที่เมืองพิจิตร เจ้าเมือง ข้าราชการต่างก็ทราบว่า นี่คือบ้านของภริยาท่านแม่ทัพ

จนถึงคราตัดจุก เจ้าเมืองและข้าราชการต่างมาร่วมทำพิธี ใช้กรรไกรตัดจุก มีพิธีโกนด้วยมีดนาค ด้ามเงิน และด้ามทอง ตามประเพณี เรียกว่า "มีดสามกษัตริย์" แล้วจึงอุ้มไปนั่ง "เตียงเบญจา" ที่ชานเรือน แล้วเจ้าเมืองจึงนำรดน้ำอวยพร

เช้าวันรุ่งขึ้นทำบุญตักบาตรเช้า และทำพิธี ที่เรียกว่า "พิธีตั้งระเบียนบายศรี" คือการเวียนเจิมขวัญ และทำพิธีรำพันขวัญ เพื่อให้ขวัญอยู่กับเนื้อกับตัว เพื่อให้พร้อมที่จะบรรพชาเป็นสามเณรในเดือนแปด ที่วัดใหญ่ เมืองพิจิตร และเณรน้อยเอาใจใส่ต่อการเรียนทั้งบาลี สันสกฤต เลขผาหน้าไม้ ไวยากรณ์อย่างครบถ้วน

เมื่อบวชเรียนได้ สามพรรษา อยากเล่าเรียนพระปริยัติศาสนาต่อ จึงกราบเรียนอุปัชฌาย์ แต่ตำราสูญหาย จึงนำไปฝากเรียนกับพระครูที่เมืองชัยนาท จนอายุ 18 ปี จึงมาเรียนต่อกับหลวงพ่อแก้วที่วัดบางลำพู และสามเณรโตเทศน์มหาชาติได้ไพเราะจับใจยิ่ง เทศได้ทั้ง 13 กัณฑ์ โดยทำเสียงเล็กแหลม ทำเสียงหวานแจ่มใส เสียงโฮกฮากได้ กลเม็ดมหาพนและแหล่สระแห่ราชสีห์ได้ยอดเยี่ยม มีชื่อเสียงโด่งดังมาก

โยมอุปัฏฐากสามท่าน คือ พระโหราธิบดี พระวิเชียร และเสมียนตราด้วง ประชุมอภิปรายถึงบุคลิกภาพของเณร และสิ่งที่มี คือรัดประคตหนามขนุน สงสัยว่าไม่ใช่คนธรรมดา จึงนำไปถวาย สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร เจ้าฟ้าฯมีรับสั่งถามว่าอายุเท่าใด.. เกิดปีอะไร.. บ้านเกิดอยู่ที่ไหน.. โยมผู้ชายชื่ออะไร เณรทูลตอบว่า "ไม่รู้จัก" แต่เจ้าของรัดประคตนี้โยมแม่ให้มาและบอกว่า เป็นของเจ้าคุณท่านแม่ทัพ ขอถวายพระพร

สมเด็จเจ้าฟ้ารัชทายาทราชบัลลังก์แห่งกรุงสยาม เข้าใจในความหมายนั้น....

โดย: บี่บี๋ IP: 115.67.2.233 วันที่: 5 พฤศจิกายน 2551 เวลา:7:54:16 น.
  
เยี่ยมมากครับคุณบี๋..... ถ้ามีโอกาสเขียนเกี่ยวกับหลวงพ่อโตอีก ผมขออนุญาตนำไปอ้างอิงนะครับ..... ขอบคุณอีกครั้งสำหรับข้อมูลนี้.
โดย: wicsir วันที่: 5 พฤศจิกายน 2551 เวลา:10:12:25 น.
  
ยินดีค่ะ ขอตอนพักกลางวันนะคะ จะรีบกินข้าวอย่างจรวด แล้วจามาโม้ให้ฟังค่ะ ..อิอิ
โดย: บี่บี๋ IP: 115.67.2.233 วันที่: 5 พฤศจิกายน 2551 เวลา:10:45:40 น.
  
เจ้าฟ้ารัชทายาท รับสั่งกับพระโหราธิบดีว่า "ฟ้าดีใจมากที่คุณพระนำสามเณรองค์นี้มาถวายตัว เชื่อว่าสามเณรองค์นี้คือช้างเผือกจากป่า และขอรับไว้ในพระอุปถัมภ์ แต่ให้คุณพระดูแลแทน.."

ทรงมีรับสั่งกับสามเณรว่า "ขอร้องอย่าสึกเลย เพราะแน่ใจว่าจะได้เป็นใหญ่เป็นโตทางศาสนจักรต่อไป ยินดีช่วยเหลือทุกอย่าง" และทรงให้ สามเณรอยู่กับสมเด็จพระสังฆราชมี วัดมหาธาตุ ได้ศึกษาวิชาความรู้จนแตกฉาน

เมื่อสามเณรอายุครบ 21 ปี ทรงมีรับสั่งให้คุณพระโหราธิบดีจัดการบวชให้ที่วัดตระไกร พิษณุโลก โดยให้ทำขวัญนาค เวียนเทียน แต่งตัวแบบนาคหลวง พร้อมทั้งมีท้องตรา คือพระกระแสรับสั่งเป็นทางการ ให้เจ้าเมืองพิษณุโลกรับหน้าทีแทนพระองค์จัดการบวชให้เรียบร้อย รวมถึงเจ้าเมืองกำแพงเพชร พิจิตร พิชัย(อุตรดิตถ์) และชัยนาท

เจ้าคุณสมเด็จพระวันรัตเจ้าอาวาสวัดระฆังเป็นผู้แทนสมเด็จพระสังฆราช เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ พระครูแก้ว วัดบางลำพู เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระอธิการวัดตระไกร พิษณุโลก เป็นพระอนุสาวนาจารย์ สมเด็จพระวันรัตเป็นพระอาจารย์สอนพระปริยัติธรรมจนจบแตกฉาน ช่ำชอง สมเด็จเจ้าฟ้าถวายตัวเป็นโยมอุปัฏฐาก

ต่อมาสมเด็จเจ้าฟ้า ได้ทรงทำพิธีฉลองพระอิสริยยศเป็นพระมหาอุปราช พระภิกษุโต ได้เข้าเฝ้าถวายพระพรชัยมงคล ได้รับพระราชทานเรือพระที่นั่งของพระองค์ 1 ลำ มีกราบเป็นสี โปรดให้เป็น "มหาโต" มีหน้าที่เข้าไปถวายพระพรชัยมงคล

เมื่อเจ้าฟ้าเถลิงถวัลย์ราชสมบัติเป็นพระเจ้าแผ่นดิน มหาโตบวชได้ 12 พรรษา ได้ลงโบสถ์ร่วมสังฆกรรมกับพระสังฆราชมี และพระสังฆราชพระองค์ใหม่ พระสังฆราชนาค ประทับที่วัดมหาธาตุ

ต่อมาเจ้าฟ้าพระองค์ใหญ่จะทรงผนวชเป็นสามเณร โปรดฯให้ทรงผนวชที่วัดมหาธาตุ มหาโตเป็นพระพี่เลี้ยง
จนถึงทรงผนวชเป็นพระภิกษุที่วัดราชาวาส มหาโตก็ถวายความสะดวก จึงทรงคุ้นเคยกันมาก

ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว มหาโตสูญเสียโยมมารดา ท่านแบ่งปันทรัพย์ให้ญาติโยมแล้ว จึงจัดสร้างพระนอนองค์ใหญ่ ที่ อ.ป่าโมกข์ อ่างทอง ใช้เวลาสร้าง 25 ปี ตลอดรัชสมัยของ ร.3

พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ขึ้นครองราชย์ มหาโตหายไป จึงออกหมายประกาศจับ เมื่อทอดพระเนตรเห็น มีพระราชกระแสรับสั่งว่า "เป็นสมัยฉันปกครองแผ่นดิน ท่านต้องช่วยฉันพยุงพระบวรพุทธศาสนาด้วยกันซี" ทรงแต่งตั้งให้เป็นพระธรรมกิติ เป็นเจ้าอาวาสวัดระฆัง ได้รับเงินเดือน สี่ตำลึงกับหนึ่งบาท

ร.4 ทรงโปรดสดับพระธรรม โปรดฯให้สมเด็จไปถวายธรรมเทศนาประจำ วันหนึ่งท่านเทศนาเสียยืดยาว ในขณะที่ ร.4 ไม่สู้จะทรงสบายพระราชหฤทัย เพราะเจ้าจอมพระองค์หนึ่งกำลังจะประสูติพระเจ้าลูกเธอ

ในวันรุ่งขึ้นสมเด็จโต เข้าไปถวายธรรมซ้ำอีกครั้ง แต่เทศน์เพียงสั้นๆ ร.4ทรงสงสัยมาก จึงทรงถามถึงเหตุผล สมเด็จโตตอบว่า "เมื่อวานนี้อาตมภาพรู้ว่ามหาบพิตรทรงไม่สบายพระราชหฤทัย จึงจำเป็นต้องพยายามเทศให้สบายพระราชหฤทัยก่อน ส่วนวันนี้ทราบว่า มหาบพิตรสบายพระราชหฤทัยแล้ว จึงไม่จำเป็นที่จะต้องถวายให้ยืดยาว.."

เก็บความมาจาก อภินิหาร สมเด็จพุฒาจารย์ (โต) โดย "ไทยน้อย"
โดย: บี่บี๋ IP: 115.67.2.233 วันที่: 5 พฤศจิกายน 2551 เวลา:12:12:07 น.
  
หลายท่านคงเคยทราบถึงคำพยากรณ์อนาคตบ้านเมืองไทยที่ว่า

1.มหากาฬ

2.พาลยักษ์

3.สนิทธรรม

4.จำแขนขาด

5.ราษฎร์โจร

6.ชนร้องทุกข์

7.ยุคทมิฬ

8.ถิ่นตาขาว

9.ชาวศิวิไลซ์

นี่คือคำพยากรณ์ของสมเด็จโต ค่ะ
โดย: บี่บี๋ IP: 115.67.2.233 วันที่: 5 พฤศจิกายน 2551 เวลา:12:26:16 น.
  
ขอบคุณมากๆ สำหรับความรู้ที่นำมาเผื่อแผ่ครับ.... คำทำนายพอทราบ แต่เมื่อไหร่จะถึง 9. ชาวศิวิไลซ์หนอ....
โดย: wicsir วันที่: 5 พฤศจิกายน 2551 เวลา:17:18:35 น.
  
เดี๋ยวคนบ้า เขาฆ่ากันตายหมด ก็คงถึงค่ะ
โดย: บี่บี๋ IP: 115.67.43.176 วันที่: 5 พฤศจิกายน 2551 เวลา:17:26:56 น.
  
ขอบคุณที่ไปเยี่ยมกันแต่เช้า

ผ่านมาแถวนี้อย่าลืมแวะอีกนะครับ
โดย: chalawanman วันที่: 5 พฤศจิกายน 2551 เวลา:18:23:03 น.
  
ได้ครับผม....
โดย: wicsir วันที่: 5 พฤศจิกายน 2551 เวลา:19:18:56 น.
  
ยังเหลืออีก 2 สนามค่ะ แต่สนามเชียงใหม่ไฮแลนด์นี่แนะนำ แนะนำ
โดย: tuk-tuk@korat วันที่: 5 พฤศจิกายน 2551 เวลา:23:07:34 น.
  
อรุณสวัสดิ์ค่ะ

มาสวดพระคาถาชินบัญชรค่ะ...
โดย: บี่บี๋ IP: 115.67.112.6 วันที่: 6 พฤศจิกายน 2551 เวลา:6:35:17 น.
  
หวัดดีครับคุณตุ๊ก...

ผมเคยไปกับเพื่อนสองครั้ง สนามแถวๆแม่โจ้ ชื่อจำไม่ได้ต้องไปดูในเวบ ครั้งแรกประทับใจมาก แต่ครั้งที่สอง ไม่ไหวเลยโปรแต่พวกญี่ปุ่น และเกาหลี เลยโดนผมเทศนาสองสามกัณฑ์ เงียบฉี่เลย..... เลยเอาแบไทยๆ ตื่นแต่เช้าไปขอจอยเขาที่สนามในเมือง ล้านนานี่แหละ อยู่ข้างๆ สนามกีฬา มี 3 คอส พัตยากสุดๆครับ.... ขอบคุณที่แวะมาเยี่ยมครับ
โดย: wicsir วันที่: 6 พฤศจิกายน 2551 เวลา:9:41:01 น.
  
หวัดดีครับคุณบี๋...
ผมจดไว้พกด้วย..

"ครองจิตอยู่ในอุเบกขา
อุตส่าห์ในศุภกิจให้ผลิตผล
ค้ำจุนผู้อ่อนแออับจน
แต่ส่วนตนอย่าต้องของ้อผู้ใด
ชีวิตนี้มิได้ผิดฟองสบู่
เรารอยู่เพื่อทำทุนไว้ชาติใหม่
กรุณาผู้ลำบากยากไร้
เข้มแข็งในเมื่อทุกข์มาถึงตัว....."

ครับเวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร.....ใช่ไหมเอ่ย
โดย: wicsir วันที่: 6 พฤศจิกายน 2551 เวลา:9:46:55 น.
  
ใช่ค่ะ...สาธุ
โดย: บีบี๋ IP: 115.67.236.83 วันที่: 6 พฤศจิกายน 2551 เวลา:10:08:45 น.
  
รีบท่องพระคาถาชินบัญชรให้ได้นะคะ สวดถวายทุกๆวันเดี๋ยวก็คล่องปากเองค่ะ เมื่อท่องได้แล้ว วันแรกสวดให้ได้ 9 จบถวายนะคะ ใช้เวลาไม่นานค่ะ จิตใจจะแจ่มใสผ่องแผ้ว มีสมาธิในการทำงาน และมีสติค่ะ

วันต่อๆไปแล้วแต่ศรัทธาค่ะ ยิ่งสวดยิ่งดี เหมือนฝากเงินในออมสิน พุทธคุณจะปกปักรักษาเราตลอดตัวหัวจรดเท้า และโดยรอบ ชวนคนที่รู้จักสวดยิ่งได้บุญใหญ่ค่ะ
โดย: บี่บี๋ IP: 115.67.124.220 วันที่: 10 พฤศจิกายน 2551 เวลา:22:17:41 น.
  
ขอบคุณครับ.... จะพยามครับ
โดย: wicsir วันที่: 11 พฤศจิกายน 2551 เวลา:11:00:03 น.
  
ขออนุโมทนา สาธุค่ะ

ยังมียอดกัณฑ์พระไตรปิฎกอีกบทนะคะ อันนี้ง่ายกว่า ชินบัญชรอีกค่ะ

เคยไปสวดพระคาถาชินบัญชรถวายหลวงปู่โต 108 จบ และยอดกัณฑ์ฯ 108 จบ ตั้งแต่เช้า เสร็จเที่ยงเศษ คนไปด้วยลงเรือข้ามฟากเที่ยวกันสนุก วันที่ 22 มิ.ย.วันมรณภาพมักไปทำบุญที่วัดระฆัง วันที่ 17 เม.ย.วันชาตะ ทำบุญที่วัดอินทรวิหาร นอกนั้นไปตามวัดต่างๆ แล้วแต่สะดวก ค่ะ

ขอผลบุญกุศล และสัจจะวาจาที่ว่า มีหลวงปู่โต เป็นที่พึ่ง ต่อจากสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขออำนาจพุทธานุภาพ จงปกปักรักษาเพื่อนๆชาวบล๊อกของคุณ wicsir จงมีแต่ความสุขกายสบายใจ สุขภาพแข็งแรงอย่าเจ็บอย่าไข้ ก้าวหน้าในหน้าที่การงานทุกท่านทุกคนเทอญ...สาธุ
โดย: บี่บี๋ IP: 115.67.120.34 วันที่: 11 พฤศจิกายน 2551 เวลา:12:23:53 น.
  
ลูกศิษย์หลวงปู่โตเหมือนกันค่ะ

สาธุ.. ขอร่วมตั้งจิตอธิษฐานด้วยค่ะ

ขอบุญญาบารมีหลวงปู่โต เป็นที่พึ่ง สังฆานุภาพได้โปรดคุ้มครองเพื่อนชาว bloggang.com:wicsir ประสบแต่สิ่งที่ดีงามตลอดกาลค่ะ
โดย: สมใจ IP: 203.144.187.19 วันที่: 6 ธันวาคม 2551 เวลา:14:33:02 น.
  
ดีใจที่พบเพื่อนร่วมทางบุญ... เนื้อนาบุญเดียวกันนะคะ

ขอชมบ้างค่ะ...

ภาพสวยงามมาก ถ่ายภาพราวกับจับวาง ช่างมีความสามารถแท้ๆเลย คนใจดี..ใจเย็น...มักถ่ายภาพออกมาสวยค่ะ

บล๊อกสวย สีหวานแหวว เห็นแล้วใจชื่น..ใสสว่าง...เลยค่ะ สีฟ้าเย็นตาดีจริงเจียว อ่านเรื่องสนุก เพลงเพราะ เจ้าของบล๊อกใจดี เป็นมิตรมากเลย...ได้พบที่พักพิงใจที่ถูกใจมาก...ขอบคุณ ขอให้เจริญๆยิ่งๆขึ้นไปค่ะ
โดย: สมใจ IP: 203.144.187.19 วันที่: 6 ธันวาคม 2551 เวลา:14:46:42 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Travelsomewhere.BlogGang.com

wicsir
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 75 คน [?]

บทความทั้งหมด