ทางออกของประชาธิปไตยในประเทศไทย (ท่านผู้นำจะทำมั้ย เป็นอีกเรื่องหนึ่ง)
ณ เวลานี้มีการแบ่งแยกฝักฝ่ายอย่างชัดเจนของระบบการเมืองในเมืองไทย ซึ่งขอแบ่งคร่าวๆ ดังนี้

๑. พวกจงรักภักดีแบบผิดๆ โดยไม่สนใจถึงประชาธิปไตย ชอบพูดความจริงที่ยังมาไม่ถึง (สีเหลือง)
๒. พวกไม่เอาทักษิณ และไม่เอารัฐบาล แต่ยังมีความจงรักภักดีต่อระบอบกษัตริย์ ชอบอยู่เงียบๆ พร้อมที่จะสนับสนุนฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ที่ตนเองเห็นว่าทำถูกต้อง
๓. พวกไม่เอากษัตริย์ จะมองว่ากษัตริย์เป็นเพียงคนรวยคนหนึ่งเท่านั้น พวกนี้จะต่อต้านกษัตริย์ มองว่ากษัตริย์เอาเปรียบ กดขี่พวกเขา
๔. พวกคลั่งไคล้ทักษิณ ทักษิณจะผิดจะถูก ก็จะเข้าข้างทักษิณอย่างเดียว โดยไม่สนใจจะฟังความเห็นจากคนอื่นๆ ชอบพูดความจริงข้างเดียว(ข้างที่ตนเองเห็นว่าถูก) คนอื่นๆ ที่มีความเห็นไม่ตรงกับตัวเอง ก็จะถูกมองว่า เป็นพวกที่ ๑ ทันที (ส่วนใหญ่ของของเสื้อแดงจะอยู่ในพวกนี้) เวลาพูดก็อ้างประชาธิปไตย แม้ที่จริงแล้วจะเป็นเพียงคณาธิปไตยก็ตาม
๕. พวกกองหนุนรัฐบาล รัฐบาลเห็นอย่างไร ก็ทำตามนั้น ตามกันไป โดยไม่ได้ดูว่ามันถูกหรือผิด รวมถึงนิ่งเฉยเมื่อรัฐบาลทำไม่ถูกต้อง (สีส้ม)
๖. พวกที่ด่าคนอื่นๆ ไปทั้งหมด ไม่ว่าใครจะทำไร ชอบติ ชอบขัด แต่ตนเองไม่ทำอะไร และก็ไม่ได้ดีกว่าคนอื่นตรงไหน
๗. พวกซ้ำเติม พวกนี้จะออกมาเวลาที่มีการชุมนุมทางการเมือง เมื่อเห็นฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเพลี่ยงพล้ำ ก็จะปลอมตัวเป็นอีกฝ่ายเข้าไปซ้ำเติมให้เหตุการณ์มันรุนแรงขึ้น โดยไม่สนใจว่าถูกหรือผิด เอาความสะใจเป็นหลัก

คุณล่ะเป็นคนพวกไหน???

ถึงเวลาหรือยัง ที่เราจะมาทำความเข้าใจกัน งานนี้รัฐบาลสีส้มคงทำอะไรไม่ได้ นอกจากพวกเราประชาชนคนเสียภาษี จะมาสำแดงพลังของประชาธิปไตยที่แท้จริงเสียที

พลังประชาธิปไตยที่แท้จริงคืออะไร จำพระราชหัตถเลขาของในหลวง ร.๗ เมื่อทรงสละราชสมบัติ แล้วพระราชทานรัฐธรรมนูญฉบับแรกได้มั้ยครับ มีประโยคหนึ่งที่พวกเราทั้งหลาย ควรนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์นั่นคือ

"ข้าพเจ้ามีความเต็มใจที่จะสละอำนาจ อันเป็นของข้าพเจ้าอยู่เดิมให้แก่ราษฎรทั่วไป แต่ข้าพเจ้าไม่ยินยอมยกอำนาจทั้งหลายของข้าพเจ้าให้แก่ผู้ใดคณะใด โดยเฉพาะเพื่อใช้อำนาจโดยสิทธิขาดและโดยไม่ฟังเสียงอันแท้จริงของประชา ราษฎร์"

ไม่รู้จะยังจำกันได้ไหม เมื่อพระองค์สละอำนาจให้พวกเราทั้งหลาย ไม่ใช่ให้คนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ทำไมเราไม่ต่อต้านคนเหล่านี้ที่ไม่รู้สำนึกให้เกิดความเข้าใจเล่า

ปัญหาที่คนในบ้านเมืองเราแบ่งเป็นฝักฝ่าย ไม่ใช่เพียงแค่ความเห็นไม่ตรงกัน แต่มันหมายถึงผลประโยชน์ส่วนตนด้วย แน่นอนหากทุกคนคิดถึงแต่ประโยชน์ส่วนตน มันย่อมไม่มีใครยอมให้ได้หรอก มันก็คงต้องทะเลาะกันไปอย่างนี้ ถ้ามันไม่ลงตัว

มันจะมีใครสักคนมั้ย ที่มีอำนาจแล้วไม่ได้มองที่ประโยชน์ส่วนตน แต่มองที่ประโยชน์ส่วนรวม

ในมุมมองของผม(ผู้เขียน) มองว่ารัฐบาลนี้(รัฐบาลอภิสิทธิ์) ยังขาดอะไรหลายๆ อย่างที่ควรจะมี และยังไม่สามารถตอบโจทย์ของประชาชนได้

อย่างกรณีของเขมร ที่เขมรแต่งตั้งทักษิณเป็นทีปรึกษาทางเศรษฐกิจ แต่กลับไปลดความสัมพันธ์ทางการทูต ยกเลิก MOU เต้นตามเขมรทำไม ทั้งๆ ที่รู้ว่ามันเป็นเกม แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลยังขาดประสบการณ์ในการจัดการเรื่อง ตปท. อย่างชัดเจน

จากเรื่องสามก๊ก มีประโยคหนึ่งของขงเบ้งก็คือ "ผูกมิตรดีกว่าสร้างศัตรู" ตำรานี้ใช้ได้ดีกรณีที่ต้องติดต่อกับประเทศต่างๆ ก็ไม่รู้ว่า การต่างประเทศของเรา ไม่เข้าใจตรงนี้หรือเปล่า ฝากกระทรวง ตปท. เอาไปคิดให้รอบคอบนะครับ

คุณอภิสิทธิ์อาจจะเป็นนักการเมืองที่ดี แต่ยังไม่มีศักยภาพหรืออำนาจที่มากพอที่จะเขย่าความเชื่อมั่นของฝ่ายตรงข้ามได้

คุณอภิสิทธิ์ได้แต่บอกว่า ให้เชื่อมั่นประเทศไทยภายใต้การนำของเขา แต่ถามว่า อะไรที่จะทำให้เกิดความเชื่อมั่นเหล่านั้นได้บ้างล่ะ รัฐบาลยังไม่มีบุคลากรที่จะสร้างความเชื่อมั่นได้เลย ความเชื่อมั่นมันจะมาจากไหน มีใครตอบได้มั้ย

อย่างกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการคลัง ที่กุมเศรษฐกิจหลักของประเทศ ยังไม่มีการประสานงานที่ชัดเจน ไม่มีการประชาสัมพันธ์อะไรให้เกิดความเชื่อมั่นของการลงทุน แล้วเศรษฐกิจมันจะโตได้อย่างไร บอกแต่ว่า เราทำตามสัญญาแล้ว...คนไทยต้องมีงานทำ... ผมเสียดายเงินค่าทำป้าย ค่าโฆษณา ที่เอามาจากภาษีของพวกเราจริงๆ

กระทรวง ICT ถึงกระทรวงนี้จะถูกตั้งขึ้นในสมัยทักษิณ เพื่อแสดงให้เห็นวิสัยทัศน์อันแยบยลของผู้นำสมัยนั้น แท้จริงแล้วก็เป็นเพียงเสือกระดาษ เอาไว้ประดับบารมีของผู้นำเท่านั้น ไม่ได้ช่วยให้การพัฒนา ICT ของประเทศดีขึ้นสักเท่าไรเลย (ดูได้จากงบที่มาหา nectec, สวทช. หรือหน่วยงานด้าน IT ของรัฐ มันมีน้อยมากๆ ถ้าเทียบกับกระทรวงหรือหน่วยงานอื่นๆ) นอกจากนี้ หน่วยงานการสื่อสารของรัฐก็ไม่เคยถูกพัฒนา ยังคงใช้ระบบราชการแบบเดิมๆ (แม้จะมีคนบอกว่ามันปฏิรูป และแปรรูปแล้วก็ตาม) ดูอย่างระบบ 3G ที่ต้องรอคอยกันมานานกว่า 4 ปีแล้ว จนประเทศอื่นๆ เขาจะเปลี่ยนไปใช้ 4G กันแล้ว แค่นี้ยังไม่พอ ประเทศรอบข้างเรา ไม่ว่า ลาว เขมร พม่า ล้วนแต่มี 3G แล้วทั้งสิ้น ถามว่าไทยเราทำอะไรอยู่ครับ ใน 4 ปีที่ผ่านมาเนี่ย

ประเทศเราเป็นประเทศที่มีพื้นที่เกษตรกรรมมหาศาลมากๆ เมื่อเทียบกับประเทศรอบข้างเรา แถมยังมีทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่จำนวนมากกว่าเพื่อนบ้านเรา แต่...เรากลับมีพัฒนาการทางการเกษตรน้อยมากๆ ทั้งๆ ที่เรามีงบมากมายเหลือเฟือ ที่จะพัฒนาแหล่งน้ำสำหรับการเกษตร กระทรวงที่รับผิดชอบโดยตรง เห็นจะไม่พ้นกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีคำถามว่า ทำไมเราถึงมีน้ำท่วม ฝนแล้ง หนาวจัด ทุกปี ทำไมเกษตรกรถึงยังเป็นหนี้ ยากจน แล้วก็ขาดแคลนแหล่งน้ำ ทำไมเราเปิดเสรีกับหลายๆ ประเทศ แล้วราคาพืชผลถึงตกต่ำ ใครตอบได้บ้าง งบพัฒนาการเกษตรเราหายไปไหน

กระทรวงที่มีไว้เท่ๆ เพื่อเอาไว้ระบุวัฒนธรรมของชาติ แต่มาตั้งเอาตอนที่ช่วงวัฒนธรรมวิกฤติแล้ว ที่คนส่วนใหญ่มักจะลืมรากเหง้าของตนเองไปแล้ว หลายๆ คนลืมไปแล้วว่าตัวเองเป็นคนไทย แทนที่กระทรวงนี้จะช่วยพัฒนาด้านวัฒนธรรมของชาติ กลับไปขุดเอาวัตถุโบราณขึ้นมาใช้แล้วบอกว่าเป็นวัฒนธรรมของชาติ เท่าที่ดูในตอนนี้ ดูเหมือนว่ารัฐบาลยังตีโจทย์ไม่ออกเรื่องของการพัฒนาวัฒนธรรมกับการรักษาสมบัติของชาติ

จริงๆ ก็กะจะเขียนวิจารณ์ไปทุกกระทรวงครับ แต่มันจะเยิ่นเย้อมากไป (นี่ก็มากไปแล้ว) สรุปแล้วคนในรัฐบาลชุดนี้ ถ้ามองในสายตาประชาชนแล้ว การทำงานของรัฐบาลยังไม่ถึงเกณฑ์ที่ควรจะเป็น หรือเรียกสั้นๆ ว่าสอบตก เพราะขาดอะไร ขาดที่ปรึกษาที่ดีพอ ขาดองค์ความรู้ในการพัฒนา ขาดบุคลากรที่มีคุณภาพ ก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่า ถ้าพวกเราเข้าใจในผลงานของรัฐบาลแล้ว เลือกตั้งคราวหน้า เราคงต้องเลือกคนใหม่ครับ

จะว่าไปอุปสรรคของการทำงานของรัฐบาลชุดนี้ ก็เยอะแยะมหาศาล แต่ถึงอย่างไร รัฐบาลที่นำโดยคุณอภิสิทธิ์ก็อาสาเข้ามาทำงานแล้ว ก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่า ปีหน้าควรจะมีผลงานที่เข้าตากรรมการมากกว่านี้

ในเรื่องของการพัฒนาประชาธิปไตยในบ้านเรา มันจะดีกว่า ถ้าเราเลิกมองที่ประโยชน์ส่วนตน แล้วมามองที่ประโยชน์ส่วนรวมไม่ใช่ประโยชน์ของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง หากเรามองเช่นนี้ด้วยกันทุกคน เราคงจะพัฒนาไปด้วยกันไม่ยากนัก และพวกที่เห็นแก่ตัว กลุ่มของตัว มันจะค่อยๆ หายไปในที่สุด

ผมเชื่อว่าทุกคนวาดหวังที่จะเห็นประเทศของเราพัฒนาไปในแนวทางที่ดีขึ้น แต่ถ้าไม่เริ่มที่ตัวเรา แล้วใครจะเป็นคนทำล่ะครับ?

การขอร้องให้เลิกแบ่งสีมันคงยาก เพราะเรามีความเห็นที่ต่างกัน แต่ในความเห็นที่ต่างกันนั้น เรามีสิ่งหนึ่งที่เราต้องการเหมือนๆ กัน ก็คืออำนาจที่มาจากประชาชนโดยแท้จริงเพื่อประโยชน์ของประชาชนเอง ไม่ใช่เพื่อคนใดหรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง

หากเรามองกันเพื่อประโยชน์ตรงนี้ เราคงประสานความเข้าใจกันได้ไม่ยาก ผมเชื่อว่า ไม่ว่าเราจะอยู่สีไหน เราต้องการอิสระและสามารถควบคุมอำนาจที่มีจากพวกเราได้โดยแท้จริง และไม่ใช่เพื่อประโยชน์ของคนใด กลุ่มใด แต่เพื่อประโยชน์ของพวกเราทั้งหมด ดังนั้น เลิกมองที่ความผิดของคนอื่น มองให้เห็นเงามืดของตัวเอง แล้วกำจัดมันทิ้งไปเถอะครับ ไม่ใช่เพื่อใคร แต่เพื่อตัวเราและประเทศชาติของเรา



Create Date : 12 ธันวาคม 2552
Last Update : 12 ธันวาคม 2552 11:47:11 น.
Counter : 554 Pageviews.

0 comments
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

Touchie.BlogGang.com

ทัชชี่
Location :
กรุงเทพ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]

บทความทั้งหมด