บทที่ 4 เย่าหวางเฟย นางคือสำลีซ่อนเข็ม 

บทที่ 4 

เย่าหวางเฟย นางคือสำลีซ่อนเข็ม 

  

ที่ลานฝึกทหารหลังจวนอ๋อง ในยามเฉิน (7.00น - 9.00น.) วันต่อมา...   

กู้อันเฉิงรีบรับประทานมื้อเช้าด้วยอาหารสูตรพิเศษของนางแล้วก็ต้องรีบเดินทางมายังลานฝึกทหารตามนัดหมายของเซวียเย่าอ๋อง นางรู้ว่าเขากังวลใจเรื่องการแข่งขันที่จะมาถึงในวันพรุ่งนี้ วันนี้นางจะทำให้เขาเกิดความสบายใจขึ้นมาบ้างว่า สำหรับกู้อันเฉิงแล้วไม่ว่านางจะกลายเป็นใคร นางล้วนไม่อยากกลายเป็นจุดอ่อน 

เซวียเย่าอ๋องสวมชุดสีดำนั่งอยู่ตำแหน่งประธาน ใบหน้าหล่อเหลายังคงเย็นชา มือข้างหนึ่งวางบนหัวเข่า ร่างกายเอนไปข้างหน้าเล็กน้อย คล้ายดั่งพยัคฆ์ร้ายที่พร้อมจะกระโจนออกไปตะครุบเหยื่อตลอดเวลา ดวงตาเยือกเย็นสงบนิ่งคล้ายนายพราน จับจ้องมองการฝึกซ้อมเหล่าทหารอาชาที่เบื้องหน้า   

กู้อันเชิงที่กำลังจูงอาชาเดินตรงเข้ามา มองเห็นใครคนหนึ่งผู้กำลังกระซิบกระซาบต่อเซวียเย่าอ๋อง พลันชะงักโดยมิรู้ตัว “พี่ใหญ่!” นางพึมพำออกมาเบาๆ ในใจรู้สึกอุ่นวาบ เมื่อยิ่งเดินเข้าไปใกล้ ยิ่งเห็นถนัดตา บุรุษที่กำลังยืนอยู่ข้างกายเซวียเย่าอ๋องคือกู้เหวิน พี่ชายของนาง... เป็นเขาจริงๆ   

รองแม่ทัพกู้เหวินผู้ทะนงตนมิเห็นใครในสายตา หลังจากก้มศีรษะทำความเคารพ ค่อยกระซิบรายงานที่ข้างหูท่านอ๋องแม่ทัพใหญ่แห่งจ้านเสิน ครั้นมองเห็นสตรีจูงอาชาเข้ามาใกล้ก็พลันชะงักโดยมิรู้ตัว ในใจรู้สึกว่านางมีบางอย่างที่ให้ความรู้สึกคุ้นเคย โดยเฉพาะแววตาคู่นั้นที่จ้องมองตรงมายังเขา อาจหาญแต่เงียบเหงา บางทีเขาและนางดูช่างคล้ายกันจึงดึงดูดเข้าหากัน จู่ ๆ กู้เหวินก็บังเกิดความรู้สึกอยากเข้าใจสตรีคนนี้   

“คุณหนูเจ้าคะ” 

ถานเอ๋อร์เรียกสตินางอย่างแผ่วเบา จึงค่อยรู้สึกตัว พลางรีบปั้นหน้าอ่อนโยน เดินมาเบื้องหน้าเซวียเย่าอ๋อง ย่อกายแสดงความคารวะ   

“ท่านอ๋อง ... ข้ามาถึงแล้ว” 

“ข้าจะไม่ถามว่าเจ้าเคยขี่ม้าหรือไม่ แต่วันนี้จะให้เจ้าคุ้นชินกับการขี่ม้า ข้าให้รองแม่ทัพกู้เหวินช่วยดูแลฝึกสอน” เซวียเย่าอ๋องชี้มือไปที่กู้เหวิน 

“ให้เขาสอนข้าขี่ม้า?” กู้อันเฉิงเหลือบตามองไปยังพี่ชาย ที่กำลังมองมาทางนางเช่นกัน 

“ถูกแล้ว...เจ้ามีปัญหาอะไร” เย่าอ๋องถามกลับ 

“ไม่มีเจ้าค่ะ...รบกวนท่านรองแม่ทัพกู้แล้ว” กู้อันเฉิงหันไปส่งยิ้มให้กู้เหวิน อย่างฝากเนื้อฝากตัว 

เซวียเย่าอ๋องมองดูรอยยิ้มนั้นแล้วให้รู้สึกขัดอกขัดใจอย่างประหลาด เวยเซี่ยวนางยิ้มให้กับชายอื่นได้หวานหยดเช่นนี้ทุกคนเลยหรือ ช่างสมกับชื่อเวยเซี่ยวที่แปลว่ารอยยิ้มซะจริง   

“กู้เหวิน เจ้าดูแลวิธีการขี่ม้าของพระชายา ข้าให้เวลาเจ้าสอนนางจนถึงเที่ยง นางต้องขี่ม้าเป็นและคุ้นเคย หลังจากนั้นข้าจะให้เจ้ากับพระชายาแข่งขันกันเพื่อประเมินผล ”  เซวี่ยเย่าอ๋องประกาศกำหนดการด้วยสีหน้าที่ดูมืดครึ้มกว่าเมื่อครู่อย่างมาก 

“ท่านอ๋อง เพียงครึ่งวันข้าเกรงว่า...” 

กู้เหวินพยายามค้าน การขี่ม้าไม่ใช่เรื่องที่จะมาทำกันแบบเล่นๆ ลวกๆ กว่าจะบังคับม้าได้ต้องใช้เวลาเนิ่นนาน แต่นี่ ท่านอ๋องให้เขาฝึกสอนพระชายาผู้ไม่ทราบว่าพื้นฐานของนางอยู่ในระดับไหนในเวลากระชั้นชิด ทั้งยังสุดท้ายกำหนดให้แข่งขัน มันก็ไม่ต่างจาก หมาป่าวิ่งแข่งกับลูกไก่ มีชนะ กับ พ่ายแพ้ล้วนเสียศักดิ์ศรีไม่ต่างกัน   

“ข้ายินดี ” กู้อันเฉฉิงรีบตอบ ใบหน้าสว่างไสวด้วยรอยยิ้มแห่งความยินดี ทว่านางกลับไม่ได้สังเกต อีกหนึ่งใบหน้าของคนนั่งในตำแหน่งประธานที่ยิ่งดูยิ่งมืดดำลงไปอีกเท่าตัว 

เซวียเย่าอ๋องจะให้กู้อันเฉิงขี่ม้าแข่งขันกับกู่เหวิน ในที่สุดนางก็มีโอกาสนี้แล้ว... นางยินดีเป็นอย่างยิ่ง นึกถึงครั้งอยู่ที่ค่ายชายแดน กู้เหวินเป็นผู้ฝึกสอนเรื่องการขี่ม้าให้นาง แต่กู้เหวินไม่เคยยอมที่จะแข่งขันกับนาง ไม่ว่าจะออดอ้อน อ้อนวอนแค่ไหน เขาก็ไม่ยอมแข่งกับนาง เพียงเพราะเหตุผลเดียวนั่นก็คือ ถ้าเขาพ่ายจะเป็นการเสียหน้าอย่างยิ่ง เย่าอ๋องยื่นโอกาสมาให้เช่นนี้มีหรือว่านางจะปฏิเสธธ 

“ข้ามีข้อแม้อยู่อย่างหนึ่ง” 

“ว่ามา” 

“ข้าไม่ต้องการให้ท่านรองแม่ทัพกู้เหวินออมฝีมือ” 

“ได้ รองแม่ทัพกู้เหวิน จะไม่มีวันออมมือให้เจ้าเป็นอันขาด ไม่ว่าเจ้าจะเก่งกาจหรืออ่อนหัด เพราะนั่นไม่ใช่วิสัยของเขา” 

เมื่อเซวียเย่าอ๋องการันตีให้เช่นนี้ รอยยิ้มกว้างต่อมาของนางจึงถูกส่งมอบให้ท่านแม่ทัพใหญ่จนทำให้หัวใจที่แกร่งดั่งหินผาภายใต้ชุดขี่ม้าสีดำนั้นถึงกับกระตุกวูบประหนึ่งตกจากที่สูง ทว่าใบหน้าของเขาก็ค่อยเริ่มจุดประกายความสว่างขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว 

“ถานเอ๋อร์ เจ้ากลับไปเตรียมมื้อค่ำเอาไว้อย่างที่เคยนะ วันนี้ขอมากหน่อย เพราะข้าจะฉลองชัยชนะ” กู้อันเฉิงหันไปสั่งสาวใช้ประจำตัว ด้วยเสียงที่แสดงความมั่นใจซะเต็มประดา 

“แล้วมื้อกลางวันล่ะเจ้าคะ” 

“ท่านอ๋องคงไม่ปล่อยให้ข้าอดข้าวมื้อกลางวันหรอก” 

“เจ้าค่ะคุณหนู” ถานเอ๋อร์รับคำสั่ง นางทำความเคารพทุกท่านที่อยู่ในบริเวณนั้น ก่อนจะปลีกตัวจากไป 

“เช่นนั้นเชิญพี่กู้ ข้าจะตั้งใจฝึกฝนอย่างเต็มความสามารถ” 

“ขอรับพระชายา” 

พอทั้งสองเดินห่างออกไปใบหน้าสว่างไสวของท่านอ๋องอยู่ได้ไม่ถึงครึ่งเค่อ(1เค่อ=15นาที) ก็มีอันหมองคล้ำลงไปอีก นี่นางกล้าเรียกชายอื่นที่เพิ่งรู้จักกันได้ไม่ถึงจิบชาหนึ่งถ้วย(ประมาณ10นาที)ว่าพี่เชียวหรือ นางเป็นถึงเย่าหวางเฟย จะรู้จักสำนึกฐานะของตนบ้างหรือไม่ เซวียเย่าอ๋องขบเขี้ยวเคี้ยวฟันจนเกิดเป็นสันนูน สายตาไม่ได้ละไปจากสตรีที่บัดนี้นั่งอยู่บนหลังอาชา โดยมีรองแม่ทัพผู้องอาจแห่งค่ายจ้านเสินเป็นผู้เดินจูงบังเหียน ใบหน้าเย่าหวางเฟยก็ยังเกลื่อนไปด้วยรอยยิ้ม แม้กระทั่งรองแม่ทัพกู้ผู้ไม่เคยให้ความสนใจกับสตรีใด ในบางครั้งยังเผลอยิ้มออกมา ทำไมเขาถึงไม่คิดจะสอนนางด้วยตัวเองตั้งแต่แรก ทำไมถึงได้ส่งไฟเข้าไปใกล้น้ำมันเช่นนี้ เซวียเย่าอ๋องเพ่งมองความรู้สึกของตนเอง เขาต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ ที่จู่ๆ ก็เกิดความรู้สึกอยากไล่กู้เหวินกลับชายแดนไปให้พ้นเดี๋ยวนี้ 

เวลาสำหรับเซวียเย่าอ๋องในวันนี้ช่างนานช้า กว่าจะหมดกำหนดเที่ยงวัน ก็เล่นเอาเขาผุดลุกผุดนั่งหลายรอบ เมื่อเห็นเด็กรับใช้นำอาหารมาส่งเขาแทบจะวิ่งออกไปรับกับมือ ทว่าหากทำเช่นนั้นคงเป็นเรื่องแปลกประหลาดยิ่ง 

“พอ...เจ้าฝึกขี่ม้าเพียงเท่านี้ก็แล้วกัน ได้เวลารับประทานมื้อกลางวันแล้ว เฉินเวยเซี่ยวเจ้ามานั่งนี่”   

กู้อันเฉิงหันไปตามเสียงสั่งการ อะไรกัน ความรู้สึกเหมือนนางเพิ่งจะนั่งอยู่บนหลังม้าได้ไม่เท่าไหร่  ไฉนเวลาถึงได้ผ่านไปเร็วนัก แป๊บเดียวก็ได้เวลาอาหารกลางวันแล้ว แต่จะว่าไปก็เป็นการดี หลังมื้ออาหาร เซวียเย่าอ๋องจะให้นางแข่งม้ากับพี่ใหญ่ กู้อันเฉิงสุดแสนจะยินดี รีบลงจากม้าวิ่งไปหาเซวียเย่าอ๋องอย่างว่าง่าย นางนั่งลงตรงที่นั่งที่มีชามข้าวและตะเกียบวางอยู่ กำลังจะคว้าตะเกียบขึ้นมาถือไว้ในมือพลันนึกอะไรบางอย่างได้จึงลุกขึ้นยืน 

“มีอะไร” เซวียเย่าอ๋องเอ่ยถาม 

“ข้าลืมล้างมือ” นางบอกแล้วก็รีบวิ่งออกไปทิ้งให้แม่ทัพหนุ่มมองตามจนลับสายตา 

เซวียเย่าอ๋องนึกย้อนไปถึงตอนที่เห็นกู้อันเฉิงเหวี่ยงตัวลงจากม้านางทำได้อย่างเป็นธรรมชาติ ไม่เพียงแต่การขึ้นลงม้าของนางจะทำได้ดีแล้ว แม้กระทั่งการควบม้าบังคับให้มันเดิน วิ่งไปตามทิศทางต่างๆ ล้วนทำได้ดีไม่มีที่ติ ก่อนหน้านี้เขามัวคิดอะไร ถึงได้ดูไม่ออกว่านางมีพื้นฐานในการขี่ม้าค่อนข้างดี หาใช่คนที่นานครั้งจะได้สัมผัสม้า นางทำให้เขาประหลาดใจอีกแล้ว ข่าวลือต่างๆที่เคยได้ยินมาล้วนค้านสายตาโดยสิ้นเชิง   

“กินข้าวเสร็จท่านอ๋องจะให้ข้าขี้ม้าแข่งกับพี่กู้เลยใช่หรือไม่” กู้อันเฉิงเอ่ยถามทันทีที่นางกลับมานั่งประจำที่ 

คำถามอย่างกระตือรือร้น รอยยิ้มที่แสดงการรอคอยคำตอบ พร้อมคำเรียกขานรองแม่ทัพที่ให้ความรู้สึกขัดหู ทำให้เย่าอ๋องเกิดอาการคันยิบๆ ที่ใจ อยากยกเลิกกำหนดการนั้นไปเสียเดี๋ยวนี้ แต่การณ์ข้างหน้าย่อมสำคัญ เวลากระชั้นไม่คอยท่า เขาจำต้องฝืนความรู้สึกเหมือนมีบางอย่างอัดแน่นในอกจนทำให้หายใจติดขัด ดำเนินแผนการต่อไป   

“กินข้าวก่อน ข้าไม่ชอบพูดเรื่องงานในระหว่างกินข้าว” เซวียเย่าอ๋องปิดฉากสนทนาด้วยการหยิบตะเกียบและชามข้าวมาไว้ในมือ 

“ทีเมื่อก่อนยังกินไปสั่งการทหารไปด้วยเลย” กู้อันเฉิงบ่นอุบอิบ 

“เจ้าว่าอะไรนะ”   

“เปล่าเจ้าค่ะ...กินข้าวๆ ข้าเองก็หิวแล้วเหมือนกัน ลองทานอันนี้ดู ของโปรดท่านอ๋องเชียวนะเจ้าคะ” กู้อันเฉิงคีบแตงกวาดองไปวางไว้ในชามข้าวของเย่าอ๋องอย่างเอาใจ ก่อนจะเริ่มลงมือจัดการอาหารตรงหน้าไม่ยั้ง พอข้าวเข้าปากนางถึงรู้สึกได้ว่าหิว 

เซวียเย่าอ๋องมองแตงกวาดองในชามข้าวตัวเองก็ต้องขมวดคิ้ว น้อยคนนักที่จะรู้ว่าเขาชอบกินแตงกวาดอง และคนที่รู้ก็ล้วนอาศัยอยู่ที่ค่ายจ้านเสิน ไม่ได้อาศัยอยู่ในจวนอ๋อง ประหลาดนักนางรู้ได้อย่างไร เซวียเย่าอ๋องเก็บความสงสัยนั้นไว้ คีบแตงกวาดองเข้าปากตามด้วยข้าวอีกคำโต ถ้าไม่นับที่งานเลี้ยงเมื่อวาน นี่ก็คือการรับประทานอาหารร่วมกันครั้งแรก จะว่าไปแล้วมันก็ให้ความรู้สึกที่ดีกว่ากินข้าวคนเดียวอยู่มาก อย่างน้อยตอนนี้เขาก็ไม่รู้สึกถึงความเหงา 

  

หลังผ่านอาหารมื้อเที่ยงเซวียเย่าอ๋องปล่อยให้ชายาของเขาเอนหลังพักย่อยอาหารนานเกือบครึ่งชั่วยาม ส่วนตัวเขานั่งอ่านรายงานที่ส่งมาจากชายแดนอยู่ใกล้ๆ สายตาจับอยู่ที่รายงานในมือ ทว่าสมองกลับคิดไปเรื่องอื่น   

เซวียเย่าอ๋องต้องการหลีกเลี่ยงการสมรสกับองค์หญิงแคว้นซีฉู่ เพื่อเขาจะได้ไม่ตกเป็นหมากตัวหนึ่งในเกมการเมือง แม้เขาจะมีวิธีอยู่มากมายในการนำมาปฏิเสธความต้องการเหล่านั้น ทว่าเย่าหวางเฟยกลับถูกดึงเข้ามาเกี่ยวข้อง เดิมพันด้วยศักดิ์ศรีของนาง หากนางจะต้องพ่ายแพ้ นางก็ควรที่จะแพ้อย่างสมศักดิ์ศรีความเป็นเย่าหวางเฟย บัดนี้เขาทราบแล้วว่าเวยเซี่ยวขี่ม้าเป็น นั่นทำให้เขาโล่งใจไปอีกเปราะ ทว่าการขี่ม้าไม่ได้สร้างความหนักใจเท่าการยิงเกาทัณฑ์ที่ต้องอาศัยทักษะอันยอดเยี่ยมถึงจะยิงได้เข้าตามเป้าในขณะที่ม้ากำลังเคลื่อนไหว เรื่องนี้สร้างความหนักใจให้เซวียเย่าอ๋องไม่น้อย อย่าว่าแต่ขี่ม้ายิงธนูเลย แค่ให้ยืนยิงเป้านิ่ง เขายังไม่มั่นใจเลยว่านางจะทำได้ 

ได้เวลาพอควรเซวียเย่าอ๋องจึงเดินนำพระชายาลงมายังลานกว้าง ที่บัดนี้มีเหล่าทหารหน่วยอาชาและทหารผู้น้อยบางส่วนรออยู่ รวมไปถึงรองแม่ทัพกู้เหวิน   

“เจ้าต้องหัดยิงเกาทัณฑ์ให้ได้ซะก่อน” เซวียเย่าอ๋องเปิดปากกล่าวออกมา   

“ไม่ต้องๆ ข้าทำได้ ข้าอยากแข่งม้ากับพี่กู้” กู้อันเฉิงร้องขอ 

“เจ้าบอกว่าเจ้าทำได้แล้วข้าต้องเชื่อด้วยหรือ” เซวียเย่าอ๋องถามออกไปด้วยความรู้สึกโกรธ สีหน้า แววตา แม้กระทั่งน้ำเสียงของเขาแสดงออกว่าโกรธอย่างไม่ปิดบัง 

“พี่กู้เหรอ...พระชายาเรียกท่านรองแม่ทัพว่าพี่กู้ ช่างเป็นพระชายาที่ไม่ถือยศศักดิ์ซะจริงๆ” เสียงโจษจันดังขึ้นเบาๆ ในหมู่พลทหาร แต่หลายคนในที่แห่งนั้นกลับเหมือนจะได้กลิ่นน้ำส้มจางๆ(เปรียบเทียบอาการหึงหวง)   

กู้อันเฉิงเห็นเช่นนั้นถึงกับต้องหดคอก้มหน้า หลบสายตา วันนี้เซวียเย่าอ๋องเป็นอะไร เดี๋ยวพูดดีกับนาง ใส่ใจนาง เดี๋ยวก็ตีหน้ายักษ์ราวกับว่าจะเขมือบนางลงท้อง ถึงตอนนี้นางบังอาจทำให้เทพสงครามโกรธอีกแล้ว หรือนางจะถูกร่างเฉินเวยเซี่ยวกลืนกินความรู้สึกนึกคิดไป นางจะต้องหมั่นเตือนสติตัวเองเอาไว้ว่า แท้จริงแล้วจิตวิญญาณของนางคือกู้อันเฉิง ทหารรับใช้ตัวเล็กๆในค่ายจ้านเสินคนนั้นต่างหาก พระชายานั่นก็เพียงเปลือกนอกเท่านั้น 

“เอาเป็นว่าพระชายาแสดงการยิงเกาทัณฑ์ให้ท่านอ๋องได้ชมเถอะขอรับ จากนั้นหากพระชายาต้องการแข่งการขี่ม้ากับข้า ยังมีเวลาอีกไม่น้อย” พอเห็นท่าที่สำนึกผิดของพระชายาและท่าทีโกรธาของท่านอ๋อง กู้เหวินก็นึกอยากทำให้บรรยากาศในลานฝึกทหารแห่งนี้ดีขึ้น 

“เช่นนั้นก็ได้” 

กู้อันเฉิงเงยหน้าขึ้นมองกู้เหวินพร้อมรอยยิ้ม สีหน้าของนางเหมือนเด็กน้อยที่เพิ่งได้รับของเล่นถูกใจ ทำเอากู้เหวินถึงกับรู้สึกเจ็บแปล๊บในอก นางช่างเหมือนคนที่จากไปไกลแสนไกลคนนั้นซะจริง เหมือนเหลือเกิน เหมือนจนเขาแทบจะหลั่งน้ำตา เมื่อมองเห็นรอยยิ้มของนาง กู้เหวินได้แต่เลี่ยงขออนุญาตสั่งทหารผู้น้อยให้เตรียมเป้านิ่ง 

เฉินเวยเซี่ยวไม่ได้พูดเกินจริง ทุกสิ่งเป็นไปตามที่นางพูดไว้ทุกประการไม่ว่าจะเป็นท่าทาง การน้าวสายธนู หรือแม้แต่การปล่อยลูกธนูออกไป ล้วนแม่นยำอย่างที่ไม่อาจเอ่ยอ้างได้ว่านี่คือความบังเอิญ นางยิงทะลุกลางเป้าทุกลูก 

“โอ้...ฝีมือพระชายาไม่ธรรมดาจริงๆ สมแล้วที่นางเป็นชายาท่านแม่ทัพของเรา ช่างเหมาะสมกันดั่งกิ่งทองใบหยกโดยแท้” เสียงเหล่าทหารสรรเสริญกันอื้ออึง พลอยให้แม่ทัพใหญ่รู้สึกชื่นมื่นหัวใจอย่างประหลาด 

“ข้ายิงธนูให้ดูแล้ว คราวนี้จะแข่งม้ากับท่านรองแม่ทัพกู้ได้หรือยัง” กู้อันเฉิงรีบวิ่งเข้ามาขอทวงสัญญากับเซวียเย่าอ๋อง สายตาที่มองเขายังละห้อย เจืออ้อนวอน 

“ได้ ...ไหนๆ ก็ไหนๆแล้ว คิดว่าครั้งนี้เจ้ากำลังแข่งกับองค์หญิงใหญ่ซีฉู่ก็แล้วกัน ขี่อาชา ยิงเกาทัณฑ์ ควบม้าสองรอบ หากเจ้าชนะ จึงถือว่าผ่านการประเมิน” 

“เจ้าค่ะ ... เวยเซี่ยวจะทุ่มเทอย่างสุดความสามารถแน่นอน” กู้อันเฉิงแจกยิ้มกว้างเผื่อแผ่ให้กับทุกคน ไม่เว้นแม้กระทั่งเหล่าทหารผู้น้อยที่เข้ามารวมตัวกันเพื่อชมเรื่องสนุก 

“”ข้ายินดีรับคำท้าขอรับ และจะไม่ยอมอ่อนข้อให้พระชายาโดยเด็ดขาด” กู้เหวินประกาศกร้าว ได้เห็นฝีไม้ลายมือของพระชายาในวันนี้แล้ว ต่อให้เขาแพ้ก็ไม่คิดเสียใจ 

“เช่นนั้นรบกวนขอคำชี้แนะจากท่านรองแม่ทัพกู่เหวินแล้ว” กู้อันเฉิงกล่าวจบนางก็กระโดดขึ้นม้าอย่างคล่องแคล้ว   

เซวียเย่าอ๋องถึงกับเบิกตากว้าง เมื่อคิดไปถึงตอนที่เขาส่งนางขึ้นบนหลังฟ้าคำรณเพราะคิดว่านางไม่เคยขี่ม้า จนกระทั่งคิดช่วยเหลือให้นางได้เรียนรู้การขี่ม้า อย่างน้อยเวลาแข่งขัน นางจะได้ไม่พลาดพลั้งตกลงมาจนได้รับบาดเจ็บ ที่แท้เขาคิดผิดมาตั้งแต่ต้น 

“วิธีการแข่งขันมีสองรอบแม้เรียบง่าย แต่ยังกลับต้องใช้ความสามารถขั้นสูง นั่นก็คือ รอบแรกประลองความเร็ว เจ้าทั้งสองแข่งความเร็วควบม้าวิ่งรอบลานฝึกหนึ่งรอบ พอถึงรอบที่สอง จะมีเกาทัณฑ์รออยู่ใครคว้าเกาทัณฑ์ยิงเข้าเป้าได้ก่อนผู้นั้นชนะ เอาล่ะ เมื่อพร้อมแล้ว เริ่มได้” เซวียเย่าอ๋องประกาศกติกาเสร็จก็สั่งเริ่มการประลองในทันที...   

สิ้นสุดคำสั่งอาชาของกู้อันเฉิงพุ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วประดุจลูกเกาทัณฑ์ถูกปล่อยจากสาย อาชาของกู้เหวินกลับยังอยู่กับที่ เขามองดูแผ่นหลังของพระชายาที่ค่อยทิ้งห่างออกไป  กู้เหวินใช้มือลูบหัวอาชา หันศีรษะแสดงความคารวะเซวียเย่าอ๋องแล้วค่อยลงแส้ใส่อาชา แม้ออกตัวทีหลัง แต่ฝีเท้าม้ากลับเร็วยิ่ง ถึงกับเร็วกว่าม้าของกู้อันเฉิงอีกเท่าตัว...   

เซวียเย่าอ๋องพลันลูบคางแววตาทอแววกังวลอยู่บ้าง หลายเดือนมานี้ทักษะการควบอาชายิงเกาทัณฑ์ของกู้เหวินถือว่ารุดหน้าอย่างรวดเร็ว อาจกล่าวว่าแทบทัดเทียมกับเขาแล้ว แต่การณ์นี้เขากลับนึกอยากให้กู้เหวินพ่ายแพ้ 

ในขณะที่อาชาของกู้เหวินไล่กวาดตามมาจนจวนจะตามทัน เสียงตวาดเย็นชา ลงแส้ใส่สะโพกม้าไม่ยั้ง เร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นจนแซงกู้อันเฉิงไปได้แล้ว กู้เหวินเหลียวหน้าหันมามองพระชายา ตะโกนเสียงดังว่า   

“สตรีย่อมเป็นสตรี ... ต่อให้พระชายาออกตัวมาก่อนยังไงก็เอาชนะข้าไม่ได้หรอก ...” กล่าวจบ ก็มิรั้งรอ รีบกระทุ้งท้องม้า หวดแส้ เร่งฝีเท้า ทิ้งห่างกู้อันเฉิงออกไปไกลทุกที   

กู้อันเฉิงเหมือนถูกเหยียดหยาม พลันเม้มริมฝีปาก ลงแส้ในมือใส่อาชา เพียงแค่ชั่วอึดใจเดียว กู้เหวินก็รู้สึกถึงกระแสลมพัดมาทางด้านหลัง จากนั้นค่อยพบว่าพระชายาเวยเซี่ยวนำหน้าเขาไปแล้ว กว่าครึ่งตัว!!   

“พี่ใหญ่...ท่านดูถูกสตรีแบบนี้ไม่ดีนะ” กู้อันเฉิงร้องตอบพลางหัวเราะลั่น เมื่อนางโน้มตัวลงคว้าชุดเกาทัณฑ์เอาไว้ อีกทั้งยังเหนี่ยวสายปล่อยลูกธนูเข้าสู่เป้าอย่างแม่นยำ! 

แล้วในที่สุดผลแพ้ชนะก็ปรากฏสร้างความพอใจและประหลาดใจให้เซวียเย่าอ๋องเป็นอย่างมาก การแข่งขันครั้งนี้พิสูจน์ให้ทุกคนได้เห็นและเข้าใจคำว่าสำลีซ่อนเข็มได้อย่างชัดเจน แท้จริงแล้วนางยังมีความลับมากน้อยแค่ไหน และยังจะทำเรื่องประหลาดใจได้อีกมากน้อยเพียงใด เซวียเย่าอ๋องไม่อาจคาดเดาได้   

“เจ้า...เอ่อ...หวางเฟย...” กู้เหวินถึงกับมิอาจกล่าววาจาใดออกมาได้ มิใช่เพราะพ่ายแพ้แก่สตรี ทว่าเป็นเพราะคำเรียกขานของพระชายานั่นต่างหาก นางเรียกเขาว่า พี่ใหญ่...   

“ท่านรองแม่ทัพกู้ออมมือให้แล้ว”   

“ข้าผู้น้อยขอยอมแพ้...ข้ามีตาแต่ไม่รู้จักเขาไท่ซาน เสียมารยาทแล้ว ขอให้หวางเฟยได้โปรดให้อภัย  ” กู้เหวินน้อมกายแสดงความคารวะต่อพระชายาเวยเซี่ยว 

“เป็นเพราะท่านรองแม่ทัพกู้เหวินออมมือ เวยเซี่ยวละอายใจในชัยชนะครั้งนี้นัก” กู้อันเฉิงมีท่าทีอ่อนน้อมถ่อมตน ถึงกับก้มหน้าลงอย่างขวยเขิน   

“ข้าผู้น้อยรับปากแล้วว่าจะไม่ออมมือ ก็ย่อมไม่ออมมือ ชัยชนะครั้งนี้ ย่อมเป็นของเย่าหวางเฟยอย่างแท้จริง” กู้เหวินยอมรับและยอมแพ้อย่างศิโรราบ 

เป็นครั้งแรกที่เซวียเย่าอ๋องรู้สึกอยากโอบกอดเย่าหวางเฟยไว้ในอ้อมแขน รู้สึกว่าตนช่างเลอะเลือนนัก เหตุไฉนมิเคยเห็นด้านที่น่ารักของสตรีนางนี้มาก่อน ในใจพลันรู้สึกเต้นแรงอย่างที่มิเคยเป็น 

“ในเมื่อรองแม่ทัพกู้เหวินยอมรับว่าพ่ายแพ้แล้ว นั่นก็คือชัยชนะของเจ้า” กล่าวจบ เซวียเย่าอ๋องก็ดึงเย่าหวางเฟยเข้ามาในอ้อมกอดต่อหน้าเหล่าทหาร “ไปกันเถอะ... กลับจวนด้วยกัน หลังอาหารมื้อค่ำ ข้ายังมีบ้างอย่างที่ต้องให้เจ้าทำอีก” 

เซวียเย่าอ๋องส่งชายาขึ้นนั่งบนหลังฟ้าคำรณก่อนจะเหนี่ยวตัวตามขึ้นไป ขี่อาชาตัวเดียวกัน กายทั้งสองแนบชิดติดกัน กู้อันเฉิงพลันตระหนักถึงเรื่องบางประการที่ทำให้เธอตัวแข็งทื่อยอมปล่อยให้เขาโอบกอดรอบเอวจากทางด้านหลัง ทิ้งเอาไว้ให้คนที่เห็นเหตุการณ์ บ้างตกตะลึง บ้างอารมณ์ดี บางเขินแทนจนเบือนหน้าหนี แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ใครเล่าจะเก้อเขินได้เท่ากู้อันเฉิงคงไม่มีแล้ว 

  

เมื่อถึงเวลาอาหารมื้อค่ำ เบื้องหน้า เซวียเย่าอ๋องมีอาหารเลิศรสมากมายวางอยู่เต็มโต๊ะ เขายังไม่ลงมือรัปประทานอาหารเพราะยังนั่งรอพระชายามาร่วมรับประทานด้วยกัน 

“ท่านอ๋อง พระชายาฝากมาเรียนท่านอ๋องว่านางกินมื้อค่ำเรียบร้อยแล้ว” พ่อบ้านหม่าเข้ามารายงาน 

“นางกินข้าวแล้วเหรอ นางกินอะไร ทำไมรวดเร็วเช่นนี้” คิ้วรูปดาบขมวดเข้าหากันด้วยความสงสัย 

“อาหารปกติของพระชายาคือข้าวหนึ่งถ้วย เนื้ออบหรือย่างสุกไม่ติดมันเกรียมน้อยสามชั่ง ไข่ต้มห้าฟองและผักสดตามฤดูกาลหนึ่งจานขอรับ” 

“นางกินเช่นนี้ทุกวันหรือ” 

“ตั้งแต่พระชายาเข้ามาอาศัยในจวนอ๋อง ทุกมื้อ อาหารที่นางสั่งล้วนเป็นเช่นนี้ อ้อ นางยังสั่งเผื่อสาวใช้ของนางด้วย นายบ่าวกินเหมือนกัน”   

เซวียเย่าอ๋องถึงกับต้องตกอยู่ในความคิดอีกครั้ง ทว่าคิดอย่างไรก็คิดไม่ออกเกี่ยวกับรายการอาหารที่เวยเซี่ยวกิน มันเป็นอาหารที่มีปริมาณค่อนข้างมากเมื่อเทียบกับร่างกายอันบอบบางของนาง และที่สำคัญ คุณหนูตระกูลใหญ่อย่างนางที่จวนเสนาบดีจะเลี้ยงดูธิดาด้วยอาหารพื้นๆไร้การปรุงแต่งเช่นนี้ด้วยหรือ... 

“เอาเถอะ เช่นนั้นอีกครึ่งชั่วยามให้เชิญพระชายามาพบข้าที่ห้องหนังสือ” 

“ขอรับท่านอ๋อง” พ่อบ้านหม่ารับคำสั่งแล้วค่อยถอยหลังออกไป 

  

ต้นยามซวี(19.00-21.00น.) กู้อันเฉิงเข้าพบเซวียเย่าอ๋องตามคำสั่ง คำพูดของเขาที่ลานฝึกทหารยังติดอยู่ที่หู อะไรคือบางอย่างที่เขาจะให้นางทำ ได้แต่คาดเดาไปต่างนานา คงไม่ใช่ให้ทำหน้าที่พระชายาหรอกนะ ความคิดสุดท้ายนั่นกลับทำให้นางร้อนวูบไปทั้งใบหน้า 

“ท่านอ๋อง เวยเซี่ยวมาถึงแล้วเจ้าค่ะ” 

“เข้ามาได้”   

เสียงอนุญาตภายในดังขึ้นไม่ดังไม่ค่อย กู้อันเฉิงสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ ก่อนจะผลักบานประตูเปิดออกกว้าง แล้วก้าวเข้ามา ลังเลว่าสมควรจะปิดประตูให้เรียบร้อยดีหรือไม่ 

“ปิดประตู แล้วมานั่งนี่”   

เซวียเย่าอ๋องสั่ง กู้อันเฉิงจึงหันกลับไปดึงบานประตูเข้าหากัน ก่อนจะหันกลับมามองท่านอ๋องซึ่งบัดนี้เขากำลังให้ความสนใจกระดานหมากตรงหน้า นางจึงค่อยเดินมานั่งยังฝั่งตรงข้ามโดยมีกระดานหมากล้อมขวางไว้ 

“เจ้าเคยเล่นหมากล้อมหรือไม่”  รอให้พระชายานั่งลงเรียบร้อย เขาก็มีคำถามตามมาทันที 

“เคยเห็นท่านพ่อเล่นเจ้าค่ะ” 

กู้อันเฉิงตอบตรงตามคำถาม ปกติที่ค่ายจ้านเสินนางไม่มีเวลาว่างพอที่จะเล่นหมากล้อมกับใคร สิบสองชั่วยามได้พักผ่อนนอนหลับแค่สามชั่วยาม ที่เหลือ ไม่ฝึกทหารก็ทำงานตามที่ได้รับมอบหมาย ทว่านางมีโอกาสได้เห็นท่านอ๋องกับกู้เหยียนบิดาของนางเล่นหมากล้อมกันบ่อยครั้ง แต่นางไม่เคยเล่นด้วยตัวเองสักครั้ง 

“ข้าหมายถึงตัวเจ้า” 

“ไม่เคยเจ้าค่ะ” 

“เช่นนั้นก็น่าหนักใจแล้ว เพราะการแข่งขันเล่นหมากล้อม เป็นรายการที่พรุ่งนี้เจ้าต้องชนะเท่านั้น” 

“ข้าอาจทำให้ท่านอ๋องต้องผิดหวัง...”   

กู้อันเฉิงก้มหน้าซ่อนแววตาที่แสดงความรู้สึกในใจไม่ให้ผู้ใดรู้นอกจากตัวนาง  ทว่าเย่าอ๋องกลับมองว่านางกำลังตกอยู่ในความเศร้า เพราะหากนางพ่ายแพ้ ตำแหน่งชายาเอกก็จำต้องยกให้คนอื่น อีกทั้งยังต้องเนรเทศตัวเองไปเป็นบ่าวรับใช้ที่ชายแดน 

“หรือข้าจะขอให้ฝ่าบาทเลือกที่จะประลองการขี่ม้ายิงเกาทัณฑ์ก่อน ถ้าเป็นหัวข้อนี้เจ้ามีโอกาสชนะอยู่บ้าง ”   

นี่เซวียเย่าอ๋องกำลังแสดงความเห็นใจนางอยู่ใช่หรือไม่ เขาไม่อยากให้นางพ่ายแพ้เพราะไม่อยากแต่งกับองค์หญิงฉู่ฉิงเหยียน หรือเพราะเขาไม่อยากให้นางถูกเนรเทศไปลำบาก อยากรู้ซะจริง 

“จริงๆ เรื่องแพ้ชนะ ข้าไม่ได้ใส่ใจเท่าไหร่นัก ถึงข้าแพ้อย่างน้อยท่านอ๋องก็ยังได้เป็นถึงราชบุตรเขยแห่งซีฉู่ ส่วนข้า ได้ไปอยู่ชายแดนก็ใช่ว่าจะไม่ดี ข้าได้ยินว่าทหารที่ค่ายจ้านเสินล้วนถูกฝึกมาให้มีหัวใจเป็นมนุษย์ ไม่รังแกผู้อ่อนแอกว่า ทั้งยังให้เกียรติสตรี ดูแลเด็ก ใส่ใจคนชรา ข้าว่าถึงข้าจะถูกส่งไปอยู่ที่นั่นก็คงไม่...” 

“คิดโง่ๆ ใครให้เจ้ายอมแพ้ตั้งแต่ยังไม่เริ่มต้นแข่งขัน” เซวียเย่าอ๋องตวาดลั่น   

กู้อันเฉิงถึงกับคอหด...ถึงนางจะเป็นดั่งสำลีซ่อนเข็ม ทว่าเซวียเย่าอ๋องก็ไม่ต่างจากหินก้อนใหญ่ยากที่เข็มอย่างนางจะต่อกรด้วย 

“ขะ...ข้าแค่คิดเผื่อท่าน...และคิดเผื่อตัวเอง” กู้อันเฉิงกล่าวด้วยเสียงตะกุกตะกัก 

“หากเจ้าคิดเผื่อข้าและคิดเผื่อตัวเองจริงๆ พรุ่งนี้เจ้าต้องชนะทั้งสองหัวข้อ” 

“ทำไมหรือเจ้าคะ ท่านอ๋องไม่อยากแต่งกับองค์หญิงเพียงนั้นเชียวหรือ นางถือว่างดงามเป็นหนึ่ง ความสามารถก็เพียบพร้อม” 

“ไม่ต้องการแต่ง และไม่ต้องการให้เจ้าไปเป็นบ่าวรับใช้ใคร นอกจากข้าเซวียเย่าอ๋องคนนี้คนเดียวเท่านั้น เข้าใจหรือไม่” 

“ขะ...เข้าใจ...จะ...เจ้าค่ะ” กู้อันเฉิงรีบรับคำก่อนที่ขวัญจะกระเจิงไปไกลกว่านี่ 

“เช่นนั้นเจ้าลองแก้หมากกระดานนี้ดูสิ” 

“ขะ...ข้า...” 

“อ้อ...ลืมไป เจ้าไม่เคยเล่นหมากล้อม เช่นนั้นคืนนี้ข้าจะสอนกติกาการเล่นหมากให้กับเจ้า ต้องเดินเช่นไร ต่อสู้ศัตรูเช่นไรแพ้ ชนะ เป็นเช่นไร ไม่เป็นไม่ต้องกลับไปนอน” 

เมื่อเซวียเย่าอ๋องต้องการเป็นครูที่ดี กู้อันเฉิงก็จะขอเป็นศิษย์ที่ดีด้วยเช่นกัน นางตั้งใจฟัง ตั้งใจดูแนวทางการเดินหมากที่นางคุ้นชินสายตา ทว่าต่อให้เซวียเย่าอ๋องเดิมหมากได้ดีแค่ไหน ยังไงซะเขาก็ไม่ใช่เซียนหมากอันดับหนึ่งของค่ายจ้านเสิน เพราะคนที่เป็นเซียนหมากตัวจริงที่ต่อให้เซวียเย่าอ๋องฝึกซ้อมฝีมือมามากแค่ไหนก็ไม่อาจต่อกรได้นั่นก็คือ กู้เหยียน กุนซือผู้เฒ่า นักวางแผนจอมเจ้าเล่ห์แห่งค่ายจ้านเสิน ผู้ที่คนทั้งโลกไม่มีทางรู้ว่าเขาคือบิดาผู้ถ่ายทอดกลยุทธ์ทางด้านการรบให้แก่นางจนหมดเปลือก และเป็นผู้ที่บอกนางเสมอว่าการเล่นหมากล้อมก็ไม่ต่างจากการวางแผนรบ หากวางแผนดี วางแผนได้แยบยล ก็สามารถสร้างปรากฏการณ์ร้อยชนะหมื่นได้ 

เซวียเย่าอ๋องมองดูใบหน้างดงามที่ฟุบหลับอยู่บนโต๊ะที่วางกระดานหมากล้อมก็เผลอยกมุมปากขึ้น เขาสอนการเล่นหมากให้นางได้ยังไม่สองชั่วยามดีนักนางก็ทนความง่วงไม่ไหวแล้ว นั่นอาจเพราะการฝึกขี่ม้าและการแข่งขันกับรองแม่ทัพกู้เหวินเมื่อตอนกลางวัน ทุกเรื่องย่อมใช้แรงทั้งสิ้น แถมอาหารมื้อค่ำก็มากมาย เมื่อกินอิ่มหน่ำร่างกายก็ย่อมต้องการพักผ่อนเป็นธรรมดา 

เซวียเย่าอ๋องค่อยๆช้อนตัวเย่าหวางเฟยขึ้นสู่อ้อมแขนอย่างเบามือ พานางเดินออกจากห้องหนังสือตรงไปยังเรือนหลักที่แต่ก่อนเป็นที่พำนักของเขา ทว่าเวลานี้กลายเป็นที่พำนักของนาง 

ถานเอ๋อร์สาวใช้ประจำตัวเย่าหวางเฟยนั่งสัปหงกอยู่บนเก้าอี้ที่โต๊ะหน้าเตียงถึงกับสะดุ้งเมื่อประตูห้องถูกผลักเข้ามาโดยไร้สัญญาณ   

“กลับมาแล้วหรือเจ้าคะคุณ...หนู”   

น้ำเสียงตอนท้ายเบาลงเกือบเป็นกระซิบ เมื่อพบว่าคุณหนูของนางหลับใหลอยู่ในอ้อมแขนของท่านอ๋อง นางรีบลุกขึ้นตรงไปเปิดผ้าห่มออกเพื่อท่านอ๋องจะได้วางคุณหนูของนางได้สะดวก เห็นท่าทีดึงผ้าขึ้นคลุมร่างพระชายาของท่านอ๋องแล้ว ถานเอ๋อร์ถึงกับยิ้มกว้าง ดูแล้วท่านอ๋องก็ใช่ว่าจะไม่ใส่ใจพระชายา เหตุที่ยังแยกพักคนละเรือนนั่นก็อาจเพราะความจำเป็นที่พ่อบ้านเคยบอกไว้ ไม่ใช่ข้ออ้างอย่างที่นางเข้าใจในทีแรกก็เป็นได้ 

“ท่านอ๋องจะพักที่นี่หรือไม่เจ้าคะ...เช่นนั้นบ่าวจะไปแจ้งท่านพ่อบ้านก่อนนะเจ้าคะ” ถานเอ๋อร์อาศัยจังหวะที่ท่านอ๋องยังไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ วิ่งออกประตูไป ทิ้งให้เซวียเย่าอ๋องมองตามด้วยสีหน้างุนงง 

เซวียเย่าอ๋องหันกลับไปมองร่างบอบบางของพระชายา นี่เป็นครั้งที่สองที่เขามีโอกาสได้มองนางอย่างใกล้ชิด ก็ยังคงเห็นว่านางนั้นงดงามไม่แพ้ใคร ตอนนั้นเขามีโอกาสได้เข้าหอกับนางแล้วแท้ๆ ไฉนเขาถึงได้ปฏิเสธ ทว่าครั้งนี้โอกาสนั้นได้เวียนกลับมาอีกครั้ง ทว่าเวยเซี่ยวยังหลับอยู่ นางต้องการการพักผ่อน เพื่อรับศึกในวันพรุ่งนี้ เช่นนั้นเพียงแค่ขอนอนร่วมเตียงเคียงข้างชายาเฉยๆ นางคงไม่มีปัญหาอะไรกระมัง 

 




Create Date : 27 มีนาคม 2565
Last Update : 27 มีนาคม 2565 19:44:29 น.
Counter : 668 Pageviews.

0 comments
เบญจมาศ​ ปรศุราม
(5 พ.ย. 2567 09:42:24 น.)
: กะว่าก๋าแนะนำหนังสือ - ปลุกให้ตื่น...รู้อย่างเซน เห็นอย่างพุทธ : กะว่าก๋า
(5 พ.ย. 2567 04:00:34 น.)
Oh!! my sassy boss ตอนที่ 35 หน้า 2 unitan
(5 พ.ย. 2567 08:50:48 น.)
วันอาทิตย์ที่ ๓ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๖๗ สมาชิกหมายเลข 3418844
(4 พ.ย. 2567 02:54:33 น.)
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Tonglang.BlogGang.com

นิยายฝันหวาน
Location :
มหาสารคาม  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 13 คน [?]