การรักคนมีเจ้าของ
ก็เหมือนกับ
การเลือกตั้ง
ต้องลงชิงชัยกับ เจ้าของเขตฯ คนเก่า
ซึ่งมีฐานคะแนนเสียงเหนียวแน่น
ต้องหาเสียงอย่างขะมักขะเม้น
แม้เมื่อการเลือกตั้งมาถึง
และผมจะสอบตก
(ด้วยคะแนนเสียงเฉียดฉิว---ผมคิดเอาเอง ไม่พึ่งโพล)
แต่ในฐานะ นักการเมือง ที่ดี ผมก็ยังคง ทำแต่ความดีเพื่อประชาชน
มอบสิ่งดี ๆ ให้แก่ประชาชนเรื่อยมา
โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน(เปรียบดั่งตัวเองเป็น อัล กอร์)
ทั้ง ๆ ที่ความจริงแล้วนั้น
ผมได้หันหลังให้แก่ การเมือง ไปตั้งแต่ สอบตกครั้งนั้นแล้วก็ตาม
แม้ผมจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมืองแล้ว
แต่ผมก็ยังคงมี ความห่วงใย
มีคำปรึกษาดี ๆ
มอบให้ ประชาชนในพื้นที่ที่ผมเคยลงชิงชัยเสมอ
ทุกครั้งที่ได้คุยกัน
สำหรับ แตงโม แล้ว
หลังจากผม สอบตก จากเธอ
ผมก็ยังโทร.ไปถามสารทุกข์สุขดิบเรื่องทั่ว ๆ ไปตามปกติ
ตามประสานักการเมืองที่เคยมาลงพื้นที่
จนวันหนึ่ง
ผมได้พบว่า ปัญหาในท้องที่นี้ได้มีเรื่อง ความรักเกิดขึ้น เสียแล้ว
แตงโม บอกผมว่า
ความจริงระหว่าง เธอกับแฟนเธอ ที่จริงแล้วนั้น
จริง ๆ เพิ่งคบกันได้ไม่ถึงเดือน
จากนั้นฝ่ายชายก็ไปต่างประเทศเลย
และนับจากนั้นมา....
เขาไม่ค่อยโทร.มาหาเธอเลย
เขาห่างเหินเหลือเกิน
แตง บอกผมว่า
1 ปีที่ผ่านมา เธอกับเขา ไม่ค่อยมีความผูกพันกันเลยด้วยซ้ำไป
ได้ยินดังนั้น...
สมองของผมก็วิเคราะห์สถานการณ์ออกมาได้เป็น
"ทฤษฎีรักแท้แพ้ระยะทาง"
ที่มอบให้แก่แตง
ป.ล แม้ผมจะเป็นคนที่เขียน
"10 เหตุผลที่เราควรเป็นแฟนกันทั้ง ๆ ที่อยู่คนละซีกโลกในอีก 1 ปีต่อมา" ก็ตาม
แต่ผมก็เคยคิด ทฤษฎี
"5 เหตุผลที่แฟนกันจะไปไม่รอดถ้าอยู่คนซีกโลก" มาก่อนนะ
จากการคุยกันหลาย ๆ ครั้ง
ฟังหลาย ๆ ปัญหา,สถานการณ์ที่เกิดขึ้น
สิ่งที่ผมบอกกับแตงทั้งหมด รวบรวมออกมาได้เป็นทฤษฎีดังนี้
5 เหตุผลที่แตงกับแฟนแตงจะไปไม่รอด
1.บัตรโทร.กลับเมืองไทยมีเยอะแยะ ถ้าคนมันมีใจอยากโทร.นะ
สามารถโทร.ได้ทุกวัน ไม่โทร.มา 2 เดือนครั้งแบบนี้หรอก(เช่นผมเป็นต้น)
2.แตงจะเอาเวลาช่วง วัยรุ่น ช่วงที่ enjoy กับความรัก poppy love มาเสียเวลารอคอย ให้กับคน ๆ เดียว(ที่ไม่ค่อยสนใจเรา)เพื่ออะไร?
3.คบกันแบบนี้ เมื่อเวลาผ่านไป แตงจะไม่ได้อะไรเลย แม้แต่ความทรงจำดี ๆ เสียเวลาเปล่า ๆ
4.มีความเป็นไปได้ ที่ แฟนแตง อาจจะมีแฟนใหม่ที่นู่น 1 คน และก็อาจจะคบแตงไว้ที่เมืองไทยอีก 1 คน เวลากลับมาไทยจะได้มีแฟน ไม่ต้องเสียเวลาหา
5.ท้ายที่สุดนี้ เมื่อความผูกพันไม่มี จะกลัวทำไมที่จะเลิก
ทฤษฎีความคิดเห็นตรง ๆ จากผม
แสดงความคิดเห็นไปตามสิ่งที่มอง
ไปตามสถานการณ์ที่เป็นอยู่
แบบไม่ได้กะจะ จิตวิทยา ให้เธอ อยากจะเลิกกับแฟนเสียให้ได้
ไม่ได้กะพูดไปเพื่อให้ หวังผล อย่างอื่นหรอก
นอกจากเสนอสิ่งที่ดีที่สุดให้แก่ปัญหาของพ่อแม่พี่น้องอย่างแท้จริง
ไม่ได้พูดให้ตัวเอง
เพราะเหตุผลทั้งหมดที่พูดมานั้น
เอาเข้าจริง ๆ มันก็ไม่ได้ช่วยผมนักหรอก
มันก็โจมตี ตัวผมเหมือนกัน เพราะผมก็อยู่ต่างประเทศ
ผมอยากช่วยแก้ปัญหานั้น
ในฐานะที่ไม่ใช่ นักการเมืองอีกต่อไป.....
8 เดือนต่อมา....
กลางเดือน สิงหาคม 2006
ระหว่างผม กลับไปทำเรื่อง มาอเมริกา ที่เมืองไทย
เกิดการสารภาพรักครั้งที่ 2
ที่โทรศัพท์สาย พิษณุโลก-เชียงใหม่ ขึ้นอีกครั้ง
"เรามาคบกันมั้ย?"
ประโยค โรแมนติค ๆ ที่หลุดออกมาจากการสนทนาระหว่าง ผม กับ แตง เมื่อคืนวันนั้น
แต่คราวนี้.....
ผมไม่ได้เป็นคนพูด
つづく
มอบสิ่งดี ๆ ให้แก่ประชาชนเรื่อยมา
โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน...
^
^
^
จริงเร้อ...พูดเหมือน ส.ส. แถว ๆ นี้เลยอ่ะ