เรื่องสั้นขนาดยาว - "สมานฉันท์วันวินาศ" โดย หมีบางกอก



สมานฉันท์วันวินาศ

โดย

หมีบางกอก 


แดดที่ทอแสงระยิบจนแทบเห็นเป็นตัวเป็นตนทำให้ผู้ชุมนุมหลายคนเริ่มล้าค่อยๆ ทยอยหาที่หลบพลังอัลตราไวโอเลตที่ทะลุทะลวงผ่านชั้นบรรยากาศโลกเข้ามาแรงขึ้นทุกๆ วัน กรุงเทพฯ ที่ผ่านมาก็ยังไม่เคยร้อนปานจะมอดไหม้เช่นนี้มาก่อน

ในฐานะนักข่าวหัวเห็ดจอมทรหดแบบเธอ ผ่านร้อนผ่านหนาวมาก็นักต่อนัก ติดตามทั้งม็อบ ทั้งการประท้วงร้อยแปดพันเก้ามาก็ไม่น้อย ขนาดสงกรานต์เลือดคราวที่แล้วเธอยังต้องกระเตงกล้องสองตัววิ่งตามก้นทหารอยู่หยอยๆ ยังต้องยอมรับว่าปีนี้อะไรๆ มันหนักหนาสากรรจ์กว่าที่เคย จะไปโทษโลกร้อนก็กระไร หรือเพราะใจคนมันเผลอๆ ร้อนกว่าหลายเท่า

ณ วันนี้ ความรู้สึกเบื่อหน่ายเริ่มคืบคลานเข้ามา เธอไม่เคยเบื่อเรื่องการรอคอยหรอกนะ ทำข่าวพวกนี้มันต้องทำใจ บางทีมันก็หนืดๆ บางทีมันก็ตูมตามขึ้นมาไม่ทันรู้เนื้อรู้ตัว หากแต่ตอนนี้ ความเบื่อที่ครอบคลุมอยู่ มันอาจจะเพราะไม่มีประเด็นใหม่ๆ อะไรให้เล่นกระมัง ปรากฏการณ์รายวันแทบจะเดาได้....

หรือสื่อมวลชนจะสนใจแต่ประเด็นข่าวแรงๆ ? บรรดารุ่นพี่ๆ ที่พร่ำสอนกันมาต่างเน้นนักเน้นหนาเรื่องพาดหัวข่าวให้เร้าใจ บิดเบือนแค่ไหนช่างหัวมัน... อ้าว แล้วไอ้จรรยาบรรณสื่อที่อุตส่าห์ร่ำเรียนกันมาแทบล้มประดาตายพากันไปหมกไว้อยู่ที่ไหน สงสัยกรวดน้ำคว่ำขันลอยอังคารกันไปเกลี้ยง

เธอพลิกหน้าหนังสือพิมพ์สีเขียวที่คลุมหัวกันแดดอยู่พักใหญ่ หลังจากเมฆก้อนโตเคลื่อนมาบังแสงอาทิตย์ ขนาดหนังสือพิมพ์ที่เคลมว่าขายดีที่สุด ยังแบะท่าเขียนข่าวเชียร์กลุ่มคนบ้าสีกันโต้งๆ แสดงว่าผลประโยชน์ไม่เข้าใครออกใครจริงๆ

น่ากลัวนะ..ในใจเธอนึก..หากสื่อมวลชนไม่เป็นกลางเลือกเสนอแต่ข่าวโปรปะกันดาฝ่ายที่ตัวเองหนุน ด้วยกลวิธีในการแถเลือกเขียนบทความที่จะโจมตีแทนที่จะเสนอข้อมูลความจริงอย่างเป็นกลาง..และเป็นเหตุเป็นผล

อย่างนี้จะไปหวังให้คนไทยหัดคิดอย่างมีเหตุมีผลได้อย่างไร ?

เลยทำให้เธออดระแวงตัวเองไม่ได้.. กลัวว่าความเคยชินในการทำข่าว Sensational แบบไทยๆ จะสร้างความรู้สึกด้านชาให้กับจรรยาบรรณด้านวิชาชีพ แต่กระนั้น..สัญชาติญาณนักข่าวที่แท้จริงที่ฝังอยู่ในเบื้องลึก ได้คอยกระตุ้นต่อมสำนึกให้ทำงานอยู่เนืองๆ ว่า นี่เธอกลายเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างกระแสผิดๆ ให้กับมวลชนทั่วประเทศหรือเปล่า?

ยิ่งตอนนี้สถานการณ์กำลังหน้าสิ่วหน้าขวาน จรรยาแบนของนักข่าวไทยกำลังทำหน้าที่ปลุกความเข้าใจเพี้ยนๆ ให้กับประชาชนอยู่หรือเปล่านะ?

"บึ้ม..."
เสียงคล้ายระเบิดดังสั้นๆ มาจากค่ายทหารข้างหน้า เธอถลาลงหมอบลงด้วยสัญชาตญาน ฝุ่นควันฟุ้งตลบอบอวล...เศษอิฐเศษหินปลิวเฉียดฉิว บางส่วนร่วงกราวลงมาบนหลัง เวรกรรม..กล้อง DSLR ตัวใหม่ของเธอกระเด็นไปไหนกันเนี่ย...

................................................................................................

เสียงวิทยุชุมชนคนบ้าสีที่เปิดกรอกหูดังมาจากแท็กซี่คันที่จอดอยู่ด้านล่างตึก เสียงโหวกเหวกของโฆษกกำลังด่าทอฝ่ายตรงข้ามอย่างไม่ห่วงเรตติ้ง เขานึกในใจ นี่เด็กเล็กที่ไหนมานั่งฟัง มันจะคิดยังไงบ้างหนอ ผู้ใหญ่บ้านเราช่างเป็นตัวอย่างอันดีงามของเยาวชนจริงๆ

ดีที่เขาให้เมียพาลูกสองคนกลับบ้านที่จังหวัดชายแดนตั้งแต่เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว ไม่งั้นคงอดห่วงหน้าพะวงหลังไม่ได้....

"พึ่บ..."

นิ้วเหนี่ยวไกเอ็ม 79 ลูกต่อไปลอยละลิ่วไปตกไม่ไกลจากที่เดิมมากนัก...

แวบหนึ่ง...ดันนึกไปถึงพ่อกับแม่ซึ่งคอยเฝ้าบ้านอยู่ทางโน้น หวังว่าคงไม่มีฝ่ายตรงข้ามแอบดอดเข้าไปโยนระเบิดใส่หรอกนะ...

เขาสะบัดหัวเหมือนพยายามไล่ความคิดฟุ้งซ่านไปจากสมอง นิ้วกระดิกส่งเอ็ม 79 ลูกที่ 3 ออกไปอย่างรวดเร็ว

ส่องกล้องจากที่ไกลขนาดนี้ เขาไม่สามารถเช็ควิถีอะไรได้มากนัก เพราะฝุ่นควันที่ตลบอบอวลท่ามกลางเสียงโวยวายของผู้คนในบริเวณนั้น

เขาหันกลับไปคว้าเอ็ม 79 ขึ้นมาประทับบ่า เขาชอบทำงานคนเดียว รับเงินคนเดียว ได้กันเป็นกอบเป็นกำ สีไหนก็ชั่งหัวมันเหอะ ขอเป็นสีแบ๊งค์ม่วงกับแบ๊งค์น้ำตาล เขาก็รับได้หมดแหละ มันอาชีพหลักนี่นะ รัฐก็ไม่เคยให้สวัสดิการอะไร ไอ้พวกบ้าสีก็จ่ายไม่เคยครบ พวกยูนิฟอร์มก็กัดกันเองไม่กล้าลงมือ ยิ่งเศรษฐีหมื่นล้าน เฮ้อ ใครจะบินไปตามเก็บตังค์ เอ๊ะ ไปๆ มาๆ เขาก็รับมาหมดทุกเจ้าแล้วละซี

.................................................................................................


หนุ่มร่างเตี้ยล่ำลืมตาขึ้นอย่างงงๆ ท่ามกลางเสียงกรีดร้อง เสียงครวญครางรอบตัว ฝุ่นควันยังไม่ทันจางหาย เขาพบตัวเองนอนตะแคงอยู่กับพื้นถนน ....

สายตาที่ฝ้าฟางด้วยฝุ่นละออง พอปรับเข้าที่ ก็เห็นร่างผอมของอีกหนุ่มหนึ่งที่นอนฟุบอยู่เบื้องหน้า เสื้อสีแสบตามีรอยไหม้เป็นจุดๆ ..เลือดไหลซึมลงมาจากกลางศีรษะ

เขาพยายามตะเกียกตะกายขึ้นมา ลากร่างเจ้าหนุ่มผอมซึ่งยังไม่มีอาการกระดิกกระเดี้ย ถูลู่ถูกังผ่านผู้คนที่ยังนอนกองกันอยู่อ้อมมาข้างรถปิกอัพคันหนึ่ง ยกมือตบหน้าเรียกไอ้หนุ่มคนนั้นอยู่พักใหญ่ กว่าจะลืมตาขึ้นมาอย่างงงงวย...

บึ้มม.....เสียงระเบิดยังติดตามมา

รถปิกอัพที่นั่งพิงอยู่สะเทือนไปทั้งคัน ทั้งสองหลับตาปี๋กอดกันกลม...

“เจ้าพ่อช่วยลูกด้วย...” เสียงหนุ่มผอมอุทาน
“พ่อมึงอยู่ดูไบโน่น...” เสียงหนุ่มเตี้ยตามมาทั้งๆ ตายังไม่ยอมลืม

เขาบอกมันแล้วเทียวนา..ว่าอย่าไปยุ่ง ไอ้เวรนี่ก็บอกว่ารับปากพี่เขาแล้ว (แถมรับเงินพร้อมกล่องข้าวมาด้วย) จะไม่มาก็ไม่ได้เดี๋ยวโดนตีกบาล เขาก็เลยต้องตามใจเพื่อน ถ้าไม่ห่วงมันก็คงไม่รนหาที่หรอก แต่แรกก็แค่ประหลาดใจที่เห็นคนใส่เสื้อสีเดียวกันเฮละโลเข้ามาตั้งป้อมประท้วงในกรุงเป็นเรื่องเป็นราว นึกทึ่งที่บารมีของนายใหญ่นั้นช่างสั่งสมมาไพศาลล้านเจ็ด ประชาชนถึงศรัทธายิ่งกว่าพระเจ้าหวังว่าจะมาโปรดสัตว์ปลดหนี้กันได้ถ้วนทั่ว

ขณะที่เสียงกระแนะกระแหนลอยข้ามห้องมา ประมาณว่า อ๋อ..ที่แห่กันมาเพราะทั่นเหนือหัวเอาเงินภาษีของเราไปละเลงแจกพวกนั้นมาก่อนไง ประชาธิปไตยกินได้อิ่มท้องใครจะไม่เอา ไปๆ มาๆ กลับกลายเหมือนทั่นควักกระเป๋าแจกเอง คนไทยเป็นคนกตัญญูรู้คุณนะยะ ไหนจะสัญญิงสัญญาว่าถ้ากลับมาจะได้มากกว่านี้...

เขาก็ได้แต่เกาหัวแกรกๆ นึกไม่ออกจะบอกเพื่อนว่ากระไร ขณะที่ข่าวปฏิวัติรัฐประหารก็ว่อนไปทั่ว ในใจเขาเองก็ได้แต่งุนงงว่ามันจะปฏิวัติกันไปหาพระแสงอะไร คราวที่แล้วยังไม่เข็ดอีกเหรอ ไอ้รัฐประหารน่ะมันคงทำไม่ยากหากมีกำลังในมือ แต่การบริหารประเทศหลังจากนั้นล่ะ ใครจะยอมมาเป็นหนังหน้าไฟอีก ไหนจะต้องเผชิญหน้ากับกลุ่มต่อต้านซึ่งตอนนี้คงครบถ้วนกระบวนความทั้งฝ่ายค้าน ฝ่ายรัฐบาล....

บึ้ม......
โว้ย...มันจะยิงกันอีกกี่ลูกกันฟระ....หูเขาลั่นกริ่งด้วยแรงอัดจากระเบิด

.................................................................................................


เอ็ม 79 ถูกโยนเข้ากระเป๋าสีขี้ม้าใบเขื่อง เขาเก็บอุปกรณ์ทั้งหมดอย่างชำนาญในชั่วไม่กี่วินาที...

กระเป๋าสะพายบนบ่า ฝีเท้าวิ่งอย่างว่องไวลงขั้นบันไดเก่าๆ แค่กระโจนไม่กี่ก้าวเขาก็ทะลุออกประตูหลัง ทุกอย่างรอบตึกเก่านั้นยังคงไม่มีวี่แว่วใครมาสำเหนียก เขายิ้มมุมปาก..คราวที่แล้วจับมือใครดมไม่ได้..คราวนี้ก็เช่นเคย หน่วยข่าวกรองของทางการนี่มันห่วยจริงอย่างเขาว่า...

เขาเงยหน้า..เมื่อสักครู่แดดก็ยังแรงอยู่ เมฆครึ้มพวกนั้นมาจากไหนกัน...ลมกระโชกวูบจนใบไม้แห้งปลิวว่อน

เขายกมือบังฝุ่นละออง กระโจนข้ามรั้วเตี้ยๆ หลังตึก วิ่งเหยาะๆ ตรงไปที่มอเตอร์ไซค์คันเขื่องที่จอดอยู่ ทันใดนั้นเอง เสียงดังกราวแว่วมาเข้าหู...

เหมือนใครโยนก้อนกรวดไปบนหลังคาสังกะสี ..ยังไม่ทันขาดความคิด วัตถุเย็นๆ แข็งๆ สามสี่ก้อนก็ปลิวลงมาจากเบื้องบน

เขาร้องโอ๊ย พร้อมกับกุมศีรษะถลาไปพิงกำแพงตึกอีกด้าน ....

ทันใดนั้นเอง ลูกกลมๆ ขาวๆ เหมือนน้ำแข็งยูนิคที่รูปทรงไม่คงที่พากันสาดกระจายมาจากฟากฟ้า...กระจกข้างมอเตอร์ไซค์ราคาแพงคันนั้นแตกกระจาย

เขาอ้าปากค้าง..อะไรกันนี่

ความประหลาดใจยังไม่ทันจางหาย พายุลูกเห็บอีกชุดหนึ่งก็กระหน่ำมาถึงตัวเขาแล้ว...เขาถลาลงไปตะกายกับพื้น...กระเป๋าอาวุธกระเด็นไปจากตัว....

.................................................................................................


หลังจากลุกขึ้นมาได้ เธอก็รีบสอดสายตาหาอุปกรณ์ทำมาหากินก่อน นั่นไง..กล้องเพิ่งได้มาใหม่ๆ เดี๋ยวเจ้านายด่าเปิง

อ้อ..สภาพยังใช้ได้ บอดี้รุ่นนี้ทำมาแบบสมบุกสมบันกันน้ำได้ คงไม่เป็นไรหรอกน่า...

นักข่าวสาวคว้ากล้องตัวเขื่องกอดไว้กับตัววิ่งเหยาะๆ อย่างระแวดระวัง ขณะที่ฝุ่นควันจางลง เธอเพิ่งสังเกตเห็นพายุครึ้มอยู่ด้านบน

เสียงตะโกนเรียกดังมาจากด้านข้าง นั่นไงรถโอวีถ่ายทอดสดของสถานีอยู่นั่นเอง ช่างภาพกำลังแบกกล้องทำท่าจะเดินสวนเข้าไปถ่ายในเหตุการณ์

เธอโบกมือให้..แต่แล้วก็ร้องลั่น...ก้อนน้ำแข็งใหญ่กว่าหัวแม่มือปลิวลงมาจากฟ้ากราวใหญ่

ทุกคนทำหน้าเลิกลั่กมองกันไปมาอย่างพิศวง...

แต่ลูกเห็บชุดใหญ่ที่ตามมา ทำให้ทุกคนโวยวายกระโจนเข้ารถโอวีกันโกลาหล

ก้อนใหญ่ๆ ที่ตามมากระทบกระจกหน้ารถร้าวเป็นจุดๆ เธอเป็นคนสุดท้ายที่กระโดดขึ้นรถได้ เดชะบุญแค่หัวโน..ไม่ถึงกับแตก แต่โหนกแก้มก็กลายเป็นรอยช้ำ หนุ่มตากล้องทำหน้าเบ้ยกกล้องวิดิโอขึ้นมาดู วิวไฟน์เดอร์ห้อยร่องแร่ง

ทุกคนมองหน้ากันอย่างตื่นๆ
“นี่มันอะไรกันน่ะ...”

“พายุลูกเห็บไงครับพี่..”
เสียงโชเฟอร์ลอยมาจากด้านหน้า
“ในกรุงเทพฯ เนี่ยนะ..”
เธอครางในลำคอ

ขณะนั้นเอง ที่เธอเริ่มรู้สึกถึงอาการไหวน้อยๆ ของรถโอวีคันเขื่อง

.................................................................................................


หนุ่มใหญ่ในชุดคอมมานโดสีดำกำลังบึ่งฮัมวีผ่านด่านตรงเข้าไปที่เกิดเหตุ ผู้ชุมนุมบางคนเริ่มวิ่งหนีสวนออกมา...

“ว่าแล้วเชียว..ว่าต้องมีไอ้พวกป่วนเมือง”
เขาคิดอย่างขัดเคืองในใจ มันจะเลี่ยงไม่ได้หรือยังไง

ลูกน้องหนุ่มในชุดสีเดียวกันชี้ไปข้างหน้า
“ผู้กอง อะไรครับนั่น..”

เหมือนพายุอะไรสักอย่างกำลังป่วนอยู่ข้างหน้าและเคลื่อนตัวเข้ามาอย่างรวดเร็ว

ลูกเห็บซัดกราวเข้ามาชนิดไม่ให้ตั้งตัว ขนาดกระจกรถฮัมวีหนากว่าปกติ ก็ยังมีรอยร้าวราวกับถูกสาดด้วยกระสุนปืนกล

“เฮ้ย...”
อุทานได้แค่นั้นก็ต้องเบรกตัวโก่ง ก้มหลบลงด้วยสัญชาตญาณทั้งๆ ที่ยังไม่มีลูกเห็บลูกไหนทะลุเข้ามา

ผู้คนที่วิ่งหนีมาร้องโอดโอยกันถ้วนหน้าวิ่งหาที่หลบกันพัลวัล ซึ่งสองข้างถนนก็มีแต่ต้นไม้ไร้ตึกหรือบ้านเรือนพอจะหลบได้ บางคนไหวทันกางร่มออกมากัน ก็ยังพอผ่อนหนักเป็นเบา แต่ก้อนลูกเห็บเขื่องขนาดนั้นจะกันได้นานแค่ไหน

ขาม็อบสูงอายุสองสามคนวิ่งไม่ทันล้มอยู่กลางถนน ผู้กองตัดสินใจเปิดประตูออกไปทั้งๆ ห่าลูกเห็บยังคงโปรยลงมา อย่างน้อยหมวกเหล็กที่สวมอยู่ก็ยังช่วยได้ เสียงก้อนน้ำแข็งกระทบเหล็กดังก้องหูพิลึก...

“เฮ้ย..ชิน รีบออกมาช่วยเร็ว”
ผู้กองตะโกนขณะพยายามเอาตัวกันศีรษะคุณป้าสองคนที่ล้มอยู่ เสื้อกันกระสุนช่วยลดแรงตกกระทบของก้อนน้ำแข็งได้เป็นอย่างดี นายสิบคู่หูรีบวิ่งลงมาจากรถ

ทั้งสองช่วยกันลากคุณลุงคุณป้าขึ้นรถกันอย่างทุลักทุเล ขณะที่บางคนไม่รู้จะหนีไปทางไหนก็กระโดดเข้าไปหลบในรถฮัมวี จนเข้าไปอัดกันเป็นปลากระป๋อง ผู้กองกระโจนขึ้นรถเป็นคนสุดท้าย ปิดประตูโครมถอนหายใจเฮือก
“มีใครเป็นไรมากมั้ยครับ..”

ทุกคนมองหน้ากันเลิกลั่กอย่างไม่หายตกใจกับปรากฏการณ์ มีบางคนหน้าตาฟกช้ำเล็กน้อย สักพักใหญ่ พายุลูกเห็บมีอาการซาทิ้งช่วงลงบ้าง...

คุณป้าที่นั่งอยู่ริมสุดทำท่าจะเปิดประตูรถ
“มันท่าจะหยุดแล้วกระมังคะ...”

สิบเอกชินคว้ามือไว้
“เดี๋ยวครับคุณป้า...”

ทันใดทุกคนก็ต้องสะดุ้งกับอาการไหวยวบของตัวรถ

ผู้กองมองออกไปด้านนอก ผู้คนที่หลบใต้ต้นไม้มีอาการเหมือนเซไปมาจนต้องเกาะต้นไม้ไว้

เขาหันมามองตากับสิบเอกชิน
“เฮ้ย..หรือมันจะ...”

ยังไม่ทันขาดคำ รถมีอาการไถลไปด้านหลังจนผู้กองต้องเหยียบเบรกไว้ คนในรถต่างร้องวิ้ดว้ายชี้มือไปข้างหน้า

ผู้กองแทบไม่เชื่อสายตา ถนนราดยางด้านหน้ามีอาการปูดขึ้นมาเหมือนถูกดันด้วยแรงมหาศาล รอยร้าวปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็วเหลือเชื่อ รถฮัมวีส่ายไปมาเหมือนถูกเหวี่ยงด้วยแรงของยักษ์วัดแจ้ง...

พายุลูกเห็บก็ยังไม่ทันจะซา ธรณีกำลังจะเริ่มพิโรธ...มันเกิดอะไรกันขึ้นนี่

ผู้คนรอบข้างพอเริ่มรู้ตัว...ต่างก็กระจัดกระจายวิ่งกันกระเจิงอย่างไม่มีจุดมุ่งหมาย บ้านเราไม่เคยมีแผ่นดินไหว และไม่เคยถูกฝึกให้เผชิญกับภัยแบบนี้ ทำได้อย่างเดียวตอนนี้ คือ ตัวใครตัวมัน...

แต่ในคลองจักษุเบื้องหน้า เหมือนกำลังเผชิญกับอาการวิงเวียนศีรษะ พื้นถนนเคลื่อนไหวไปมาราวกับอยู่บนเรือกลางมหาสมุทรที่กำลังป่วนด้วยแรงลมเฮอริเคน

ทันใดนั้น พื้นถนนเบื้องหน้าพลันทรุดฮวบ....

มือไวเท่าความคิด เข้าเกียร์ถอยหลัง เหยียบคันเร่งจนมิด

รถฮัมวีที่มีอาการจะไหลไปข้างหน้าตามแผ่นดินที่ยุบตัวลง กลับถอยพรืดต้านกับแรงโน้มถ่วงได้อย่างทันการณ์ เสียงกรีดร้องดังออกมานอกรถ...

ผู้กองมองกระจกหลังเขม็ง เท้ายังคงเหยียบคันเร่ง เกร็งข้อมือล็อคพวงมาลัย ขณะที่ฮัมวีคันโต ลอยข้ามรอยแตกของพื้นถนนที่ดันขึ้นมา หล่นโครมลงมา....

ผู้โดยสารจำเป็นในเคบินรถมีอาการหัวหางสลับกันนัว...ร้องไม่ออกไปแล้วคราวนี้

ผู้กองยังคงสติได้ดีเยี่ยม ขณะที่สิบเอกชินร้องโวยวายลั่นรถเมื่อเห็นต้นไม้ใหญ่สองคนโอบข้างทางกำลังโค่นลงมาเฉียดหน้ารถไปแค่องคุลี ผู้กองบิดพวงมาลัยขวับพร้อมกระชากเบรกมือ รถหมุนตัวกลับทันควัน เรียกเสียงกรี๊ดกร๊าดจากผู้โดยสารได้พอประมาณ

เขาไม่สนแล้ว ถึงทางหลวงข้างหน้าจะกลายสภาพเสมือนเป็นเขาสามร้อยยอดไปกลายๆ เขาก็รีบเหยียบคันเร่ง สวิงซ้ายขวาราวกับแข่งสลาลม หลบรอยปริของแผ่นดินทรุดตัวได้ราวกับนักแข่งมืออาชีพ ฮัมวีโชว์ประสิทธิภาพการทรงตัวอันดีเยี่ยมของมันตรงนี้เอง...

.................................................................................................


5 นาทีก่อนหน้านั้น

ขณะที่ทุกคนกำลังนึกแปลกใจกับอาการโยกไปมาของตัวรถ..ก็ต้องสะดุ้งกับเสียงตบประตูรถโอวี จากช่องหน้าต่าง..หนุ่มสองคนกำลังปกป้องหัวหูเป็นพัลวัลจากกระแสลูกเห็บที่สาดมาเป็นระยะ นักข่าวสาวหันไปปลดล็อคดึงประตูเปิดออก สองหนุ่มถลาเข้ามาอย่างกระหืดกระหอบ หนุ่มร่างผอมดูท่าจะสะบักสะบอมจากแผลบนศีรษะ ช่างกล้องรีบตรงเข้าช่วยหนุ่มร่างเตี้ยประคองเพื่อน เธอหันไปคว้าทิชชู่มาช่วยกดที่แผล

หญิงสาววัยสามสิบอัพใส่เฮดเซท กำลังจิ้มๆ อยู่บนสวิทช์บอร์ด ภาพปรากฏบนจอมอนิเตอร์เล็กที่เรียงกันอยู่
“พวกเรา...ดูอะไรนี่...”

เสียงข่าวจากช่องไหนสักช่อง กำลังรายงานถึงการชุมนุมหน้าศาลากลางจังหวัดภาคอีสาน ทันใดนั้น ตัวกล้องก็มีอาการสั่นไปมาพร้อมกับอาคาร และแล้ว..สนามหญ้าหน้าตึกก็พลันยุบฮวบ กลุ่มม็อบที่ปักหลักอยู่ตรงนั้นไม่ต่ำกว่า 20 คนหายวูบตามลงไปราวกับธรณีสูบ เสียงแกนนำที่กำลังปาวๆ อยู่กลายเป็นเสียงกรีดร้องปนเปกับเสียงโวยวายเอาชีวิตรอดแทน

ทุกคนอ้าปากค้าง...ไอ้หนุ่มร่างเตี้ยที่กำลังพยาบาลเพื่อนยกมือขยี้ตานึกว่าตาฝาด

อีกจอหนึ่งกำลังเสนอข่าวที่ภาคใต้ สัญญาณเตือนภัยสึนามิกำลังดัง ผู้คนที่กำลังเล่นน้ำบนหาดพระนางต่างวิ่งหนีกันโกลาหลอลหม่าน หญิงสาวสวิทช์ไปอีกจอ ข่าวภาคเหนือ..เจดีย์โบราณนับร้อยปีพังราบลงมาเป็นหน้ากลอง เจ้าหน้าที่กำลังช่วยกันลำเลียงคนเจ็บกันสับสนวุ่นวาย

ทันใดนั้นเอง..รถโอวีก็เขย่าฮวบจนนักข่าวสาวถลาไปที่กระจก มองผ่านออกไป ทหารที่กำลังตรงเข้ามาเคลียร์พื้นที่ต่างพากันล้มระเนระนาด กลุ่มม็อบที่หลบลูกเห็บกันตามใต้ต้นไม้พากันถลาตรงเกาะยึดต้นไม้กันเป็นแถว ต้นไม้บางต้นเหมือนถูกดันขึ้นมาจากใต้ดินถอนรากถอนโคน เล่นเอากลุ่มผู้ชุมนุมต้องหัวซุกหัวซุนวิ่งออกมากลางถนน โชคดีที่กระสุนลูกเห็บเริ่มซาลง

หญิงสาวผู้กำกับรายการคว้าขวดน้ำไว้ทันก่อนที่จะราดลงบนสวิทเชอร์ สีหน้าเผือด หันมาสบตากับนักข่าวสาว
“ต้อย..นี่มันแผ่นดินไหวหรือเปล่า...”

ไม่ทันขาดคำ ก็รู้สึกถึงพื้นถนนกระเทือนยวบ รถโอวีเอียงกะเท่เร่ไปข้างหนึ่ง ทุกคนถลาไปกองสุมกัน รถปิคอัพที่จอดอยู่ใกล้ๆ ไหลมาชนท้ายรถดังโครม...

.................................................................................................


รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังลืมตา แต่มองอะไรไม่เห็น..สักพักภาพเบลอๆ เบื้องหน้าเริ่มชัดขึ้น..

ใบหน้าที่ชะโงกเข้ามามีหมวกเหล็กสวมอยู่ ...เล่นเอาเขาสะดุ้ง

แต่มือหนาแข็งแรงนั้นยังคงกดเขาให้นอนอยู่กับที่
“พี่นอนเฉยๆ ก่อน เลือดมันยังไม่หยุด...”

เพิ่งรู้สึกได้ว่าหัวปวดตุบๆ มือใหญ่นั้นกำลังกดผ้ากอชบนศีรษะของเขาอยู่

มองไปด้านข้าง..นี่เขากำลังนอนอยู่บนเปลสนามหรือเนี่ย...บนพื้นถนนทำไมขาวโพลนไปหมด เขาพอนึกออกแล้ว ไอ้พายุลูกเห็บเวรนั่น..

หันไปอีกข้าง...มีแต่กลุ่มทหารที่กำลังกันชาวบ้านแถวนั้นบางส่วนออกไป คนหนึ่งกำลังหิ้วกระเป๋าสีเขียวขี้ม้าใบเขื่องเดินตรงมาที่เขา

เหงื่อเริ่มซึมบนหน้าผาก...เขาพยายามจะลุกขึ้น แต่ทหารที่มีปลอกแขนสีขาวคนนั้นยังคงกดเขาให้นอนนิ่งอยู่

แล้วก็เกือบสะดุ้ง...
“กระเป๋าใบนี้ของคุณหรือเปล่าครับ....”

“เปล่านี่ครับ...ผมมาตัวเปล่า ไม่ได้หิ้วอะไรมาเลย”

นายทหารหนุ่มคนนั้นชี้ไปที่เด็กน้อยคนหนึ่งที่ยืนอยู่ใกล้ๆ
“มีคนเห็นคุณหิ้วกระเป๋าใบนี้มาก่อนที่จะเกิดพายุลูกเห็บ...”

“เด็กมันจำผิดคนแล้วคุณ...ผม..”
เสียงคลิก..พร้อมความรู้สึกเย็นวาบที่ข้อมือ หันมาอีกทีทหารที่พยาบาลเขากำลังคล้องกุญแจมืออีกข้างกับเตียงสนามที่เขานอนอยู่

นายทหารคนนั้นดึง เอ็ม 79 ออกมาจากกระเป๋า เลิกคิ้วเป็นเชิงถาม
“นี่ก็คงไม่ใช่ของคุณเหมือนกัน..ใช่ไหม...”

โดยไม่รอคำตอบ เขาเดินดุ่ยๆ ออกไปพร้อมทหารเสนารักษ์คนนั้น ชี้มือสั่งเป็นเชิงให้เปิดทางให้รถพยาบาลเข้ามา

เขาพยายามจะขยับตัวลุกขึ้น แต่รู้สึกสติสัมปชัญญะยังไม่เข้าที่อย่างไรไม่ทราบ เหมือนมีอาการวิงเวียน พื้นโยกไปมา...

เอ๊ะ..นี่เขารู้สึกไปเองหรือว่า ..สายตาหันไปเห็นกระเบื้องหลังคาตึกโบราณข้างๆ ร่วงกราวลงมา พร้อมอาการเขย่าของตัวอาคาร อะไรกันนี่...

พื้นถนนเขย่าเป็นระลอก หันไปมองรอบๆ ผู้คนต่างพากันแตกตื่น เขาอ้าปากค้าง นี่มันเกิดอาเพศอะไรกันนี่...

กว่าจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร ถนนซอยนั้นก็ทรุดฮวบลงไป เขารู้สึกเหมือนถูกธรณีสูบ เตียงสนามและตัวเขาไหลลื่นไปตามถนนที่ถล่มลงไปเป็นหลุมลึก

แต่ก่อนที่จะไถลลงไปมากกว่านั้น มืออันแข็งแรงคู่เดิมก็ยื่นมาคว้าราวเตียงสนามไว้ได้ทันควัน ตัวเขาเองหลุดจากเตียงห้อยต่องแต่งอยู่ด้วยกุญแจมือที่ยังคล้องอยู่ รู้สึกเจ็บแปลบด้วยเนื้อเหล็กที่บาดลงบนข้อมือ..เขาร้องลั่น

เงยหน้าขึ้นไป..นี่เขากำลังถูกธรณีสูบจริงๆ หรือนี่..ในภาพอันสับสน เห็นทหารหลายคนกำลังพยายามเข้ามาช่วยดึง

เขาเจ็บข้อมือจนชาไปหมด เลือดไหลโทรมเสื้อแขนยาวสีอ่อนจนแดงฉานไปครึ่งตัว ความรู้สึกกลับมาอีกทีเมื่อพบตัวเองถูกดึงขึ้นมาจนถึงปากหลุม ลมเย็นพัดวูบเข้ามา...ความรู้สึกเหมือนเกิดใหม่...

แสงอาทิตย์ที่ส่องเข้ามา ทำให้เขารู้สึกเป็นครั้งแรกว่า การมีชีวิตอยู่..ช่างมีความหมายกับเขาเสียจริงๆ ...

ทันใด..เสียงครืดด..ดังหนักๆ พร้อมอาคารเก่ารอบข้างถล่มโครมลงมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ทหารที่กำลังออกแรงดึงเขาขึ้นมาต่างหงายหลังลงไปกลิ้งกับถนน...พื้นถนนบางส่วนปูดขึ้นมาเกย.. บางส่วนยุบฮวบลงไป ชาวบ้านวิ่งหนีตายกันจ้าละหวั่น

ในความรู้สึกอันเลือนราง..เอ๊ะ..ทำไมเขาไม่หล่นไถลกลับลงไปเหมือนเดิม

เขารู้สึกเหมือนหายใจไม่ออก...ก้มมองลงมา

หลุมที่เขาตกไปเมื่อตะกี้หายไปไหน....

ทำไมเขาเหลืออยู่แค่ครึ่งตัวบนพื้นถนน....

หรือว่า....



Create Date : 17 มีนาคม 2553
Last Update : 18 มีนาคม 2553 11:01:56 น.
Counter : 569 Pageviews.

18 comments
: หยดน้ำในมหาสมุทร 36 : กะว่าก๋า
(14 เม.ย. 2567 06:17:30 น.)
เรื่องเล่าที่ไม่เกี่ยวกับวันสงกรานต์ tanjira
(13 เม.ย. 2567 16:10:32 น.)
ep 4 ขับรถบนถนนเริ่มจะประมาท โอพีย์
(10 เม.ย. 2567 05:03:14 น.)
: หยดน้ำในมหาสมุทร 31 : กะว่าก๋า
(9 เม.ย. 2567 05:58:44 น.)
  
กรี๊สส นึกภาพบรรยากาศแถวศาลฎีกาและกระทรวงกลาโหมช่วงนี้ได้เรยฮ่า

ข้ามฟากไปก็เปงหนามหลวงแล้วนะฮ้า คริคริ
โดย: Nagano วันที่: 17 มีนาคม 2553 เวลา:2:27:01 น.
  
สวัสดียามเช้าครับพี่หมี


อ่านจบแล้วไม่อยากคิดภาพตามเลยครับ
เพราะเดาว่าเหตุการณ์จะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆนะครับ





โดย: กะว่าก๋า วันที่: 17 มีนาคม 2553 เวลา:8:02:14 น.
  
หุหุหุ

ผมไม่ไ่ด้นึกถึงความดังเลยครับพี่หมี
ที่ลงไปพารากอน
ก็ไปเพื่อทำหน้าที่ล่ะครับ

กลับมาก็เป็นพ่อหมิงหมิงเหมือนเดิมครับ
ไมไ่ด้รู้สึกดังอะไรเลยครับ


โดย: กะว่าก๋า วันที่: 17 มีนาคม 2553 เวลา:12:43:39 น.
  
ง่า น้องโนะ..จินตนาการออกจะบรรเจิดเพริดไปโน่นนะจ๊ะ.. อย่าไปคิดอะไรมาก มันก็แค่นิยายเรื่องนึง...

น้องก๋าที่รัก พี่หมีก็แหย่เล่นไปเรื่อยเปื่อยเช่นนั้นเอง แต่เรื่องรัศมีดาราเนี่ย มันห้ามไม่ได้ น้องก๋ามีคุณสมบัติอยู่พร้อม นอกจากไอเดียที่พรั่งพรู สร้างชิ้นงานสม่ำเสมอแล้ว ยังมีความสัมพันธ์อันดีและความขยันในการสื่อสารกับกับเพื่อนในบล็อก ซึ่งเป็นสิ่งที่เซเล็บทั้งหลายต้องมี (และพี่หมีไม่เคยมี )
โดย: พี่หมี (Bkkbear ) วันที่: 17 มีนาคม 2553 เวลา:18:58:50 น.
  
โดย: nootikky วันที่: 17 มีนาคม 2553 เวลา:20:46:26 น.
  
โอยยย.. พี่หมีอ้ะ เรื่องนี้อ่านไปรู้สึกเหมือนตัวเองอยู่ในเหตุการณ์ชอบก๊ลลล.. ใจหายใจคว่ำโดยเฉพาะตอนสุดท้าย พ่อหนุ่มนั่นยังอุตส่าห์เหลือเซลสุดท้ายไว้คิดได้อีก จ๊ากกกกกกกก

แรงงง นะพี่หมี คริคริ.. แม้.. แต่งเรื่องสั้นทันสมัยซะด้วย หุหุ..
โดย: ป้าโซ วันที่: 17 มีนาคม 2553 เวลา:22:18:18 น.
  


สังเวียนคน

ตอน 17. สัญญาลูกผู้ชาย


(ตอนจบ)




และแล้ว เรื่องราวก็ดำเนินมาถึงฉากสุดท้ายครับ

เรื่องนี้จะลงเอยกันอย่างไร? ไอ้ตงจะได้พยอมเป็นเมียหรือไม่?

เชิญติดตามได้ครับ....
โดย: ลุงแว่น วันที่: 18 มีนาคม 2553 เวลา:7:13:39 น.
  
สวัสดียามเช้าครับพี่หมี






โดย: กะว่าก๋า วันที่: 18 มีนาคม 2553 เวลา:7:23:32 น.
  
ผมไม่รู้เลยครับพี่หมี
ว่าจาค็อบเป็นเครื่องหนัง 5555

ผมรู้สึกผิดหวังช่วงที่ไปเรียนลาดกระบังมากครับ
เป็นสองปีที่ฝันร้ายของชีวิตเลยครับ

โดย: กะว่าก๋า วันที่: 18 มีนาคม 2553 เวลา:11:34:30 น.
  
หวัดดียามบ่ายครับคุณหมี

อ่านเรื่องสั้นของคุณแล้วคลับคล้ายคลับคลาที่ผมฝันเห็นเร็วๆนี้ แต่ในฝันผมเห็นมันโหดเลือดนองเผาสดราวกะปี 19
สงสัยแกนนำจะฝันแบบนี้เหมือนกัน
คิดถึง อจ.ป๋วยที่บอกว่า...
"...เมื่อจะตาย ก็ขออย่าให้ตายอย่างโง่ ๆ อย่างบ้า ๆ คือตายในสงครามที่คนอื่นก่อให้เกิดขึ้น ตายในสงครามกลางเมือง...............หรือตายเพราะการเมืองเป็นพิษ...."
ขอต่อเองด้วยอีกหน่อยว่า "...ตายขณะที่ผู้เป็นสาเหตุล้วนเสวยสุขและแอบหัวเราะเยาะในความโง่เง่าของพวกเรา"
โดย: Dingtech วันที่: 18 มีนาคม 2553 เวลา:15:52:16 น.
  
ง่า..ป้าโซ...แค่นี้เรียกว่ายังเบาะๆ อะจ้ะ ตอนจบน่ะ มันน่าจะคล้ายๆ ตำนานขอมดำดินอะนะป้านะ

แหะๆ ลุงแว่น..เพิ่งอ่านได้ตอนที่เจ็ดเองคะรับ...มีเวลาจะตามไปเก็บ

อะนะ น้องก๋า ไนท์แมร์ของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน ของพี่หมีอยู่ในช่วงมัธยมส่วนมาก เบื่อ รร.โคดๆ

แต่ฝันของคุณ Dingtech ดูน่ากัวกว่านะ มัวแต่มาฟาดฟันด้วยกับอุปาทานยึดมั่นถือมั่นในตัวบุคคลเนี่ย ต้องรอให้ฟ้าดินลงโทษหรือกระไรถึงจะสำนึก...
โดย: พี่หมี (Bkkbear ) วันที่: 18 มีนาคม 2553 เวลา:21:56:00 น.
  
สวัสดียามเช้าครับพี่หมี






โดย: กะว่าก๋า วันที่: 19 มีนาคม 2553 เวลา:6:46:27 น.
  
ขอบคุณมากๆสำหรับคำแนวนำที่บล็อกนะคะ ^^
โดย: ขวัญ BoAzo Little Cat IP: 118.174.17.27 วันที่: 19 มีนาคม 2553 เวลา:11:13:58 น.
  
โห ! ตื่นเต้นมั่กมากขอบอก ถ้ามีเหตุการณ์ยังงี้จริงๆในเมืองไทยล่ะก็คงดูไม่จืดเลยนะครับพี่หมี
โดย: JohnV วันที่: 19 มีนาคม 2553 เวลา:12:23:16 น.
  
โดย: nootikky วันที่: 20 มีนาคม 2553 เวลา:11:33:06 น.
  
สวัสดีครับคุณหมี

เพิ่งได้แว็บไปอ่าน Exorcist ภาคสยามซีเควลมา ขอบอกว่า ยอดเยี่ยม
ผมอ่านและดูหนังมาแล้วทั้งหมด ของคุณหมีอ่านแค่สคริปก็ติดใจแล้ว
ลงมือให้ละเอียดได้แล้วหละครับ
รับรองขายฮอลลีวู้ดได้ชัวร์......

จะรออ่านและชม..ครับ

โดย: Dingtech วันที่: 23 มีนาคม 2553 เวลา:6:26:21 น.
  
ขอบคุณที่แวะเวียนกันมา

และต้องขอบคุณยิ่งสำหรับคำชม ดิ เอ็กซอร์ซิสต์ภาคพิศดารนี้ มีไม่กี่คนครับที่อ่านแล้วจินตภาพได้อย่างที่คนเขียนอยากให้เป็น
โดย: หมีบางกอก (Bkkbear ) วันที่: 23 มีนาคม 2553 เวลา:11:17:22 น.
  
จินตนาการบรรเจิดเลยค่ะ

ชอบจัง ธรณีสูบ
โดย: พ่อระนาด วันที่: 14 เมษายน 2553 เวลา:15:41:45 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Thaibear.BlogGang.com

Bkkbear
Location :
กรุงเทพ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]