มรดกโลก 2 แห่งใหม่ ควรยินดี แต่มียินร้าย
วันที่ 09 พฤษภาคม พ.ศ. 2550 ปีที่ 30 ฉบับที่ 10651
มรดกโลก 2 แห่งใหม่ ควรยินดี แต่มียินร้าย
คอลัมน์ สยามประเทศไทย
สุจิตต์ วงษ์เทศ
"มรดกโลก" เป็นงานของนานาชาติที่มีเหตุจากอยากช่วยประเทศอ่อนแอปกป้องมรดกทางศิลปะและวัฒนธรรมให้พ้นจากเงื้อมมือมัจจุราชของพวกเผด็จการทุนนิยมบ้าอำนาจทำลายล้างทุกอย่างที่ขวางหน้า "ตลาด"
ข่าวล่าสุดเผยแพร่ผ่านสื่อมวลชนว่าประเทศไทยจะมีแหล่งมรดกโลกเพิ่มขึ้นอีก 2 แห่ง คือ
1.เส้นทางวัฒนธรรมปราสาทหิน ตั้งแต่พิมาย (อ.พิมาย จ.นครราชสีมา) พนมรุ้ง-เมืองต่ำ (จ.บุรีรัมย์) เชื่อมต่อกับแหล่งที่เกี่ยวข้อง
2.ภูพระบาท (จ.อุดรธานี)
แน่นอนว่าเป็นเรื่องน่ายินดีที่ไม่ลิงโลด เพราะมีตัวอย่างน่ายินร้ายเกิดกับมรดกโลกในประเทศไทยเกือบทุกแห่ง ถ้าพิจารณาเฉพาะแหล่งประวัติศาสตร์โบราณคดีเริ่มจากสุโขทัย-กำแพงเพชร-อยุธยา จะเห็นได้ว่ามีทั้งดีและร้าย
ยินดีที่พิทักษ์รักษาหลักฐานประวัติศาสตร์โบราณคดีสุวรรณภูมิได้มาก แต่ยินร้ายคือ ล้วนตกเป็นสมบัติในกำมือของราชการฝ่ายเดียว แล้วทำไว้รับนักท่องเที่ยวต่างชาติเท่านั้น โดยไม่ไยดีต่อพลเมืองราษฎรชาวสยาม (ประเทศไทย) เพราะมรดกโลกเหล่านี้มีไว้จัดงานปาร์ตี้กับปาหี่ของพวกผู้ดีมีทรัพย์และอำนาจ แต่ราชการไม่เคยลงทุนแบ่งปันเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจประวัติศาสตร์สุวรรณภูมิและสยามอย่างถูกต้องตามหลักฐานที่รักษาไว้เป็นมรดกนั่นแหละ
ความรู้ประวัติศาสตร์สยาม (ไทย) ในสุวรรณภูมิที่ถูกต้องตามพยานหลักฐาน ไม่ใช่สิ่งใหม่ ไม่ใช่วิชาใหม่ (ดังที่มีผู้เข้าใจคลาดเคลื่อน) แต่เป็นสิ่งเก่าและวิชาเก่ามากกว่า 40 ปีแล้ว (อาจถึง 100 ปี ถ้านับแต่พระราชกระแสรัชกาลที่ 5 ทรงอธิบายเรื่องประวัติศาสตร์สยามประเทศไว้เมื่อ พ.ศ.2451 เรียกได้ว่า โคตรเก่าก็ยังได้) โดยมีเอกสารวิชาการและบันทึกเป็นเล่มๆ อยู่ในกรมศิลปากรและมหาวิทยาลัยศิลปากร เพียงแต่สถาบันราชการสองแห่งนี้ไม่แบ่งปันเผยแพร่อย่างจริงจังและต่อเนื่อง และกระทรวงศึกษาธิการไม่ยอมปรับเปลี่ยนตำราที่ใช้เรียนใช้สอนในโรงเรียนและมหาวิทยาลัย แล้วไม่ป่าวประกาศให้พลเมืองรู้ แถมยังกล่าวร้ายป้ายสีและกล่าวโทษคนคิดต่างแล้วเอาวิชาความรู้ถูกต้องตามหลักฐานเหล่านั้นมาเผยแพร่แบ่งปันเสียด้วยซ้ำไป เช่น อย่างเบาะๆ ก็ว่า "คลั่งความรู้หรือร้อนวิชาใหม่ๆ" แต่อย่างหนักๆ มีถึงขนาดคิดขบถคดโทร่ห์ต่อประวัติศาสตร์ส่งไปเลย
ขอย้ำว่าวิชาความรู้ที่ผมเอามาบอกล้วนเป็นสิ่งเก่า วิชาเก่า ที่นักปราชญ์ราชบัณฑิตสยามทำไว้ไม่น้อยกว่า 40 ปีมาแล้ว เพียงแต่สถาบันสอง-สามแห่งที่กล่าวมาไม่เอาใจใส่แบ่งปันเผยแพร่อย่างจริงจังและต่อเนื่อง แถมปิดปกหมกเม็ดส่งจริตบิดเบือนอีกต่างหาก เลยพากันคิดว่าผมร้อนวิชาใหม่ๆ ทั้งๆ เป็นวิชาความรู้เก่าๆ จนเย็นชืดน่ะไม่ว่า
ผมไม่เคยคิดอะไรใหม่ๆ ด้วยตัวเอง จึงเป็นแค่ศิษย์ครูพักลักจำยกย่องงานวิชาความรู้ของครูบาอาจารย์นักปราชญ์ราชบัณฑิตของสยามประเทศไทยมาทำ PR ประชาสัมพันธ์ โดยไม่มีค่าจ้าง (ไม่เหมือนฝรั่งที่รัฐบาลจ้างทำ PR) แต่ตะโกน PR ดังไปหน่อย เลยดูเหมือนคลั่งๆ ร้อนๆ อยู่เหมือนกัน เพราะพูดจากันดีๆ ไม่ได้มานานมากแล้ว เซ็งชิบเป๋ง
หน้า 34