"ดนตรีมีคุณทุกอย่างไป"พระอภัยมณี "เป่าปี่" ด้วยปัญญาและความรักในสันติภาพ คอลัมน์ รายงานพิเศษ สุจิตต์ วงษ์เทศ หนังสือพิมพ์หลายฉบับพิมพ์ภาพและข่าวประโคมประชาสัมพันธ์งานมหกรรมฝรั่งเต้นตีกลองญี่ปุ่นชื่อไทโกะ (คำนี้แปลว่ากลอง) แล้วบอกว่าเป็นกลองญี่ปุ่นที่ได้แบบแผนจากจีนและอินเดียเมื่อราว ๒,๐๐๐ ปีมาแล้ว กลองทัด-ไทโกะ และพาทย์ฆ้อง ไทโกะน่าจะมาจากคำจีนฮั่นว่าหนานถังโกะ หมายถึงกลองของชนเผ่าทางใต้(ของฮั่น) แสดงว่ากลองอย่างนี้ไม่ใช่สมบัติของจีนฮั่นมาแต่เดิม หากเป็นสมบัติดั้งเดิมของชนเผ่าทางทิศใต้ของจีนฮั่น คือใต้ลุ่มน้ำแยงซีเกียงมีคำเรียกสุวรรณภูมิ ที่จีนฮั่นบอกไว้ในเอกสารโบราณมากกว่า ๒,๐๐๐ ปีมาแล้ว ว่าเป็นพวกป่าเถื่อนร้อยเผ่า เรียกหมาน, ฮ่วน, เย่ว์ ฯลฯ มีตระกูลไทย-ลาว อยู่ด้วย คำจีนเรียกกลองพื้นเมืองสุวรรณภูมิว่าหนานถังโกะ ญี่ปุ่นรับไปใช้แล้วเรียกเพี้ยนว่าไทโกะ แต่ตระกูลไทย-ลาวเรียกกลองที่เป็นสมบัติดั้งเดิมอย่างนี้ด้วยภาษาปัจจุบันว่ากลองเพล หรือกลองทัดในวงปี่พาทย์ประกอบโขนละครลิเก ตระกูลมอญ-เขมรก็ใช้กลองอย่างนี้ จีนกับอินเดียไม่มีกลองสุวรรณภูมิอย่างนี้ใช้เมื่อ ๒,๐๐๐ ปีมาแล้ว จีนเพิ่งรับไปใช้หลังยุคสามก๊ก แต่อินเดียไม่มีใช้เลย เพราะไม่รับจากสุวรรณภูมิ เนื่องจากอินเดียมีกลองหลากหลายเป็นของตัวเองอยู่มากแล้ว กลองสุวรรณภูมิ มีลีลาท่าเต้นตีหลากหลาย แต่ที่รู้จักแพร่หลายมีอย่างเดียวคือกลองสะบัดชัยของล้านนา ปัญหาอนุรักษ์สุดโต่งโดยไม่รู้รากเหง้าแท้จริง ทำให้นักดนตรีไทยไม่สร้างสรรค์ท่าตีลีลากลอง มีแต่พิทักษ์ของเก่าอย่างงมงาย เลยไม่ก้าวหน้าเท่าไทโกะ ทั้งๆที่กลองไทโกะของญี่ปุ่นรับไปจากสุวรรณภูมิเมื่อราว ๒,๐๐๐ ปีมาแล้ว เสียงกลองทัด(ไทโกะ)เป็นสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์คู่กับมโหระทึก(กลองทองสัมฤทธิ์) ของกลุ่มชาติพันธุ์สุวรรณภูมินานกว่า ๓,๐๐๐ ปีมาแล้ว นกเขา(ไฟ)มะราปี ของครูกัญญา โรหิตาจล เมอราปิ เป็นภาษาอินโดนีเซียในตระกูลชวา-มลายู หมายถึง ไฟ เป็นชื่อเรียกภูเขาไฟบนเกาะชวาที่กำลังปะทุคุกรุ่น พ่นลาวามาหลายเดือนแล้ว ไม่รู้จะระเบิดเถิดเทิงเมื่อไร คำชวา-มลายูว่าเมอราปี คนไทยออกเสียงเป็นมะราปี มีในเพลงดนตรีไทยใช้ประกอบระบำนกเขา ครูมนตรี ตราโมทแต่งขึ้นใหม่เลียนแบบสำเนียงแขกชวา-มลายู เมื่อราว พ.ศ. ๒๔๙๓ ให้ชื่อเพลงนกเขามะราปี หมายถึงนกเขาไฟ กรมศิลปากรใช้เล่นประกอบละครเรื่อง อิเหนา ตอนปะสันตาต่อนก ใครได้ยินทำนองแล้วฟังเนื้อร้องต่างก็ชื่นชอบทั้งนั้น พากันจำคำร้องว่า"จู้ฮุกกรู" เนื้อร้องอื่นๆจำไม่ได้ ผมเองยิ่งกว่านั้นคือจำอะไรไม่ได้เลยนอกจากจู้ฮุกกรูๆ ถ้าไม่มีใครบอกก็ไม่รู้ว่านี่คือเพลงนกเขามะราปีหรือนกเขาไฟของครูมนตรี ครูกัญญา โรหิตาจล คนร้องละครผู้อาวุโสแห่งกรมศิลปากร ที่มีแก้วเสียงสุด"คลาสสิค" ของสุวรรณภูมิ ลงทุนทำซีดี ๔ ชุด ออกวางขายเผยแพร่ด้วยตัวเอง มีขุนช้างขุนแผนตอนพระไวยแตกทัพ (๒ แผ่น) กับอมตะเพลงไทย(ระบำครุฑและพระลอลงสวน รวม ๒ แผ่น) มีระบำนกเขามะระปีในเพลงดนตรีสำคัญที่บอกมาข้างต้นด้วย เสียงร้องของครูกัญญาเป็นแบบฉบับกรุงศรีอยุธยาแท้ๆ มีเสียงเครือซ่อนอยู่น้อยๆเหมือนระลอกคลื่นในสระโบกขรณี แต่ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรมและกรมศิลปากรขาดรสนิยม และขาดพื้นฐานด้านนี้ เลยทอดทิ้งเสียงสุวรรณภูมิอย่างนี้ไปไม่เอาเรื่อง ทั้งๆควรบันทึกไว้เป็นเสียงประวัติศาสตร์ของแผ่นดิน พูดไม่ออก บอกไม่ถูก กับลักษณะ"ทุนนิยมสามานย์"อย่างนี้ที่ระบบราชการก็เป็นไปตามนั้น เลยต้องขอป่าวร้องให้ร่วมด้วยช่วยกันซื้อซีดี ๔ แผ่น ของครูกัญญา โรหิตาจล ให้รอดพ้นทุนหายหดหมดกำลังในคราวนี้ด้วย ของดีๆมีไม่มาก วางขายทั่วไปไม่ได้ เจ๊งซิครับ ต้องสั่งซื้อไปที่สุภางค์พักตร์ เต๊ะอ้วน โทร. ๐ ๑๘๓๒ ๐๒๕๓ เสียงเพลง เสียงพาทย์ มหรสพทางจิตวิญญาณ สุนทรภู่สร้างเรื่องพระอภัยมณีขึ้นจากสถานการณ์ทางการเมืองนานาชาติขณะนั้น คืออังกฤษล่าอาณานิคมยึดอินเดีย-ลังกา ตั้งแต่ยุคปลายกรุงศรีอยุธยา(ก่อนกรุงแตก พ.ศ. ๒๓๑๐) ครั้นสุนทรภู่เกิดในแผ่นดินรัชกาลที่ ๑ (พ.ศ. ๒๓๒๙) อังกฤษกำลังขยับขยายแผ่อิทธิพลทางการเมืองมาทางสุวรรณภูมิในอุษาคเนย์ เพื่อล่าอาณานิคมบ้านเมืองทางทะเลอันดามัน เช่น สิงคโปร์ ฯลฯ แล้วคืบคลานเข้าอ่าวเมาะตะมะเพื่อยึดหงสาวดีและย่างกุ้ง สุนทรภู่น่าจะเกรงกลัวสงคราม ต่อต้านสงครามล่าอาณานิคม เลยสร้างเรื่องให้พระอภัยมณีเรียนวิชาดนตรี(คือเป่าปี่) สัญลักษณ์ของปัญญาและวิชาความรู้ เป็นเครื่องมือแก้ไขความขัดแย้งอย่างสันติวิธี เมื่อสามพราหมณ์พบพระอภัยมณีครั้งแรกที่หาดทรายชายทะเล ได้สอบถามวิชาความรู้ซึ่งกันและกัน สามพราหมณ์ถามเพราะไม่เข้าใจว่า "ดนตรีมีคุณที่ข้อไหน" พระอภัยมณีตอบว่า ( พระฟังความพราหมณ์น้อยสนองถาม จึงเล่าความจะแจ้งแถลงไข อันดนตรีมีคุณทุกอย่างไป ย่อมใช้ได้ดังจินดาค่าบุรินทร์ ถึงมนุษย์ครุฑาเทวราช จตุบาทกลางป่าพนาสิณฑ์ แม้นปี่เราเป่าไปให้ได้ยิน ก็สุดสิ้นโทโสที่โกรธา ให้ใจอ่อนนอนหลับลืมสติ อันลัทธิดนตรีดีหนักหนา ซึ่งสงสัยไม่สิ้นในวิญญาณ์ จงนิทราเถิดจะเป่าให้เจ้าฟัง สมเด็จฯกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงวินิจฉัยว่าสุนทรภู่ได้ความคิดให้พระอภัยมณีเป่าปี่จากวรรณคดีพงศาวดารจีนเรื่องไซฮั่น คือเตียวเหลียงเป่าปี่เมื่อฮั่นอ๋องรบกับพระเจ้าฌ้อปาอ๋อง แต่เหตุที่สุนทรภู่เลือกเอาปี่เป็นเครื่องดนตรีของพระอภัยมณี อาจได้ความคุ้นเคยจากครูมีแขก ที่เชี่ยวชาญทางเป่าปี่ขณะนั้น จนถึงขนาด"เป่าทะยอยลอยลั่นบรรเลงลือ"ด้วยก็ได้ ดนตรีในสุวรรณภูมิ(และอาจรวมทั้งโลก)มีขึ้นครั้งแรก เป็นเครื่องมือสร้างภาษาศักดิ์สิทธิ์เพื่อสื่อสารกับอำนาจเหนือธรรมชาติ เช่น ผี ฯลฯ หลังจากนั้นมีวิวัฒนาการเป็นเครื่องมือศักดิ์สิทธิ์ของศาสนา เช่น พราหมณ์ ฯลฯ แม้ฝ่ายพุทธจะไม่สนับสนุนดังมีข้อห้ามไว้ในศีลข้อ ๗ แต่ก็ไม่ปฏิเสธเด็ดขาด ฉะนั้นชาวพุทธในสุวรรณภูมิราว ๒,๐๐๐ ปีมาแล้ว จึงรับเครื่องมือสัมฤทธิ์เรียกฆ้องหรือกลองมโหระทึกไว้เป็นเครื่องบูชาประจำวัดสืบเนื่องมา เช่น ฆ้อง ระฆัง ฯลฯ มีในศิลาจารึกหลายหลัก ท่านพุทธทาสก็เล็งเห็นคุณของดนตรี ดังมีบทนิพนธ์หลายเรื่องพาดพิงถึงดนตรีมีคุณใช้ประกอบฝึกฝนทางจิตให้สงบได้ แต่ต้องใช้ดนตรีเป็นไปเพื่อสร้างสมาธิและความร่มเย็น ดังลิขิตของท่านพุทธทาสกล่าวถึงโอเปร่าพุทธประวัติ ว่าถ้าทำได้จะมีประโยชน์สูงสุด วัดเทพธิดาราม ที่สุนทรภู่เคยจำพรรษาแล้วแต่งเรื่องพระอภัยมณีเล่นดนตรีเป่าปี่ เป็นวัดหลวงขนาดกะทัดรัดอยู่กลางกรุงเทพฯ ตรงถนนมหาไชย ย่านสำราญราษฎร์(แต่ก่อนเรียกประตูผี) ใกล้ป้อมหากาฬ ถนนราชดำเนิน หลังวัดติดศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร(เสาชิงช้า) วัดเทพธิดารามนี้ รัชกาลที่ ๓ โปรดให้สร้างขึ้นด้วยศิลปะสถาปัตยกรรมพระราชนิยมแบบจีนๆ และยังมี"บ้านมหากวี กุฎีสุนทรภู่" เหลืออยู่เป็นพยาน บริเวณวัดสะอาดสะอ้านและสงบ บรรดาข้าพระโยมสงฆ์เลยทำบุญร่วมกับกองทุนสุนทรภู่ และโครงการสถาบันสุวรรณภูมิของมหาวิทยาลัยศิลปากร เชิญวงดนตรีไทยมาประโคมบรรเลงเพลงดนตรีสลับกันทุกบ่าย-เย็น วันพระ(ขึ้นแรม) ๑๕ ค่ำ เป็นมหรสพทางจิตวิญญาณ ตั้งแต่เข้าพรรษาจนออกพรรษา เป็นปัจจัยไทยทานบริการสาธารณะตลอด ๓ เดือน ขอเชิญสาธุชนร่วมรับธรรมสังคีตดีดสีตีเป่าตามกำลังศรัทธา โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆเลย หน้า 24 |
บทความทั้งหมด
|






ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [