ชื่อหนังสือ : บาปปาริชาตเขียนโดย : แก้วกังไสพิมพ์ครั้งแรก : มีนาคม ๒๕๕๓สำนักพิมพ์ : ไฟน์บุ๊คจำนวน ๓๖๐ หน้า ราคา ๒๒๕ บาท กระซิบก่อนอ่าน กลิ่นหอมนวลลอยแทรกเข้ามาในสายลมร้ายของพายุร้าย ฟุ้งขจรไปทั่ว กลิ่นนั้นแรงจนเริ่มฉุน ก่อนกลีบดอกไม้สีแดงสะพรั่งจะร่วงหล่นลงมาจากเบื้องบนดังฝนโปรยมาเป็นธาราดอกไม้ และเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ ไม่นานนักก็กลายเป็นทะเลสีแดงฉานท่วมท้นขึ้นมาถึงหัวเข่า คราวนี้ไม่ว่าจะมองไปทางไหนหล่อนก็ไม่พบใครเลย ไม่ว่าจะเป็นบัวซอน ฟองคำ หรืออีเป็ง และคนอื่น ๆ จะมีแต่เพียงตนเองเท่านั้นที่เดียวดายอยู่กลางทะเลกลีบดอกปาริชาตไม่ ! ! ฉันไม่อยากอยู่ที่นี่ ! !ฝันร้ายหลอกหลอนมาแต่ยังเยาว์วัย ทำให้หญิงสาวต้องดั้นด้นมาถึงเมืองไทย ด้วยดวงจิตที่ตกอยู่ในมนตราปาริชาต แล้ววิถีกรรมก็ปูถนนมุ่งตรงสู่หุบนางครวญให้กับหล่อนบอกให้รู้ว่ามีใครบางคนยังรอคอยวันที่จะชำระทุกสิ่งให้สิ้น แม้แต่ดวงใจของหล่อนก็ตาม ! ! ขอบคุณรายละเอียดและภาพปกจาก... แก้วกังไส ... นะคะ แวะเคาะประตูร้านหนังสือ เขียนความรู้สึก...บันทึกหลังอ่าน มิสึสึ มักฝันเห็นเหตุการณ์ฆาตกรรมผู้หญิงคนหนึ่งเป็นประจำตั้งแต่เด็ก ทั้ง ๆ ที่เธอไม่เคยรู้จัก ไม่เคยเห็นผู้หญิงคนนั้นหรือกลุ่มคนที่ก่อเหตุฆาตกรรมดังกล่าวมาก่อน อีกทั้งภาษาและเครื่องแต่งกายก็ดูแปลกตา นานวันเข้า มึสึสึก็กลายเป็นโรคซึมเศร้า ต้องพึ่งพาการรักษาของจิตแพทย์ แต่ลึก ๆ จิตใต้สำนึกกลับบอกเธอว่า นั่นไม่ใช่แค่ความฝันอย่างที่ใครต่อใครพร่ำบอก มันคือเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นจริง เธอจึงพยายามค้นคว้าหาข้อมูล จนกระทั่งตัดสินใจเดินทางมายังประเทศไทย ซึ่งเธอมั่นใจว่าคือสถานที่เกิดเหตุ ทำให้เธอได้พบและรู้จักกับ เขตต์คีรี เจ้าหน้าที่อุทยานผู้ซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ในความฝัน เสียงเพรียกจาก นางครวญ กำลังเพรียกหา กรรมจากอดีตกำลังหมุนตาม แลนางผู้จำต้องพลัดพราก สูญเสียกำลังได้พบกับคนที่รอคอยอีกครั้ง เป็นนิยายเรื่องหนึ่งที่ลังเลพอสมควรกับการรีวิว ไม่ใช่ว่าผลงานไม่น่าอ่านนะคะ ทว่า... คุณแก้ว (แก้วกังไส) เป็นหนึ่งใน Friends' blogs ที่เคยพูดคุย ทักทายกันบ้างตามประสา เลยค่อนข้างเกรงใจค่ะ เพราะหวานเย็นค่อนข้างจะวิจารณ์แรงอยู่เหมือนกันกับหนังสือบางเล่มที่ได้อ่าน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องหวานเกินไป น้ำตาลท่วมหน้ากระดาษแบบไม่เกรงใจคนอ่าน ข้อมูลหลักลอย ความไม่สมจริงนานาประการ อ่านแล้วไม่ถูกใจ ยิ่งช่วงเครียด ๆ หยิบนิยายเบา ๆ มาอ่านคราใด รับรองได้ค่ะว่าสับแหลก เลยไม่กล้าหยิบมารีวิว กระทั่งหยิบมาอ่านเป็นรอบที่สองหลังได้รับการตีพิมพ์ เลยตัดสินใจหยิบมารีวิวน่ะค่ะ (ช้าไปไหมหนอ ) บาปปาริชาต เป็นเรื่องราวที่เกี่ยวพันกับบ่วงกรรมและการรอคอย ถ้าถามว่าลึกลับซ่อนเงื่อนไหม ? ก็ไม่ถึงขั้นนั้นนะคะ เท่าที่อ่านและลองคิดตามไปด้วย เรื่องนี้ไม่ได้มุ่งเน้นไปในทางสืบสวนสอบสวนค่ะ เน้นชี้ให้เห็นสัจธรรมของชีวิต การปล่อยวางไม่ยึดจ่อมจมกับความทุกข์จนเสียจริตเสียมากกว่า สังเกตจากคำชี้แนะของ หลวงพ่อปุ่น ที่ว่า 'การอดทนไม่ใช่เอาแต่ทน มันไม่ช่วยอะไรหรอก อดทนที่อาตมาหมายถึงคือการอดทนไม่ไปสานต่อความยุ่งยากทั้งปวงเพื่อไม่เพิ่มทุกข์ให้ตัวเองอีก อดทนต่อการยั่วยุถึงสิ่งที่จะทำให้เป็นทุกข์ แต่ไม่ใช่ให้ทนอยู่เฉย ๆ แล้วไม่ต้องแก้ไขอะไรเลย เราต้องพิจารณาความจริงที่เกิดขึ้นว่ามันเพราะอะไรอย่างไร แล้วหาจุดให้ได้เพื่อจะไปแก้ไขมัน แต่หากเรื่องมันผ่านไปนานแล้วย้อนความไม่ได้ เราเก็บไว้เป็นทุกข์ก็เปล่าประโยชน์ มีอย่างเดียวคือต้องปลง ต้องปล่อยวาง ต้องตั้งจิตอธิษฐานให้มั่นคงเพื่อประกาศให้คนที่ผูกกรรมจองเวรกัน เขารับรู้เจตนาของเรา รับรู้ถึงความทุกข์ของเรา แล้วระหว่างนั้นอย่าไปก่อกรรมหยาบอะไรเพิ่มเติม หมั่นสร้างบุญกุศล เอาตัวเองออกห่างจากปัญหาจากความทุกข์ด้วยการเรียนรู้คนอื่น ๆ เรียนรู้สังคม เรียนรู้สิ่งที่เราจะทำได้ ทั้งเพื่อตนเองหรือเพื่อคนรอบตัว...มันต้องเริ่มจากการให้แล้วเราจะสบายใจขึ้น จะไม่หมกมุ่นกับสิ่งที่ทำให้เกิดทุกข์......คนเราทุกคนมีความทุกข์ เกิดมาก็เป็นทุกข์กิริยาแล้ว โตขึ้นมาก็ทุกข์กาย เป็นผู้ใหญ่ก็ทุกข์ใจ ความทุกข์ทุกรูปแบบมันเข้ามาหาเราตั้งแต่เราปฏิสนธิในท้องแม่แล้ว ในโลกนี้ไม่มีใครไม่มีความทุกข์ ไม่จำเป็นต้องเป็นทุกข์เป็นทัณฑ์แต่ชาติก่อนถึงมาส่งผลให้ทุกข์ในชาตินี้หรอก ทุกข์มันเกิดขึ้นได้ทุกขณะจิต เพราะมันหาช่องทางเข้ามาในชีวิตคนเราได้ตลอด ถ้ารู้ตัวว่าทุกข์นั่นแสดงว่าไม่ได้โง่ ยิ่งมองเห็นว่าสาเหตุอยู่ที่ไหนก็คือคนฉลาด แต่รู้ไหม คนฉลาดน่ะยิ่งเป็นทุกข์เสียยิ่งกว่าคนโง่ คนโง่ไม่รู้สาเหตุอาจจะแก้ไขมันไม่ได้ แต่เมื่อไม่รู้จะทำอย่างไรก็ปล่อยวาง ก็หาสิ่งอื่นทำไปให้หายทุกข์ คนฉลาดแต่ปราศจากสติ มันก็จะเฝ้าแต่คิดวนเวียนอยุ่ในความทุกข์ ไม่สำเร็จไม่เสร็จไม่สิ้นก็ไม่ยอมเลิก แล้วก็กลายเป็นว่าทุกข์มันซ้ำเติมทั้งที่ความทุกข์มันมีน้ำหนักเท่าเดิม เรื่องเดิม ๆ ไม่ได้เพิ่มขึ้นหรือน้อยลงเลย แต่เป็นเราที่ทำให้มันเพิ่มขึ้นด้วยตัวเราเอง ถ้าถือนักมันก็หนัก ก็ต้องวาง มันอยู่ที่ใจสีกาเองไม่ยอมปล่อยวางเอง' สาธุค่ะ หลวงพ่อ หวานเย็นล่ะซึ้งในสัจธรรมเลยค่ะ แต่ มิสึสึจัง นางเอกของเรื่องก็ช่างรั้นจนน่าฟาดนัก เธอฟังนะคะ ฟัง... เข้าใจ... แต่ไม่ปฏิบัติตาม หล่อนก็รนหาที่...หาเรื่องเดือดร้อนให้ตัวเองจนได้ กังวลไม่ยอมปล่อย ไม่ยอมวาง จนเกือบจะเอาชีวิตไปทิ้งที่ หุบนางครวญ เพราะความไม่รู้จักปล่อยวาง แบกทุกอย่างไว้แล้วก็ร้อนรนกระวนกระวาย จะเป็นจะตายจนเกือบได้ตายจริง ๆ เพราะไกด์ผีที่หล่อนดิ้นรนเสาะหามาเอง ฮึ่ม ! มันน่า... นักนะ แต่แอบสะใจนิด ๆ เมื่อ พี่เขตต์ (เขตต์คีรี) ไม่โอ๋จนเกิดเหตุ เอ็ดตะโรให้ลั่นว่า 'มิสึสึ...ผมไม่ได้อยากซ้ำเติมนะ ไอ้เรื่องฝันร้ายของคุณน่ะ ผมเข้าใจและพร้อมจะฟัง แต่สิ่งที่คุณทำอยู่น่ะ มันคือการทำร้ายตัวเองชัด ๆ กฎก็มีอยู่ไม่งั้นเขาจะห้ามเข้าไปอุทยานทำไมตอนกลางคืน มันอันตรายแค่ไหนที่นี้รู้หรือยัง แล้วถ้าคุณมาตายที่หุบนางครวญนี่มันคุ้มไหม แล้วประเทศผมจะเป็นยังไง คุณคิดบ้างไหม มันจะกลายเป็นว่าเมืองไทยเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อน มีฆาตกรวิ่งพล่านอยู่ทั่วไป ทั้ง ๆ ที่จริง ๆ แล้วคุณประมาท คุณจ้างไกด์เถื่อนเอง แล้วถ้าคุณตายก็เพราะคุณไม่รักษากฎ ที่สำคัญนะมิสึสึ คุณแหกตามองหน้าไอ้พวกนั้นมั่งหรือเปล่า มันดุไว้ใจได้ที่ไหนหา...คุณสนแต่เรื่องของตัวเอง สนใจแต่ความทุกข์ตัวเอง กลายเป็นว่าใครก็ได้พาคุณไปเป็นใช้ได้งั้นเหรอ แล้วคนที่รักคุณห่วงคุณทำไมคุณไม่ปรึกษา ถ้าไม่ใจผมก็น่าจะเป็นห่วงตัวเองเสียบ้าง นี่คุณอายุเท่าไหร่แล้ว ยี่สิบเอ็ดไม่ใช่เด็กแล้วนะ คิดบ้างหรือเปล่า การศึกษาก็ไม่ใช่น้อยเรียนถึงมหาลัยก็แล้ว...ก็ยัง...นะ ถ้าผมไปช่วยไม่ทันจะทำยังไงหา ? โธ่เว้ย ! สวยซะเปล่าหัดคิดบ้างสิ !' เอ่อ...คือ...ที่ว่ามาทั้งหมดนั่นเข้าใจนะคะว่าหวังดี อยากให้ มิสึสึ ใช้ความคิดให้มาก ๆ แต่... พี่เขตต์ ลืมไปหรือเปล่าคะว่ากำลังจะจีบหล่อนอยู่ เดี๋ยวสาวเจ้าก็เขม่นเอาหรอก แต่ก็...ยกให้ค่ะ เทศนา เอ๊ย ! ต่อว่าได้ตรงใจหวานเย็นมาก ๆ จริงล่ะค่ะ สนแต่เรื่องตัวเอง สนใจแต่ความทุกข์ตัวเอง คร่ำครวญมากมายจน นางครวญ ตัวจริงเสียงจริงยังยอมแพ้เลยค่ะ โดยส่วนตัวแล้ว หวานเย็นค่อนข้างชอบเรื่องนี้นะคะ ติดอยู่นิดเดียวตรงความโศกสลดเกินเหตุของนางเอกนี่ล่ะค่ะ นอกนั้นลงตัวหมดค่ะ แนะนำนะคะ... สำหรับใครที่ยังไม่ได้อ่าน และชื่นชอบนิยายแนว ๆ นี้อยู่ล่ะก็ บาปปาริชาต เป็นอีกเรื่องที่น่าสนใจเลยล่ะค่ะ
กระซิบก่อนอ่าน กลิ่นหอมนวลลอยแทรกเข้ามาในสายลมร้ายของพายุร้าย ฟุ้งขจรไปทั่ว กลิ่นนั้นแรงจนเริ่มฉุน ก่อนกลีบดอกไม้สีแดงสะพรั่งจะร่วงหล่นลงมาจากเบื้องบนดังฝนโปรยมาเป็นธาราดอกไม้ และเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ ไม่นานนักก็กลายเป็นทะเลสีแดงฉานท่วมท้นขึ้นมาถึงหัวเข่า คราวนี้ไม่ว่าจะมองไปทางไหนหล่อนก็ไม่พบใครเลย ไม่ว่าจะเป็นบัวซอน ฟองคำ หรืออีเป็ง และคนอื่น ๆ จะมีแต่เพียงตนเองเท่านั้นที่เดียวดายอยู่กลางทะเลกลีบดอกปาริชาตไม่ ! ! ฉันไม่อยากอยู่ที่นี่ ! !ฝันร้ายหลอกหลอนมาแต่ยังเยาว์วัย ทำให้หญิงสาวต้องดั้นด้นมาถึงเมืองไทย ด้วยดวงจิตที่ตกอยู่ในมนตราปาริชาต แล้ววิถีกรรมก็ปูถนนมุ่งตรงสู่หุบนางครวญให้กับหล่อนบอกให้รู้ว่ามีใครบางคนยังรอคอยวันที่จะชำระทุกสิ่งให้สิ้น แม้แต่ดวงใจของหล่อนก็ตาม ! ! ขอบคุณรายละเอียดและภาพปกจาก... แก้วกังไส ... นะคะ
แวะเคาะประตูร้านหนังสือ
มิสึสึ มักฝันเห็นเหตุการณ์ฆาตกรรมผู้หญิงคนหนึ่งเป็นประจำตั้งแต่เด็ก ทั้ง ๆ ที่เธอไม่เคยรู้จัก ไม่เคยเห็นผู้หญิงคนนั้นหรือกลุ่มคนที่ก่อเหตุฆาตกรรมดังกล่าวมาก่อน อีกทั้งภาษาและเครื่องแต่งกายก็ดูแปลกตา นานวันเข้า มึสึสึก็กลายเป็นโรคซึมเศร้า ต้องพึ่งพาการรักษาของจิตแพทย์ แต่ลึก ๆ จิตใต้สำนึกกลับบอกเธอว่า นั่นไม่ใช่แค่ความฝันอย่างที่ใครต่อใครพร่ำบอก มันคือเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นจริง เธอจึงพยายามค้นคว้าหาข้อมูล จนกระทั่งตัดสินใจเดินทางมายังประเทศไทย ซึ่งเธอมั่นใจว่าคือสถานที่เกิดเหตุ ทำให้เธอได้พบและรู้จักกับ เขตต์คีรี เจ้าหน้าที่อุทยานผู้ซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ในความฝัน เสียงเพรียกจาก นางครวญ กำลังเพรียกหา กรรมจากอดีตกำลังหมุนตาม แลนางผู้จำต้องพลัดพราก สูญเสียกำลังได้พบกับคนที่รอคอยอีกครั้ง เป็นนิยายเรื่องหนึ่งที่ลังเลพอสมควรกับการรีวิว ไม่ใช่ว่าผลงานไม่น่าอ่านนะคะ ทว่า... คุณแก้ว (แก้วกังไส) เป็นหนึ่งใน Friends' blogs ที่เคยพูดคุย ทักทายกันบ้างตามประสา เลยค่อนข้างเกรงใจค่ะ เพราะหวานเย็นค่อนข้างจะวิจารณ์แรงอยู่เหมือนกันกับหนังสือบางเล่มที่ได้อ่าน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องหวานเกินไป น้ำตาลท่วมหน้ากระดาษแบบไม่เกรงใจคนอ่าน ข้อมูลหลักลอย ความไม่สมจริงนานาประการ อ่านแล้วไม่ถูกใจ ยิ่งช่วงเครียด ๆ หยิบนิยายเบา ๆ มาอ่านคราใด รับรองได้ค่ะว่าสับแหลก เลยไม่กล้าหยิบมารีวิว กระทั่งหยิบมาอ่านเป็นรอบที่สองหลังได้รับการตีพิมพ์ เลยตัดสินใจหยิบมารีวิวน่ะค่ะ (ช้าไปไหมหนอ ) บาปปาริชาต เป็นเรื่องราวที่เกี่ยวพันกับบ่วงกรรมและการรอคอย ถ้าถามว่าลึกลับซ่อนเงื่อนไหม ? ก็ไม่ถึงขั้นนั้นนะคะ เท่าที่อ่านและลองคิดตามไปด้วย เรื่องนี้ไม่ได้มุ่งเน้นไปในทางสืบสวนสอบสวนค่ะ เน้นชี้ให้เห็นสัจธรรมของชีวิต การปล่อยวางไม่ยึดจ่อมจมกับความทุกข์จนเสียจริตเสียมากกว่า สังเกตจากคำชี้แนะของ หลวงพ่อปุ่น ที่ว่า 'การอดทนไม่ใช่เอาแต่ทน มันไม่ช่วยอะไรหรอก อดทนที่อาตมาหมายถึงคือการอดทนไม่ไปสานต่อความยุ่งยากทั้งปวงเพื่อไม่เพิ่มทุกข์ให้ตัวเองอีก อดทนต่อการยั่วยุถึงสิ่งที่จะทำให้เป็นทุกข์ แต่ไม่ใช่ให้ทนอยู่เฉย ๆ แล้วไม่ต้องแก้ไขอะไรเลย เราต้องพิจารณาความจริงที่เกิดขึ้นว่ามันเพราะอะไรอย่างไร แล้วหาจุดให้ได้เพื่อจะไปแก้ไขมัน แต่หากเรื่องมันผ่านไปนานแล้วย้อนความไม่ได้ เราเก็บไว้เป็นทุกข์ก็เปล่าประโยชน์ มีอย่างเดียวคือต้องปลง ต้องปล่อยวาง ต้องตั้งจิตอธิษฐานให้มั่นคงเพื่อประกาศให้คนที่ผูกกรรมจองเวรกัน เขารับรู้เจตนาของเรา รับรู้ถึงความทุกข์ของเรา แล้วระหว่างนั้นอย่าไปก่อกรรมหยาบอะไรเพิ่มเติม หมั่นสร้างบุญกุศล เอาตัวเองออกห่างจากปัญหาจากความทุกข์ด้วยการเรียนรู้คนอื่น ๆ เรียนรู้สังคม เรียนรู้สิ่งที่เราจะทำได้ ทั้งเพื่อตนเองหรือเพื่อคนรอบตัว...มันต้องเริ่มจากการให้แล้วเราจะสบายใจขึ้น จะไม่หมกมุ่นกับสิ่งที่ทำให้เกิดทุกข์......คนเราทุกคนมีความทุกข์ เกิดมาก็เป็นทุกข์กิริยาแล้ว โตขึ้นมาก็ทุกข์กาย เป็นผู้ใหญ่ก็ทุกข์ใจ ความทุกข์ทุกรูปแบบมันเข้ามาหาเราตั้งแต่เราปฏิสนธิในท้องแม่แล้ว ในโลกนี้ไม่มีใครไม่มีความทุกข์ ไม่จำเป็นต้องเป็นทุกข์เป็นทัณฑ์แต่ชาติก่อนถึงมาส่งผลให้ทุกข์ในชาตินี้หรอก ทุกข์มันเกิดขึ้นได้ทุกขณะจิต เพราะมันหาช่องทางเข้ามาในชีวิตคนเราได้ตลอด ถ้ารู้ตัวว่าทุกข์นั่นแสดงว่าไม่ได้โง่ ยิ่งมองเห็นว่าสาเหตุอยู่ที่ไหนก็คือคนฉลาด แต่รู้ไหม คนฉลาดน่ะยิ่งเป็นทุกข์เสียยิ่งกว่าคนโง่ คนโง่ไม่รู้สาเหตุอาจจะแก้ไขมันไม่ได้ แต่เมื่อไม่รู้จะทำอย่างไรก็ปล่อยวาง ก็หาสิ่งอื่นทำไปให้หายทุกข์ คนฉลาดแต่ปราศจากสติ มันก็จะเฝ้าแต่คิดวนเวียนอยุ่ในความทุกข์ ไม่สำเร็จไม่เสร็จไม่สิ้นก็ไม่ยอมเลิก แล้วก็กลายเป็นว่าทุกข์มันซ้ำเติมทั้งที่ความทุกข์มันมีน้ำหนักเท่าเดิม เรื่องเดิม ๆ ไม่ได้เพิ่มขึ้นหรือน้อยลงเลย แต่เป็นเราที่ทำให้มันเพิ่มขึ้นด้วยตัวเราเอง ถ้าถือนักมันก็หนัก ก็ต้องวาง มันอยู่ที่ใจสีกาเองไม่ยอมปล่อยวางเอง' สาธุค่ะ หลวงพ่อ หวานเย็นล่ะซึ้งในสัจธรรมเลยค่ะ แต่ มิสึสึจัง นางเอกของเรื่องก็ช่างรั้นจนน่าฟาดนัก เธอฟังนะคะ ฟัง... เข้าใจ... แต่ไม่ปฏิบัติตาม หล่อนก็รนหาที่...หาเรื่องเดือดร้อนให้ตัวเองจนได้ กังวลไม่ยอมปล่อย ไม่ยอมวาง จนเกือบจะเอาชีวิตไปทิ้งที่ หุบนางครวญ เพราะความไม่รู้จักปล่อยวาง แบกทุกอย่างไว้แล้วก็ร้อนรนกระวนกระวาย จะเป็นจะตายจนเกือบได้ตายจริง ๆ เพราะไกด์ผีที่หล่อนดิ้นรนเสาะหามาเอง ฮึ่ม ! มันน่า... นักนะ แต่แอบสะใจนิด ๆ เมื่อ พี่เขตต์ (เขตต์คีรี) ไม่โอ๋จนเกิดเหตุ เอ็ดตะโรให้ลั่นว่า 'มิสึสึ...ผมไม่ได้อยากซ้ำเติมนะ ไอ้เรื่องฝันร้ายของคุณน่ะ ผมเข้าใจและพร้อมจะฟัง แต่สิ่งที่คุณทำอยู่น่ะ มันคือการทำร้ายตัวเองชัด ๆ กฎก็มีอยู่ไม่งั้นเขาจะห้ามเข้าไปอุทยานทำไมตอนกลางคืน มันอันตรายแค่ไหนที่นี้รู้หรือยัง แล้วถ้าคุณมาตายที่หุบนางครวญนี่มันคุ้มไหม แล้วประเทศผมจะเป็นยังไง คุณคิดบ้างไหม มันจะกลายเป็นว่าเมืองไทยเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อน มีฆาตกรวิ่งพล่านอยู่ทั่วไป ทั้ง ๆ ที่จริง ๆ แล้วคุณประมาท คุณจ้างไกด์เถื่อนเอง แล้วถ้าคุณตายก็เพราะคุณไม่รักษากฎ ที่สำคัญนะมิสึสึ คุณแหกตามองหน้าไอ้พวกนั้นมั่งหรือเปล่า มันดุไว้ใจได้ที่ไหนหา...คุณสนแต่เรื่องของตัวเอง สนใจแต่ความทุกข์ตัวเอง กลายเป็นว่าใครก็ได้พาคุณไปเป็นใช้ได้งั้นเหรอ แล้วคนที่รักคุณห่วงคุณทำไมคุณไม่ปรึกษา ถ้าไม่ใจผมก็น่าจะเป็นห่วงตัวเองเสียบ้าง นี่คุณอายุเท่าไหร่แล้ว ยี่สิบเอ็ดไม่ใช่เด็กแล้วนะ คิดบ้างหรือเปล่า การศึกษาก็ไม่ใช่น้อยเรียนถึงมหาลัยก็แล้ว...ก็ยัง...นะ ถ้าผมไปช่วยไม่ทันจะทำยังไงหา ? โธ่เว้ย ! สวยซะเปล่าหัดคิดบ้างสิ !' เอ่อ...คือ...ที่ว่ามาทั้งหมดนั่นเข้าใจนะคะว่าหวังดี อยากให้ มิสึสึ ใช้ความคิดให้มาก ๆ แต่... พี่เขตต์ ลืมไปหรือเปล่าคะว่ากำลังจะจีบหล่อนอยู่ เดี๋ยวสาวเจ้าก็เขม่นเอาหรอก แต่ก็...ยกให้ค่ะ เทศนา เอ๊ย ! ต่อว่าได้ตรงใจหวานเย็นมาก ๆ จริงล่ะค่ะ สนแต่เรื่องตัวเอง สนใจแต่ความทุกข์ตัวเอง คร่ำครวญมากมายจน นางครวญ ตัวจริงเสียงจริงยังยอมแพ้เลยค่ะ โดยส่วนตัวแล้ว หวานเย็นค่อนข้างชอบเรื่องนี้นะคะ ติดอยู่นิดเดียวตรงความโศกสลดเกินเหตุของนางเอกนี่ล่ะค่ะ นอกนั้นลงตัวหมดค่ะ แนะนำนะคะ... สำหรับใครที่ยังไม่ได้อ่าน และชื่นชอบนิยายแนว ๆ นี้อยู่ล่ะก็ บาปปาริชาต เป็นอีกเรื่องที่น่าสนใจเลยล่ะค่ะ