ชื่อหนังสือ : สร้อยสะบันงาชุดหนังสือ : ดวงดอกไม้เขียนโดย : อุมาริการ์พิมพ์ครั้งแรก : มีนาคม ๒๕๕๕สำนักพิมพ์ : พิมพ์คำจำนวน ๔๘๗ หน้า ราคา ๒๘๐ บาท กระซิบก่อนอ่าน ยิ่งดิ้นรนแสวงหา สิ่งที่ไขว่คว้ากลับยิ่งหลุดลอย แต่ความรักอาจเป็นสิ่งสุดท้ายที่เหลือในมือเธอ เมืองไทยยุคหลังสงครามโลก ผู้คนไม่ว่าสูงส่งหรือต่ำศักดิ์ล้วนได้รับแรงกระทบ สร้อยสะบันงา ต้องเผชิญความยากแค้นเพราะผลพวงของสงคราม พ่อผู้หยิ่งทะนงในความเป็นขุนนางเก่ากดดันให้เธอต้องพุ่งทะยานไปสู่ชีวิตบนวิมานที่ครอบครัวเคยร่วงลงมา แต่ไม่ว่ายามหิวโหย ไร้แม้ข้าวสักเม็ดจะกรอกหม้อที่บ้านริมคลอง หรือยามอิ่มสุขเมื่ออยู่ในวังกับญาติผู้ดีมีตระกูล เธอก็มี เทียน หนุ่มลูกเจ๊กข้างบ้านที่ใคร ๆ หยามเหยียดคอยดูแลเคียงข้างอยู่เสมอ เธอรุ่มร้อนมุ่งมั่น...เขาอบอุ่นเหมือนแสงตะวัน... ระหว่างพี่ชายที่แสนดีกับน้องสาวผู้ไม่เคยหยุดไขว่คว้า ท้ายที่สุดแล้ว สองหัวใจต้องพิสูจน์ว่าทั้งคู่เกิดมาเพื่อกันและกันหรือไม่ ขอบคุณรายละเอียดและภาพปกจาก... พิมพ์คำ ... นะคะ แวะเคาะประตูร้านหนังสือ เขียนความรู้สึก...บันทึกหลังอ่าน เพราะเกิดในตระกูลขุนนางเก่า สร้อยสะบันงา จึงถูกบิดาปลูกฝังความหยิ่งทะนงและรักในศักดิ์ศรีของตนเสียจนกลายเป็นคนทะเยอทะยานโดยไม่รู้ตัว เมื่อสิ้นทั้งพี่ชายและบิดาผู้เป็นหลักของครอบครัว หม่อมแสงจันทร์ ผู้เป็นป้าก็ก้าวเข้ามาเป็นผู้อุปการะเลี้ยงดูและส่งเสียให้ได้เรียนหนังสือในพระนคร มีเพียงข้อแม้เดียวคือเธอต้องจากบ้านริมคลองไปพำนักอยู่ใน วังรวิเวศน์ ณ วังแห่งนี้ สร้อยสะบันงา ได้รู้จักกับ ท่านชายไอยเรศ ราชนิกุลหนุ่มผู้สูงศักดิ์ที่เปรียบเสมือนเจ้าชายในฝัน ทว่าใช่จะมีเพียงความฝันอันสวยงามเท่านั้นที่รอให้เธอได้พบเจอ ยังมีเรื่องราวการแก่งแย่ง ชิงดีชิงเด่นให้เธอต้องฝ่าฟัน โดยเฉพาะ ท่านหญิงเกดโกมล ธิดาของท่านเจ้าของวังที่ชังน้ำหน้าเธอนัก และ ท่านหญิงอุบลแก้ว ที่ไม่ชัดเจนว่าเป็นมิตรหรือศัตรู ความจริงหวานเย็นคิดจะขอผ่าน ชุดดวงดอกไม้ นี้อยู่เหมือนกันค่ะ เพราะมีด้วยกันถึง ๓ เล่ม คือ ธาดากุสุมา โดย ณารา, สร้อยสะบันงา โดย อุมาริการ์ และ ปทมาศวรรย์ โดย ปิ่นปินัทธ์ แค่คล้าย ๆ พรหมลิขิตให้ได้อ่าน (หรือเปล่า ? ) หวานเย็นเหลือบไปเห็น สร้อยสะบันงา วางนิ่งอยู่บนชั้นหนังสือของห้องสมุดประชาชนเมื่อต้นเดือนมกราคมที่ผ่านมา ก็เลยหยิบมาพลิกอ่านคำโปรยปกหลัง จ้องหน้าปกหนังสืออยู่ประมาณ ๑ นาทีแล้วตัดสินใจพากลับบ้านค่ะ พอได้อ่าน... สร้อยสะบันงา ในวัยสาวนั้นเต็มไปด้วยความทะเยอทะยาน มุ่งมั่นที่จะไขว่คว้าสิ่งที่ตนคิดว่าดีที่สุดให้สมดังที่บิดาของเธอตั้งความหวังเอาไว้ แม้แม่ของเธอจะพยายามเตือนสติว่า... "ในโลกนี้ไม่มีอะไรที่ดีพร้อม ปราศจากตำหนิหรอกนะลูก แม้แต่เพชรก็ยังมีข้อด้อยเลย ... ถ้างามไม่มีอะไรจะกิน มีแต่เพชรอยู่ข้าง ๆ ตัว งามจะกินมันได้ไหม" แต่เธอกลับมองข้ามและยึดเอาทิฐิเป็นที่ตั้ง จนสุดท้ายก็คว้าเอาเพชรมีตำหนิอย่าง ท่านชายไอยเรศ ตำหนิที่เกิดจากความหยิ่งทะนงในเลือดสีน้ำเงิน และต้องการเอาชนะ เทียน แซ่ลี้ หนุ่มจีนทีท่าซื่อ ๆ ทว่าจริงใจ ด้วยความทะเยอทะยานของ สร้อยสะบันงา นี้เองทำให้ เทียน ชายหนุ่มที่แสนดี พี่ชายที่มีแต่ความจริงใจต้องเจ็บช้ำซ้ำแล้วซ้ำเล่า อ่านแล้วน่าจะชังน้ำหน้า สร้อยสะบันงา อยู่เหมือนกันนะคะ แต่ อุมาริการ์ สามารถถ่ายทอดเรื่องราวและความรู้สึกออกมาได้ดี...ดีเสียจนไม่เกลียดนางเอก แม้จะไม่ชอบในสิ่งที่เธอทำร้ายจิตใจหนุ่มสายเลือดนักก็ตาม ขณะเดียวกัน ก็สงสาร พี่เทียน ที่ต้องผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่าเพราะสายใยแห่งรักและผูกพัน... สายใยที่เรียกว่าสร้อยสะบันงา สายใยที่แม้อยากจะตัดก็ตัดไม่ขาด สายใยที่เหมือนโซ่เหล็กกล้าร้อยรัดเขาไว้แน่นและบาดหัวใจเป็นแผลลึกไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งจนเกินจะเยียวยาได้ สายใยที่พยายามลืมก็ยิ่งทุกข์ท้อ แต่พอได้อยู่ใกล้ก็ทรมาน เรียกน้ำตาได้ดีเหลือเกินค่ะเรื่องนี้ บีบคั้นหัวใจจริง ๆ แถมยังต้องลุ้นอีกค่ะว่า พี่เทียน จะรอดพ้นการคลุมถุงชนได้อย่างไร ฮั้ว พี่ชายของ พี่เทียน จะลอบกัดน้องชายต่างมารดาได้สำเร็จหรือไม่ และสุดท้าย พี่เทียน จะสมหวังหรือเปล่า ? อ่านแล้วก็ไม่ผิดหวังนะคะเล่มนี้ ลื่นไหลดีทีเดียว และยังให้ข้อคิดที่ดีด้วยค่ะว่า... "ถ้าทำตามใจตัวเองโดยไม่รู้จักคิดถึงใจคนอื่น แล้วเรามีความสุข แต่คนอื่นไม่มี เราจะสุขได้ยังไงกัน" ... "ชีวิตคนเราก็เหมือนท้องฟ้านั่นแหละ มีทั้งมืด สว่างสลับกันไป และบางครั้งอาจจะมีเมฆฝนพัดผ่านเข้ามาบ้าง แต่สุดท้ายมันก็จะผ่านไป ที่สำคัญเธอต้องอดทน" เหมือนดังเช่น พี่เทียน ที่อดทนรอ สร้อยสะบันงา รอจนกว่าใครต่อใครจะซึ้งในความดี แหม ! หวานเย็นหลงเสน่ห์ พี่เทียน เสียแล้วสิคะ จุดผิดพลาดเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่อยากฝากไว้หากมีการตีพิมพ์ซ้ำอีกครั้งอยู่ที่หน้า ๒๒๑ และคนอย่างท่านหญิงแก้วโกมลไม่เคยปล่อยให้คนที่นับว่าเป็นศัตรูลอยนวลจากไปได้ง่าย ๆ ต้องเปลี่ยนเป็น ท่านหญิงเกดโกมล หน้า ๓๗๑ บรรทัดที่ ๖ ...กล่องกำมะหยี่สีดงเข้ม... ลองอ่านเทียบกับฉากอื่น ๆ ที่กล่าวถึงกล่องกำมะหยี่ใบนี้ดูแล้วน่าจะเป็น สีแดง มากกว่านะคะ
กระซิบก่อนอ่าน ยิ่งดิ้นรนแสวงหา สิ่งที่ไขว่คว้ากลับยิ่งหลุดลอย แต่ความรักอาจเป็นสิ่งสุดท้ายที่เหลือในมือเธอ เมืองไทยยุคหลังสงครามโลก ผู้คนไม่ว่าสูงส่งหรือต่ำศักดิ์ล้วนได้รับแรงกระทบ สร้อยสะบันงา ต้องเผชิญความยากแค้นเพราะผลพวงของสงคราม พ่อผู้หยิ่งทะนงในความเป็นขุนนางเก่ากดดันให้เธอต้องพุ่งทะยานไปสู่ชีวิตบนวิมานที่ครอบครัวเคยร่วงลงมา แต่ไม่ว่ายามหิวโหย ไร้แม้ข้าวสักเม็ดจะกรอกหม้อที่บ้านริมคลอง หรือยามอิ่มสุขเมื่ออยู่ในวังกับญาติผู้ดีมีตระกูล เธอก็มี เทียน หนุ่มลูกเจ๊กข้างบ้านที่ใคร ๆ หยามเหยียดคอยดูแลเคียงข้างอยู่เสมอ เธอรุ่มร้อนมุ่งมั่น...เขาอบอุ่นเหมือนแสงตะวัน... ระหว่างพี่ชายที่แสนดีกับน้องสาวผู้ไม่เคยหยุดไขว่คว้า ท้ายที่สุดแล้ว สองหัวใจต้องพิสูจน์ว่าทั้งคู่เกิดมาเพื่อกันและกันหรือไม่ ขอบคุณรายละเอียดและภาพปกจาก... พิมพ์คำ ... นะคะ
แวะเคาะประตูร้านหนังสือ
เพราะเกิดในตระกูลขุนนางเก่า สร้อยสะบันงา จึงถูกบิดาปลูกฝังความหยิ่งทะนงและรักในศักดิ์ศรีของตนเสียจนกลายเป็นคนทะเยอทะยานโดยไม่รู้ตัว เมื่อสิ้นทั้งพี่ชายและบิดาผู้เป็นหลักของครอบครัว หม่อมแสงจันทร์ ผู้เป็นป้าก็ก้าวเข้ามาเป็นผู้อุปการะเลี้ยงดูและส่งเสียให้ได้เรียนหนังสือในพระนคร มีเพียงข้อแม้เดียวคือเธอต้องจากบ้านริมคลองไปพำนักอยู่ใน วังรวิเวศน์ ณ วังแห่งนี้ สร้อยสะบันงา ได้รู้จักกับ ท่านชายไอยเรศ ราชนิกุลหนุ่มผู้สูงศักดิ์ที่เปรียบเสมือนเจ้าชายในฝัน ทว่าใช่จะมีเพียงความฝันอันสวยงามเท่านั้นที่รอให้เธอได้พบเจอ ยังมีเรื่องราวการแก่งแย่ง ชิงดีชิงเด่นให้เธอต้องฝ่าฟัน โดยเฉพาะ ท่านหญิงเกดโกมล ธิดาของท่านเจ้าของวังที่ชังน้ำหน้าเธอนัก และ ท่านหญิงอุบลแก้ว ที่ไม่ชัดเจนว่าเป็นมิตรหรือศัตรู ความจริงหวานเย็นคิดจะขอผ่าน ชุดดวงดอกไม้ นี้อยู่เหมือนกันค่ะ เพราะมีด้วยกันถึง ๓ เล่ม คือ ธาดากุสุมา โดย ณารา, สร้อยสะบันงา โดย อุมาริการ์ และ ปทมาศวรรย์ โดย ปิ่นปินัทธ์ แค่คล้าย ๆ พรหมลิขิตให้ได้อ่าน (หรือเปล่า ? ) หวานเย็นเหลือบไปเห็น สร้อยสะบันงา วางนิ่งอยู่บนชั้นหนังสือของห้องสมุดประชาชนเมื่อต้นเดือนมกราคมที่ผ่านมา ก็เลยหยิบมาพลิกอ่านคำโปรยปกหลัง จ้องหน้าปกหนังสืออยู่ประมาณ ๑ นาทีแล้วตัดสินใจพากลับบ้านค่ะ พอได้อ่าน... สร้อยสะบันงา ในวัยสาวนั้นเต็มไปด้วยความทะเยอทะยาน มุ่งมั่นที่จะไขว่คว้าสิ่งที่ตนคิดว่าดีที่สุดให้สมดังที่บิดาของเธอตั้งความหวังเอาไว้ แม้แม่ของเธอจะพยายามเตือนสติว่า... "ในโลกนี้ไม่มีอะไรที่ดีพร้อม ปราศจากตำหนิหรอกนะลูก แม้แต่เพชรก็ยังมีข้อด้อยเลย ... ถ้างามไม่มีอะไรจะกิน มีแต่เพชรอยู่ข้าง ๆ ตัว งามจะกินมันได้ไหม" แต่เธอกลับมองข้ามและยึดเอาทิฐิเป็นที่ตั้ง จนสุดท้ายก็คว้าเอาเพชรมีตำหนิอย่าง ท่านชายไอยเรศ ตำหนิที่เกิดจากความหยิ่งทะนงในเลือดสีน้ำเงิน และต้องการเอาชนะ เทียน แซ่ลี้ หนุ่มจีนทีท่าซื่อ ๆ ทว่าจริงใจ ด้วยความทะเยอทะยานของ สร้อยสะบันงา นี้เองทำให้ เทียน ชายหนุ่มที่แสนดี พี่ชายที่มีแต่ความจริงใจต้องเจ็บช้ำซ้ำแล้วซ้ำเล่า อ่านแล้วน่าจะชังน้ำหน้า สร้อยสะบันงา อยู่เหมือนกันนะคะ แต่ อุมาริการ์ สามารถถ่ายทอดเรื่องราวและความรู้สึกออกมาได้ดี...ดีเสียจนไม่เกลียดนางเอก แม้จะไม่ชอบในสิ่งที่เธอทำร้ายจิตใจหนุ่มสายเลือดนักก็ตาม ขณะเดียวกัน ก็สงสาร พี่เทียน ที่ต้องผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่าเพราะสายใยแห่งรักและผูกพัน... สายใยที่เรียกว่าสร้อยสะบันงา สายใยที่แม้อยากจะตัดก็ตัดไม่ขาด สายใยที่เหมือนโซ่เหล็กกล้าร้อยรัดเขาไว้แน่นและบาดหัวใจเป็นแผลลึกไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งจนเกินจะเยียวยาได้ สายใยที่พยายามลืมก็ยิ่งทุกข์ท้อ แต่พอได้อยู่ใกล้ก็ทรมาน เรียกน้ำตาได้ดีเหลือเกินค่ะเรื่องนี้ บีบคั้นหัวใจจริง ๆ แถมยังต้องลุ้นอีกค่ะว่า พี่เทียน จะรอดพ้นการคลุมถุงชนได้อย่างไร ฮั้ว พี่ชายของ พี่เทียน จะลอบกัดน้องชายต่างมารดาได้สำเร็จหรือไม่ และสุดท้าย พี่เทียน จะสมหวังหรือเปล่า ? อ่านแล้วก็ไม่ผิดหวังนะคะเล่มนี้ ลื่นไหลดีทีเดียว และยังให้ข้อคิดที่ดีด้วยค่ะว่า... "ถ้าทำตามใจตัวเองโดยไม่รู้จักคิดถึงใจคนอื่น แล้วเรามีความสุข แต่คนอื่นไม่มี เราจะสุขได้ยังไงกัน" ... "ชีวิตคนเราก็เหมือนท้องฟ้านั่นแหละ มีทั้งมืด สว่างสลับกันไป และบางครั้งอาจจะมีเมฆฝนพัดผ่านเข้ามาบ้าง แต่สุดท้ายมันก็จะผ่านไป ที่สำคัญเธอต้องอดทน" เหมือนดังเช่น พี่เทียน ที่อดทนรอ สร้อยสะบันงา รอจนกว่าใครต่อใครจะซึ้งในความดี แหม ! หวานเย็นหลงเสน่ห์ พี่เทียน เสียแล้วสิคะ จุดผิดพลาดเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่อยากฝากไว้หากมีการตีพิมพ์ซ้ำอีกครั้งอยู่ที่หน้า ๒๒๑ และคนอย่างท่านหญิงแก้วโกมลไม่เคยปล่อยให้คนที่นับว่าเป็นศัตรูลอยนวลจากไปได้ง่าย ๆ ต้องเปลี่ยนเป็น ท่านหญิงเกดโกมล หน้า ๓๗๑ บรรทัดที่ ๖ ...กล่องกำมะหยี่สีดงเข้ม... ลองอ่านเทียบกับฉากอื่น ๆ ที่กล่าวถึงกล่องกำมะหยี่ใบนี้ดูแล้วน่าจะเป็น สีแดง มากกว่านะคะ