หนอนหนังสือ "หนอนหนังสือ" เป็นโจทย์ตะพาบกิโลเมตร ลำดับที่ 275 ผู้ที่ตั้ง โจทย์ หนอนหนังสือ คือ น้องต่อ 36 ค่ะ หนอนหนังสือ ประกอบด้วยคำสองคำ คือ คำว่า หนอน กับคำว่า หนังสือ   รวมกันเป็น หนอนหนังสือ ทำหน้าที่เป็น คำนาม เป็นการสร้างคำประเภทหนึ่งในภาษาไทย เรียกวิธีการสร้าง คำชนิดนี้ว่า คำประสม ค่ะ เป็นคำประสมที่ใช้เป็น สำนวนเปรียบเทียบในภาษาไทย มีความหมายว่า "เป็นคนที่หมกมุ่น อยู่กับการอ่านหนังสือ" ไม่สนใจเรื่องต่าง ๆ รอบตัวนัก ส่วนที่มาของสำนวนนี้ มาจากคำว่า Book worm ในภาษาอังกฤษ หมายถึงตัวอ่อนของแมลงที่มีนิสัยชอบกัดกิน วัสดุแห้ง ๆ ที่มีส่วนประกอบของแป้ง เช่น เปลือกไม้ ใบไม้ กระดาษ มันชอบกัดและเจาะหนังสือให้มีรูเล็ก ๆ ทำให้หนังสือเสียหาย จึงนำไปเปรียบกับคนที่ชอบอยู่กับกองหนังสือ อ่านหนังสือ (เหมือนหนอนกัดกินหนังสือ แต่เราเป็นคน เราอ่านหนังสือมากมาย เปรียบเหมือนหนอนกินหนังสือ ซึ่งเป็นการ ทำลายหนังสือ ไม่ได้ประโยชน์ แต่คนเราอ่านหนังสือ เช่นนี้ ได้ประโยน์มากค่ะ ได้ความรู้ ทันโลก ทันเหตุการณ์กับสิ่งต่างๆ การเปรียบเทียบจึงต้องดูหลักแห่งความจริงด้วย ค่ะ การเป็นคนที่ได้รับฉายาว่า "เป็นหนอนหนังสือ" น่าจะให้ความหมาย ในด้านบวกมากกว่าด้านลบ ค่ะ ตามความเห็นของฉัน เพราะอย่างน้อย การอ่านหนังสือเป็นประจำสม่ำเสมอย่อมได้ประโยชน์ จากสิ่งที่อ่านอย่างแน่นอน และต้องรู้จักเลือกสิ่งดี ๆ ในเนื้อหาที่อ่านด้วย นะคะ จึงจะได้ประโยชน์อย่างเต็มที่ สำหรับด้าน ลบของการได้ฉายาว่า "เป็นหนอนหนังสือ" อาจจะถูก กระแนะกระแหนจากเพื่อนฝูงที่ไม่ชอบอ่านหนังสือ เมื่อมาชวนเราไป เที่ยว แล้วเราไม่ไป เพราะอยากอ่านหนังสือมากกว่า เป็นต้น การจะทำให้เด็ก ๆ รักการอ่าน และเป็นหนอนหนังสือไม่ใช่เป็นเรื่อง ง่ายนัก ฉันในสมัยเป็นครู น่าจะประมาณ ปี 47 มีโครงการ ทางการศึกษาที่โด่งดังมาก ซึ่งเริ่มมาจากพระราชดำริของ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา เจ้าฟ้ามหาจักรีสิรินธร มหาวชิราลงกรณวรราชภักดี สิริกิจการิณีพีรยพัฒน รัฐสีมาคุณากรปิยชาติ สยามบรมราชกุมารี พระองค์ท่านได้มีพระราชดำริให้แต่ละโรงเรียน มีโครงการส่งเสริมให้นักเรียนรักการอ่าน ยุคนั้น ฉันได้รับแต่งตั้งให้ เป็นหัวหน้าโครงการจัดกิจกรรมต่าง ๆ ที่จะส่งเสริมให้นักเรียน รักการอ่านหนังสือ กิจกรรมที่ฉันได้ทำและดำเนินการ ก็คือ กิจกรรม รักการอ่าน 5 นาที ในแต่ละวันก่อนที่จะมีการเรียนการสอน มีการบันทึกเรื่องราวที่อ่านในแต่ละวันลงในสมุดรักการอ่านซึ่งทุกตน จะต้องมีคนละ 1 เล่ม และส่งครูอาทิตย์ละ 1 ครั้ง เพื่อประเมินผลในการอ่านทั้ง 5 วัน นอกจากนี้ มีกิจกรรมให้ทำป้าย นิเทศข้อความที่ตนไปอ่านและชื่นชอบ มาแลกกันอ่าน เหมือนการแลกเปลี่ยนความรู่ซึ่งกันและกัน นั่นเอง นอกจากนี้ มอบหมายให้อ่านหนังสือที่ตนเองชอบ อย่างน้อยคนละ1เล่ม อาจจะเป็นนวนิยาย เรื่องสั้น สารคดึ หรือ การ์ตูน แล้วสรุปเนื้อเรื่องโดยย่อของหนังสือที่ตนอ่าน ออกมาเล่าเรื่องย่อของหนังสือที่ตนอ่าน พร้อมทั้งบอกเหตุผลที่เลือก หนังสือเรื่องนั้น ๆ ได้ประโยชน์อะไรจากเรื่องที่อ่านบ้าง กิจกรรมต่าง ๆ ที่ยกตัวอย่างมานั้น เป็นกิจกรรมที่จัดให้นักเรียนทั้งที่ เรียนอยู่ ม.ต้นและม.ปลาย ผลที่ประเมินออกมา ก็ได้รับผลดีบ้าง เพราะการจะให้ได้ผลประโยชน์ที่สมบูรณ์จนได้รับ ฉายาว่า "หนอนหนังสือ" (รักการอ่าน) ตอนที่เด็กโตแล้ว เป็นสิ่งที่ค่อนข้างยากมาก เพราะการจะปลูกฝังนิสัยรักการอ่านนั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องปลูกฝังตั้งแต่เด็กเล็ก ๆ และที่สำคัญนั้น ต้องอาศัยความเอาใจใส่ของพ่อแม่ที่จะต้องพยายาม ให้เด็กสนใจการอ่านหนังสือมาแต่เล็กแต่น้อย อาจจะพาไปร้านหนังสือบ่อย ๆ ซื้อหนังสือการ์ตูน สนุก ๆ มีคติสอนใจ ให้ลูกได้อ่าน ได้สัมผัสสม่ำเสมอ ฉันคิดว่าจะเป็นแนวทาง หนึ่งที่จะปลูกฝังให้เด็กรักการอ่านติดนิสัยมาถึงตอนที่โตขึ้นก็ได้ ค่ะ สำหรับตัวของฉันเอง ก็ชอบอ่านหนังสือมาแต่เด็ก จำได้ว่า ตอนฉันยังเป็นวัยรุ่น ชอบอ่านนวนิยายมาก เก็บเงินได้แล้ว ก็จะไปแถวผ่านฟ้า ซึ่งมีร้านหนังสือนวนิยายให้ซื้อ มากมาย จำได้ว่า ครั้งหนึ่งซื้อจนเงินหมด ไม่มีตังค์ขึ้นรถเมล์กลับบ้าน ต้องเดินจากแถวผ่านฟ้าราชดำเนินกลับบ้าน ที่แถวถนนมหาพฤฒาราม สมัยนั้น ยังเป็นวัยรุ่น เดินทางแค่นั้นก็ไม่ได้ เหน็ดเหนื่อยอะไรมากนัก คุ้มค่ากับหนังสือที่เราชอบอ่าน การอ่านจะได้ประโยชน์มากยิ่งขึ้น จะต้องมีการจดเรื่องย่อหรือข้อความ ที่เราชื่นชอบด้วย เพื่อกันลืม และจะได้เก็บไว้ เป็นคลังความรู้ เป็นวัตถุดิบในการเขียนหนังสือของเราได้ในเวลาที่ เราจำเป็นต้องหาข้อมูลอีกด้วย ปัจจุบัน การอ่านหนังสือของฉันมีน้อยลงไปมาก ส่วนใหญ่จะอ่านจาก งานเขียนของเพื่อน ๆ ในบล็อกแก๊ง อ่านจากข้อความ ที่เพื่อนส่งให้ทางลายน์ ฟังข่าวคราวจากโทรทัศน์ เวลาก็หมดไปแล้ว อิอิ ตอนนี้ ตำแหน่ง ฉายา "หนอนหนังสือ" จึงเรียกไม่ได้เสียแล้ว แต่ก็ยังเห็นความสำคัญของการอ่านและอยาก เห็นเด็ก ๆ วัยรุ่น วัยผู้ใหญ่ มีนิสัยรักการอ่าน มากขึ้น อย่าได้ให้นักวิจัยบอกว่า "คนไทยอ่านหนังสือได้เพียงวันละ 8 บรรทัด" สวัสดี ค่ะ ขอบคุณภาพจากอินเทอร์เน็ค
ช่วงก่อนโควิทโรงเรียนหลานก็มีบันทึกการอ่านครับ ให้นักเรียนอ่านอะไรก็ได้ สรุปความแล้วบอกด้วยว่าจะนำไปใช้ยังไงได้บ้าง
โดย: ทนายอ้วน
  วันที่: 11 เมษายน 2564 เวลา:21:08:45 น.สวัสดีค่ะอาจารย์สุวิมล...
มาแบบเต็มไป แบบอาจารย์สอนลูกศิษย์เลยนะคะ ตามมาอ่านตะพาบด้วยคะ..สุดยอด  โดย: อ้อมแอ้ม (คนผ่านทางมาเจอ
 ) วันที่: 11 เมษายน 2564 เวลา:21:23:05 น.ได้ทราบที่มาของคำว่า "หนอนหนังสือ" จากบล็อกอาจารย์
ดีจังเลยครับ อ่านแล้วก็อยากเห็นโครงการส่งเสริมการอ่านเกิดขึ้นมากๆในโรงเรียน หรือสถานศึกษาทั่วประเทศเลยนะครับ สมัยหมิงเรียนที่โรงเรียนต้นกล้า ช่วงเช้าจะมีเวลาให้เด็กอ่านหนังสืออะไรก็ได้ 15 นาทีทุกวัน เป็นโครงการที่ดีมากๆเลยครับ  โดย: กะว่าก๋า
 วันที่: 11 เมษายน 2564 เวลา:21:47:54 น.สวัสดีครับอาจารย์
พออ่านบล็อกของอาจารย์แล้ว ทำให้นึกถึงสมัยก่อนเลยครับ ของผมมีอ่านหนังสือออกเสียงเหมือนกันครับ ตอนนั้นอ่านกันทั้งห้อง สนุกมากครับ โดย: The Kop Civil
 วันที่: 12 เมษายน 2564 เวลา:0:08:38 น.เชื่อเลยว่า ครูเป็นนักอัานหนังสือ.... อ่านแล้วเพลิน
โดย: ไวน์กับสายน้ำ
 วันที่: 12 เมษายน 2564 เวลา:6:03:59 น.คุ้นๆ ชื่อกับโครงการรักการอ่าน ตอนมัธยมผมรู้สึกว่ามันเหมือนบังคับมากไปหน่อย ประมาณว่าให้จบๆ ไป 5 นาที บางครั้งอ่านๆ อยู่ มันกำลังเพลิน หมดเวลา (เซ็ง)
โดย: คุณต่อ (toor36
 ) วันที่: 12 เมษายน 2564 เวลา:10:42:28 น.อจ.เริ่มต้นจากการสั่งสอนและมอบหมายจากโรงเรียน เนียกว่าเป็นหัวกะทิ เป็นระดับผู้นำ นับว่าเป็นหนอนหนังสือที่แท้จริง อีกทั้งยังส่งเสริมสนับสนุน ผลักดันให้เพื่อนๆเป็นหนอนหนังสือด้วย แฟ้มบุคคลขอปรบมือให้ ในวาระโอกาสวันขึ้นปีใหม่ไทย ขอกราบคารวะและรดน้ำขอพรปีใหม่ มา ณ บล็อกนี้ ด้วยความเคารพรัก ค่ะ  โดย: เริงฤดีนะ
 วันที่: 12 เมษายน 2564 เวลา:12:09:26 น.ขอบคุณสำหรับคะแนนโหวตครับอาจารย์
ไม่มีอะไรเที่ยงแท้เที่ยงทนจริงๆครับอาจารย์ อะไรที่ว่าแน่นอนก็อาจจะไม่แน่นอนได้ ดูอย่างโควิดก็ได้ครับ ตอนแรกคิดว่าน่าจะเริ่มต้นทำงานได้แล้วในเดือนนี้ พอเกิดระบาดอีกรอบก็จบข่าวเลยครับ โดย: กะว่าก๋า
วันที่: 12 เมษายน 2564 เวลา:21:20:09 น.กิจกรรมที่อาจารย์เคยจัด รักการอ่าน 5 นาที และกิจกรรมอื่น
เป็นกิจกรรมที่ดีจังค่ะที่ช่วยส่งเสริมการรักการอ่านให้นักเรียน บางครั้ง 5 นาทีแรกอาจเป็นการจุดประกายให้อ่านต่ออีกนานๆนะคะ ราตรีสวัสดิ์ค่ะอาจารย์ โดย: Sweet_pills
 วันที่: 13 เมษายน 2564 เวลา:0:06:04 น.สวัสดียามเช้าครับอาจารย์
สวัสดีวันปีใหม่ไทยครับ โหวตครับ โดย: Nior Heavens Five
วันที่: 13 เมษายน 2564 เวลา:8:07:32 น.สุขสันต์วันสงกรานต์ครับอาจารย์
วันนี้สิ่งภายนอกที่ผมเห็น คือเมืองเชียงใหม่เงียบมากครับ 555 ผมออกไปซื้อของกิน ร้านรวงต่างๆเงียบเหงาสุดๆ ที่จอดรถว่างเปล่า เป็นสงกรานต์อีกปี ที่เงียบ ซึม และ หน่ายเนือยจริงๆครับ โดย: กะว่าก๋า
วันที่: 13 เมษายน 2564 เวลา:19:54:40 น.ต๋าขอน้อมรับพรจากอาจารย์
และขอให้อาจารย์ได้รับพรนั้นกลับร้อยเท่าพันทวีค่ะ กราบสวัสดีปีใหม่ไทยค่ะอาจารย์ ขอบพระคุณอาจารย์สำหรับกำลังใจนะคะ  โดย: Sweet_pills
วันที่: 13 เมษายน 2564 เวลา:23:39:23 น.ขอบคุณสำหรับคะแนนโหวตครับอาจารย์
ผมเขียนบล้อกนี้ จากความรู้สึกของใครบางคนที่ผมรู้จักครับ เขาบอกว่าตัวเองโชคร้าย ทำอะไรก็ไม่ประสบความสำเร็จ หรือไม่มีใครหยิบยื่นโอกาสให้เลย แต่ผมคิดว่าสิ่งแรกที่เราต้องทำ คือทบทวนตัวเองให้ได้ และยอมรับความจริงให้ได้ก่อนเป็นอันดับแรก เปลี่ยนทัศนคติของตัวเอง ยังไงคนเราก็ต้องเจอหนทางใหม่ๆในชีวิตได้แน่นอนครับ โดย: กะว่าก๋า
วันที่: 14 เมษายน 2564 เวลา:11:34:36 น.สวัสดีวันปีใหม่ไทยค่ะ อาจารย์
ได้ความรู้จากอาจารย์เยอะเลย วันนี้โหวดหมดเป๋ามาใหม่พรุ่งนี้นะคะ โดย: ซองขาวเบอร์ 9
วันที่: 14 เมษายน 2564 เวลา:18:40:51 น.อาจารย์ก็่น่าจะเป็นหนอนหนังสือคนนึงเลยนะครับ
ตัวที่กินหนังสือน่าจะเป็นปลวก แต่เรียกว่าปลวกหนังสือ (Book Termite) ฟังดูไม่เท่เลยนะครับ 555 รักการอ่านแล้วยังต้องเลือกอ่านให้เป็นด้วยนะครับ หนังสือบางเล่มเสียดายเวลาชีวิตมาก สมัยเรียนครูมอบหมายให้อ่านหนังสือนอกเวลา ชอบงานที่ให้สรุปเนื้อหาที่อ่านได้เขียนเป็นรายงานส่ง บางเรื่องอ่านแล้วอิน เขียนได้ยาวเรื่อยเปื่อยมากครับ โดย: ชีริว
 วันที่: 14 เมษายน 2564 เวลา:21:07:45 น.ขอบคุณสำหรับคะแนนโหวตครับอาจารย์
ผมชอบคำว่า "ส่ายแส่" หรือ "แส่ส่าย" ครับ ใช้ในงานเขียนของผมบ่อยเลย คำอื่นๆ ไม่ค่อยได้ใช้ครับ เช่น คำว่า เสือก หรือเผือก ยังไม่เคยใช้ในงานเขียน ดูจะเป็นคำที่แรงไปครับ 555 โดย: กะว่าก๋า
วันที่: 15 เมษายน 2564 เวลา:18:14:05 น.ขอบคุณสำหรับคะแนนโหวตครับอาจารย์
ผมเชื่อในการสนทนาครับ ถ้าการพูดคุยนั้นเต็มไปด้วยเหตุผล และสติ ก็จะไม่ทะเลาะกัน แต่ส่วนใหญ่ที่คุยกันไม่ได้ เพราะจะเอาชนะ เอาถูกเอาผิดกันอย่างเดียว เลยนำไปสู่ความขัดแย้งที่แก้ไขไม่ได้สักทีครับ โดย: กะว่าก๋า
วันที่: 16 เมษายน 2564 เวลา:14:47:25 น.เป็นไดอารี่ที่อ่านเพลิน
และได้ความรู้ ได้ข้อึิด โดย: จากเพื่อนถึงเพื่อน
วันที่: 16 เมษายน 2564 เวลา:15:57:34 น. |
บทความทั้งหมด
|
||||||||||||||||||||
 |
|
ผู้ติดตามบล็อก : 46 คน [