ทำไมพระถึงขอบิณฑบาตร ไม่ทำงานทำการ นานๆทีจะได้ยินคนถามอย่างงี้บ้าง มีทั้งคนในศาสนาและนอกศาสนาถาม คนตอบจะคับข้องหมองใจไปก็เปล่าประโยชน์ ก็เพราะเค้าสงสัยอย่างงั้นก็เลยถามมาตรงๆ และก็ไม่ใช่คำถามที่ปรามาสพระศาสนาแต่อย่างใดนัก คำตอบง่ายๆคือ เพราะเป็นสถานะของเค้าอย่างงั้นเอง ความหมายของคำว่า ทำงานทำการ คืออะไร...? หมายถึงอะไรก็ตามที่ต้องหมดแรงไปเพื่อให้ได้ทรัพย์มาใช่หรือไม่ ก็ไม่ใช่ทั้งหมด เพราะยังมีกิจกรรมที่หมดแรงไปแล้วไม่ได้ทรัพย์ก็มี หมดแรงแล้วเสียทรัพย์ก็มี ส่วนการได้ทรัพย์นั้นมานั้น ไม่จำเป็นต้องเสียแรงก็ได้ เราทุกคนล้วนเคยได้กันมาแล้ว ถ้าไม่นับเอาจากบุญคุณอันยิ่งใหญ่จากบุพการี ก็ยังมีอีกมากมาย เช่นการได้จากเพื่อนฝูง ได้จากลูกน้อง ได้จากเจ้านาย ได้จากญาติมิตร ได้จากคนต่างบ้านต่างเมืองที่มาเยี่ยมเยือน หรือได้จากคนที่ศรัทธาเราเพราะเราประกอบกิจกรรมที่เป็นประโยชน์อยู่ ทรัพย์ประเภทนี้ผู้ให้จะมีเป้าหมายเป็นผู้รับตายตัว ไม่เหมือนทรัพย์ประเภทซื้อขายซึ่งผู้รับจะไม่ตายตัว แล้วแต่ใครมีเงินซื้อ เมื่อผู้ให้ประสงค์จะให้ และผู้รับประสงค์จะรับ ผู้ให้ยกของให้ผู้รับ องค์ประกอบของการได้ทรัพย์นั้นมาก็สมบูรณ์ เราไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิดแล้วไปกวาดบ้านหรือเกี่ยวข้าวหรือบีบนวดให้กับเค้า เพราะเค้ามีแรงบันดาลใจที่จะให้เราอยู่ก่อนแล้ว มาพูดถึงเรื่องพระ ความจริงแล้วธรรมเนียมการบิณฑบาตก็มีมาก่อนพุทธกาลเสียอีก มีมานับตั้งแต่มีนักบวชเกิดขึ้นบนโลก เมื่อมนุษย์เข้าสู่ยุคที่มีความเจริญทางจิตใจมากขึ้น มนุษย์บางกลุ่มพยายามออกบวชเพื่อแสวงหาทางออกที่เหนือมนุษย์ธรรมดา ชาวบ้านบางคนก็รู้สึกศรัทธา ช่วยส่งความสุขพื้นฐานของมนุษย์ด้วยข้าวปลาอาหารให้ เพราะท้องใส้ของนักบวชเหล่านั้นก็ยังเป็นท้องใส้ของมนุษย์อยู่ดี กระผมคาดว่าเริ่มแรกก็คงจะทำงานไปสลับกับการแสวงหาทางสุขที่เหนือมนุษย์นี้ไป แต่เมื่อมีชาวบ้านศรัทธามากๆนำอาหารส่งให้อิ่มไม่ขาดวัน ก็แปลสภาพเป็นนักบวชที่แสวงหาสุขโดยไม่ต้องทำงานโดยสมบูรณ์ ต่อมาจึงมีคนอื่นออกกระทำตามนั้นมากขึ้น(ซึ่งก็ต้องมีทั้งจริงและปลอมคละกันไป) ตามประวัติศาสตร์ว่าเริ่มแรกนักบวชเหล่านั้นนำเอาน้ำเต้าสะพายด้วยเชือกมาทำเป็นบาตร แล้วต่อมาจึงมีผู้ประดิษฐ์บาตรถวายให้ใช้โดยตรง การให้ข้าวปลาอาหารแก่นักบวชนี้ เพื่อให้เขาอิ่ม และเขามีแรงปฏิบัติหาสุขที่เหนือมนุษย์ ดูแล้วเหมือนจะไม่เกิดประโยชน์อะไรกับผู้ให้เลย นี่หละ คือการให้ที่ไม่หวังผลตอบแทน คือพัฒนาการทางจิตใจขั้นสำคัญของมนุษย์เชียวหละ ส่วนการให้แล้วหวังผลบุญ ความสูงทางจิตใจจะยังไม่เท่าการให้ที่ไม่หวังผลตอบแทน ซึ่งข้อเสียเล็กๆของการให้ประเภทหวังผลบุญนั้น อาจจะให้ในสิ่งที่นักบวชนั้นมีอยู่แล้ว เกินความจำเป็น แม้ได้เพิ่มก็ไม่เกิดประโยชน์แก่นักบวช เพราะผู้ให้นั้นหวังประโยชน์แก่ตัวเองมากกว่า (ลองสำรวจตัวเองดูน่ะครับ) อย่างไรก็ดี ในโลกนี้ย่อมมีทั้งคนที่เห็นด้วยกับการให้บิณฑบาต ซึ่งก็ไม่ใช่หน้าที่อะไรของนักบวชที่จะต้องนำบาตรไปหาคนที่ไม่เห็นด้วย เพราะหากอยากจะอิ่ม ก็ต้องไปหาคนที่เขาอยากจะให้ ซึ่งก็ไม่ผิดอะไร เหมือนเราอยากซื้อของอะไร เราย่อมไปร้านขายของนั้นเป็นธรรมดา แต่ก็มีในบางกรณี ที่พระพุทธเจ้าอยากจะโปรดผู้ที่ไม่เห็นด้วยนี้ เนื่องจากเขาเป็นมิจฉาทิฐิ พระพุทธเจ้าไปยืนถือบาตรหน้าบ้านของเขาเป็นเวลานาน แล้วค่อยเสด็จไป แต่ก็น่าจะจะมีผลต่อการกัดกร่อนจิตใจของเค้าได้ในระดับหนึ่ง ที่เดินบาตรนั่นแหละส่วนหนึ่งในอาชีพของพระ
เพราะถือเป็นการแผ่เมตตาแก่ผู้ใส่บาตรและไม่ใส่ ไปด้วย ไม่ใช่ไปเพียงเพื่อหวังหาอาหารรึลาภยศ หากไม่เข้าใจก็ใ้ห้ลองไปบวชดู แล้วเขาจะรู้เอง แง่บๆ Ps;) แสดงว่าคนถามนับถือศาสนาที่ไม่มีนักบวช แหงมๆ จึงเป็นเรื่องยากเกินที่ปัญญาของพวกเขาจะไปถึง โดย: itoursab
วันที่: 21 ธันวาคม 2552 เวลา:21:29:49 น.สาธุ.....โดยส่วนตัวเป็นคนชอบทำบุญค่ะ..ว่างไม่ค่อยได้
ต้องชวนแฟนไปทำบุญเรื่อยๆๆตามสถานที่และโอกาสต่างๆ แต่เรื่องให้ตื่นมาใส่บาตรตอนเช้า...ทุกวันนี้ลุกไม่ไหวนะค่ะ..ก็ไม่ได้ใส่บาตรตอนเช้านานมากแล้ว... หยุดหลายวัน(หยุดปีไหม่)คงต้องลุกขึ้นใส่บาตรสักวัน ขอบคุณสำหรับความรู้ดีๆๆ โดย: aom IP: 124.120.150.31 วันที่: 22 ธันวาคม 2552 เวลา:16:42:39 น.
การได้บิณฑบาต บางทีไม่จำเป็นต้องเดินน่ะ เค้าเอาของอุปโภคบริโภคมาให้ถึงที่อยู่ก็ได้
แต่สาเหตุที่ต้องเดิน กระผมมาคิดว่า การเป็นผู้รับนี้ น่าจะเป็นฝ่ายออกแรงมากกว่า ![]() แต่ยังไง การบิณฑบาตก็ไม่ใช่การง้อน่ะ ภิกษุที่ง้อ ประจบประแจง ถวายตัวให้เค้าใช้ ต้องอาบัติสังฆาฑิเสส (อาบัติอย่างกลาง) ครับ โดย: สมภพ เจ้าเก่า
วันที่: 22 ธันวาคม 2552 เวลา:16:47:02 น.การบิณฑบาต เป็นกิจของสงฆ์ เป็นการโปรดสัตว์
พระที่บวชล้วนเป็นศิษย์ไม่มีครู ผู้เป็นพระคือผู้บวชจิต ถ้าจิตไม่บวชก็ไม่ใช่พระ พระเป้นผู้มีอาชีพทำจิตตนให้พ้นทุกข์ให้ได้จริง ก่อนออกบิณฑบาตรเพื่อรับอาหารต่อชีวิต ผู้บวชเพื่อความพ้นทุกข์ได้จริงตามพระพุทธเจ้าทรงสอน จะทรงจิตสูงสุดเพื่อความพ้นทุกข์ตามที่ตนปฏิบัติได้ แล้วจึงออกไปรับอาหาร ผู้ที่ได้ใส่บาตร ก็จะได้รับอานิสงเต็มที่ เป็นการสงเคราะห์สัตว์โลก จึงเรียกได้ว่าเป็นการโปรดสัตว์ โดย: ชาวบ้าน IP: 124.120.129.158 วันที่: 8 มกราคม 2553 เวลา:19:26:28 น.
llkihr4hnj
โดย: kiggtkku7 IP: 180.183.245.211 วันที่: 30 มกราคม 2553 เวลา:16:10:26 น.
การที่ท่านออกบิณฑบาตรอย่างนี้ ก็ดีแล้ว เพราะท่านจะได้แผ่เมตตาธรรมออกมาสู่ มวลมนุษย์บ้าง จะได้เปิดโอกาสให้เราได้ทำดี และตัวของท่านเองจะได้ดูแลรักษาพระพุทธศาสนาสืบไป
โดย: ซูซู IP: 114.128.249.25 วันที่: 15 มิถุนายน 2553 เวลา:20:39:20 น.
ดีใจนะคะ ที่คุณสนใจพุทธศาสนา น้อยคนที่เป้นเหมือนคุณค่ะ เพือ่นใหม่ค่ะ Mu.p@hotmail.comค่ะ
โดย: mu IP: 119.42.82.94 วันที่: 27 สิงหาคม 2553 เวลา:23:44:14 น.
การออกบิณฑบาตรนั้นให้คนทำบุญเป็นแค่ส่วนหนึ่ง แต่จริงๆน่าจะเป็นการฝึกจิตใจ ไม่ยึดติดกับเกียรติเเละศักดิ์ศรี ความทะนงตน หรือการยึดติดตัวตนนั้นเองคือการฝึกเบื้องต้นก่อนการฝึกที่สูงกว่านั้น ถ้าเทียบกับขอทานคือลดเกียรติต่ำสุด แต่ข้อแตกต่างของพระกับขอทาน คือ พระทำเพื่อให้หลุดพ้นกิเลส การยึดมั่ถือมั่นเพื่อตรัสรู้เหมือนพระพุทธเจ้า แต่ขอทานเพื่อความอยู่รอด
โดย: คนจร IP: 113.53.226.88 วันที่: 19 มิถุนายน 2558 เวลา:11:40:13 น.
|
BlogGang Popular Award#21
![]() สมภพ เจ้าเก่า
ผู้ติดตามบล็อก : 26 คน [?]บทความทั้งหมด
|





ผู้ติดตามบล็อก : 26 คน [
ขอให้มีความสุขนะคะ
ขอให้มีโชคหมดทุกข์โศกโรคภัย
พ้นเคราะห์ที่เลวร้าย พันภัยด้วยเทอญ