คือสัญญา
เสียงวิ่งลงบันไดโครมคราม ทำให้สองหนุ่มที่นั่งอยู่โซฟายาวชั้นล่างต้องแหงนคอมอง

“พี่ปราม!”

เสียงเด็กสาวตะโกนเรียกพี่ชายด้วยความดีใจดังตามมาพร้อมกันกับเสียงฝีเท้า

“พี่…ปรา…ม…ม”
เธอเบาเสียงลงเมื่อเห็นปฏิการเพื่อนหนุ่มของพี่ชายนั่งอยู่ข้าง ๆ ใบหน้าร่าเริงของสาวน้อยหุบลงทันที

“มีอะไรปริม! แหกปากซะลั่นบ้านเลย” ปรามดุน้องสาว

“ไม่มีค่ะ!”

เธอกระแทกเสียงอย่างอารมณ์เสีย หมดอารมณ์ที่จะบอกเล่าเรื่องราวที่อยากบอกพี่ชาย เมื่อเห็นหน้าเพื่อนพี่ชาย แถมกลับรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาทันที ปริมเฉิดหน้า คอตั้งเดินลงบันได เดินซวบ ๆ ออกจากประตูไป

“เบื่อจริ๊ง….อีกตานี้มาอีกแล้ว” เธอบ่นเมื่อก้าวออกมาพ้นประตู
“เฮอะ! ทำเป็นศิลปินไว้ผมยาว ใส่ต่างหูข้างเดียว เกลียดจริง ๆ เลย เชอะ! ทำเป็นเท่…โธ่!! หล่อตายเลย หมั่นไส้!” ปริมเตะต้นหญ้าหน้าบ้านอย่างเคือง ๆ เธอไม่ชอบขี้หน้าเพื่อนพี่ชายคนนี้เอาเสียเลย
“ของอีตานั่นแน่” สายตาเหลือบไปเห็นรองเท้าผ้าใบเก่า ๆ คู่หนึ่งวางอยู่
“ฮื่ม! ต้องหาเรื่องแกล้งอีก จะได้เลิกมาเสียที เบื่อขี้หน้าชะมัด พี่ปรามไม่เป็นอันทำอะไรพอดี มาอยู่ได้! บางทีก็มานั่งเศร้า ๆ ซึม ๆ พี่ปรามละก้อ…อดทนจั๊ง…ปลอบได้ปลอบดี แล้วไง ไม่เห็นหมอนั่นดีขึ้นเลย เหมือนเดิม หนักกว่าเดิมสิไม่ว่า” ปริมบ่นกระปอดกระแปดอยู่คนเดียว คายหมากฝรั่งที่เคี้ยวไว้นานแล้ว ยัดใส่รองเท้าของอีกตาผมยาว
“เอาแค่เบาะ ๆ ละกันวันนี้” เธอตบไม้ตบมือเปาะแปะ เป็นอันเสร็จกระบวนการ นึกถึงภาพอีตาศิลปินผมยาวใส่รองเท้าแล้วดึงออกมา ปริมก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะคิกคักอย่างสะใจ คลายความโมโหเขาไปได้บ้าง

วันต่อมาหนุ่มผมยาวก็ยังมาที่บ้านปรามอย่างเคย เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ขณะเดินเข้าบ้านเขาสวนกับปริม
“ไง! เมื่อวานคงสนุกมากล่ะสิ!” เขานึกโกรธเธออยู่เหมือนกันที่แอบเอาหมากฝรั่งมายัดใส่รองเท้าของเขาเมื่อวานนี้
ปริมยักไหล่ “นายยังไม่เข็ดที่จะมาที่นี่อีกหรือไง ระวังตัวให้ดีละกัน นายจะเจอดีกว่านี้อีก” พูดจบก็สะบัดหน้าเดินจากไป ราวกับคู่แค้นที่ไม่มีวันญาติดีกันได้

เขาส่ายหัว พร้อมกับถอนหายใจช้า ๆ ไม่ใช่ครั้งแรกที่เจอปริมแกล้ง และไม่ใช่ครั้งเดียวที่เธอพูดจาไม่เป็นมิตรเอาเสียเลยแบบนี้ แต่เขาก็ยังอยากมาที่นี่ มันคงดีกว่าการทนอยู่บ้าน บ้านที่ไม่เคยเป็นบ้าน ไม่เคยเป็นครอบครัวที่อบอุ่น ยังไงที่นี่ก็ยังมีปราม เพื่อนที่คอยให้กำลังใจเขาตลอดมา แม้น้องสาวตัวแสบจะดูไม่ชอบขี้หน้าเขานัก แต่เขาไม่แคร์ และไม่เคยใส่ใจ บางทีมันอาจทำให้ชีวิตเงียบเหงา ซังกะตายของเขามีสีสันขึ้นมาบ้าง เขาไม่เคยบอกปรามสักครั้งเรื่องปริมคอยแกล้งเขาต่าง ๆ นา ๆ เพราะไม่อยากให้เธอโดนดุ และมันก็คงทำให้เธอเกลียดขี้หน้าเขามากขึ้น หากเขาจะทำตัวเป็นคนช่างฟ้องเช่นนั้น


หลายวันต่อมา….

หลังจากที่หนุ่มผมยาวกลับไปแล้ว ปริมถูกเรียกมาสอบสวน และถูกต่อว่าจากพี่ชายอย่างหนัก
“ปริม! เธอแกล้งเอาหมามุ่ยไปใส่รองเท้าปฏิการใช่มั้ย!”

“ใช่ค่ะ!” ปริมตอบชัดถ้อยชัดคำหนักแน่น

“เขาฟ้องพี่ล่ะสิ!” เธอยังอดที่จะเหน็บแนมเขาไม่ได้

“เขาไม่ต้องบอกพี่ก็รู้ แม้เขาจะห้ามพี่ด้วยซ้ำว่าไม่ให้ดุเธอ แต่มันเกินไป พี่ต้องทำโทษเธอ ฐานทำให้คนอื่นเขาเดือดร้อน พี่จะหักค่าขนมเธอออกครึ่งหนึ่ง!”
“พี่ปราม! แล้วพี่ไม่เดือดร้อนหรือคะ ที่ต้องคอยดูแล คอยปลอบใจนายนั่น! ปริมไม่เห็นเขาจะดีขึ้นเลย บางทียังเมาแอ๋ให้พี่แบกพาไปส่งบ้าน เขามีอะไรดีคะ พี่ถึงห่วงใยเขานักหนา” ปริมนึกระอาคนที่ใช้เหล้าดับทุกข์เหลือเกิน มีแต่คนหลอกตัวเอง ไม่กล้ายอมรับความจริงเท่านั้นที่ใช้วิธีนี้

“เพราะเขาเป็นเพื่อนพี่ไงล่ะ พี่เคยเล่าเรื่องครอบครัวปฏิการให้ฟังแล้วนี่ ปริมยังไม่เข้าใจอีกเหรอ มันต้องใช้เวลาหน่อยปริม เข้าใจไหม” ปรามพยายามอธิบายให้ปริมเข้าใจอย่างใจเย็น

“ไม่เข้าใจค่ะ! ปริมไม่เข้าใจ!” ปริมกระแทกเสียงแล้ววิ่งตึงตังขึ้นบันไดไป

ปรามถอนหายใจหนัก ๆ ในความดื้อรั้นของน้องสาว สายตายังมองตามร่างสาวน้อยที่หายลับขึ้นไปชั้นบน
“ปริมคงไม่รู้หรอก ตอนที่พ่อกับแม่แยกทางกัน พี่รู้สึกยังไง พี่ต้องเข้มแข็ง พี่ต้องคอยปลอบเธอ และปลอบหัวใจตัวเอง พี่อยากมีใครคอยปลอบใจ คอยให้กำลังใจ แต่พี่ไม่มี ปฏิการเขาก็เหมือนกัน พี่เข้าใจความรู้สึกของเขา พี่จะต้องช่วยเขา” เขาละสายตามามองรูปถ่ายคู่กันของพ่อกับแม่ที่แขวนอยู่ที่ฝาผนัง มันคงเป็นแค่อดีตที่เคยอยู่ร่วมกันเท่านั้น

“สักวัน…ปริมจะเข้าใจ”


===============

ปฏิการหายหน้าไปหลายวัน เนื่องจากแพ้หมามุ่ยเอามาก ๆ แต่เขาก็ยังไม่เข็ดที่จะมาที่นี่อีก และวันนี้เขาตั้งใจจะสะสางหนี้แค้นกับปริมเสียที

“อย่าให้เจอนะปริม! คราวนี้ฉันจัดการเธอแน่! เด็กอะไร้! แกล้งได้แกล้งดี” ชายหนุ่มคำรามอยู่ในลำคอ ตีสีหน้าเครียดจัด ขณะเดินเข้าอาณาเขตสวนผลไม้บ้านของคนที่เขาจะมาแก้แค้น กวาดสายตาไปทั่วบริเวณ และแล้วสายตาของเขาก็ปราดไปพบคู่แค้นคนละสายโลหิต ปริมกำลังนั่งร้องเพลงอย่างสบายอารมณ์อยู่ที่แคร่ใต้ต้นมะม่วงหน้าบ้าน ปฏิการลอบเดินไปหาทางข้างหลังอย่างเงียบกริบ แล้วคว้าต้นแขนของคู่อริเอาไว้

ปริมสะดุ้งเฮือก!!

หันขวับมามองด้วยสายตาตกใจ

“โอ๊ย! ปล่อยนะ เจ็บ……บ”

มือแข็งแรงของคนหนุ่มบีบแขนเล็ก ๆ ของเธอไว้แน่นจนรู้สึกเจ็บ

เธอพยายามยื้อแขนตัวเองออกมา ทั้งสะบัดทั้งดึงแขนจนสุดแรง แต่ไม่อาจต้านทานแรงของชายหนุ่ม

“เจ็บหรอ! ก็รู้ไว้ซะบ้างว่า คนอื่นเขาก็เจ็บเป็นเหมือนกัน เที่ยวแกล้งฉันดีนัก!”

ปริมจ้องหน้าเขาเขม็ง “นายจะรักแกเด็ก รังแกคนอ่อนแอกว่า ไม่อายเขารึไง”

ปฏิการหัวเราะ

“ฮึ! เธอเหรอเด็ก อายุ 20 แล้วมิใช่รึ! บรรลุนิติภาวะแล้ว ถึงเธอจะเป็นน้องฉันตั้ง 3-4 ปีก็เถอะ วันนี้ฉันขอจับเธอตีก้นซะให้เข็ด จะได้หลาบจำเสียบ้าง” เขายังพูดไม่ทันจบ ปริมเอาตัวเองกระแทกเขาสุดแรงเกิด จนชายหนุ่มเซล้มลงอย่างไม่ทันตั้งตัว แล้วรีบวิ่งหนีเข้าไปในสวนผลไม้ทันที

ปฏิการลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว
“อย่าหนีนะ! ยัยเด็กบ้า!” เขาวิ่งตามอย่างไม่ลดละ

ตอนที่ 2

“แบล่…!!”

ปริมหันมาแลบลิ้นปริ้นตาใส่
“ใครจะหยุดให้โง่ล่ะ”

วิ่งไปพลางคว้าลูกผลไม้อะไรได้ ทั้งขว้างทั้งปาใส่คนวิ่งตามมาเป็นพัลวัน นึกสงสัยขึ้นมาในใจว่าคนวิ่งตามกับคนวิ่งหนีใครจะเหน็ดเหนื่อยกว่ากันนะ!

ปฏิการวิ่งไป หลบไป แต่ก็ยังไม่วายโดนลูกอะไรต่อมิอะไรถ้าหลบไม่ทัน
“ยัยลิงทะโมนเอ๊ย…!! อย่าให้จับได้นะ!! น่าดูแน่!!” เขาตะโกนใส่อย่างหัวเสีย ก่อนกระโดดข้ามคูน้ำเล็ก ๆ วิ่งกรวดตามไปติด ๆ

แม้ว่าปริมจะเป็นเด็กซุกซนคล่องแคล่ว ชินกับหนทางในสวนผลไม้ของตัวเองเป็นอย่างดี แต่ตอนนี้เธอเริ่มรู้สึกเหนื่อย หายใจเอาอากาศเข้าปอดถี่ขึ้น ๆ วิ่งไปพลางหันไปดูคนวิ่งตามมาเป็นระยะ ๆ เห็นเขาวิ่งตามใกล้เข้ามาทุกที ใจยิ่งเสียขวัญเข้าไปอีก

“ไอ้บ้าเอ๊ย!! จะตามไปถึงไหนวะ เหนื่อยจะตายอยู่แล้ว ไม่เลิกลาเสียที ไม่เหนื่อยหรือไงนะ” ปริมบ่นอยู่ในใจ หันกลับไปมองคนวิ่งกรวดตามมาอีกครั้ง จังหวะนั้นเองเธอสะดุดรากของต้นไม้เสียหลักล้มลงกระแทกพื้นดินอย่างแรง เจ็บก็เจ็บ แต่กัดฟันรีบลุกขึ้นอย่างว่องไว แข็งใจวิ่งต่อไป

ร่างสันทัดของชายหนุ่มเร่งฝีเท้าตามมาติด ๆ เขาไม่ใช่คนสูงจนแขนขายาวเก้งก้าง ประกอบกับเป็นนักวิ่งมาก่อน จึงคล่องแคล่วว่องไวไม่แพ้เธอเช่นกัน ที่สำคัญเขามีความอึด มีความอดทนและความพยายามสูง ในที่สุดเขาก็ไล่ตามเธอทันจนได้ มืออันแข็งแรงคว้าร่างเล็ก ๆ ไว้ในอ้อมแขน ปริมพยายามขัดขืน แต่ยิ่งดื้อดึงก็ยิ่งถูกแขนของเขากอดรัดเอาไว้แน่นขึ้น

“ให้ฉันตีซะดี ๆ ยับตัวแสบ!!” พูดพลางหายใจหอบอย่างเหน็ดเหนื่อย

“ปล่อยฉัน…ปล่อย…!! พี่ปรามดีกับนายแค่ไหน นายถึงได้รังแกน้องสาวของเขาได้ลงคอ”
“แล้วเธอแกล้งฉันมากี่ครั้ง ฉันยังไม่เคยเอาผิดกับเธอเลย ต่อไปจะแกล้งฉันอีกมั้ย!” เขาคว้าไม้ฟาดเธอไปหลายที

“โอ๊ย! ไม่แล้ว…ไม่แกล้งแล้ว ปล่อย…ย! ฉัน…เจ็บนะ!!” เธอกระโดดเหยง ๆ หลบไม้เรียวของเขาเป็นพัลวัล

“สัญญา!”

“ฉันสัญญา”

เมื่อเขาคลายวงแขน ปริมรีบผละออกมาทันที

“อย่าเพิ่งไป!” เขาคว้าข้อมือเธอไว้

“มีอะไรอีก! ยังไม่พอใจอีกหรือไง” เธอจ้องเขาอย่างเคืองแค้น เจ็บทั้งตัวเจ็บทั้งใจ เกิดมายังไม่เคยโดนใครกล้าเอาไม้ตีเธออย่างนี้เลย

“ตลอดมา…ฉันทำอะไรให้เธอ เธอถึงได้เกลียดขี้หน้าฉันนัก” เขายิงคำถามที่ค้างคาใจมาแสนนาน

“ฉันเกลียดนาย เกลียดผู้ชายอย่างนาย” ความไม่ชอบเขามาแต่เดิมบวกกับความโกรธทำให้เธอเกลียดเขามากขึ้นเป็นทวีคูณ

“เกลียดผู้ชายไว้ผมยาวรุงรัง ใส่ต่างหูข้างเดียว ทำเป็นเท่…โธ่เอ๊ย! ที่แท้ นายก็แค่คนอ่อนแอคนหนึ่ง”

“เธอคงไม่รู้ว่าฉันมีปัญหามากมายแค่ไหน” เสียงเขาแผ่วเบาอย่างรันทดเมื่อนึกถึงปัญหาครอบครัวของตัวเอง

“มีแน่ล่ะ ก็เพราะนายทำตัวเองให้มีปัญหา เรื่องครอบครัวนาย ทำไมฉันจะไม่รู้”

“ปรามบอกเธอ…”

“ใช่! พี่ปรามอยากให้ฉันเข้าใจนาย แต่ฟังแล้ว ขอโทษ! สมเพช! รู้มั้ยว่านายน่ะ กำลังทำตัวเองให้มีปัญหา นายกำลังเป็นโรคที่เขาฮิตกัน”

“โรคอะไร!”

“โรคครอบครัวมีปัญหา แล้วตัวเองก็ต้องมีปัญหาตามไปด้วยน่ะสิ”

ปริมพยายามดึงข้อมือตัวเองออกจากมือคนหนุ่ม

“บอกมาให้หมด” เขาไม่ยอมปล่อยมือ “ฉันจะไม่ทำอะไรเธอ จะรับฟัง พูดมาเลย”

“นายก็โตแล้วนะ อายุ 24-25 แล้ว เป็นผู้ใหญ่แล้ว ยังไม่รู้จักคิดอีกเรอะ! ว่าควรทำตัวยังไง ทำไมล่ะ! ต้องไปพึ่งพาเหล้าบุหรี่ มันได้อะไรขึ้นมา แย่กว่าเดิมสิไม่ว่า มันล้าสมัย หมดสมัยแล้วที่จะทำตัวแบบนั้น นายกำลังทำสังคมให้วุ่นวายกว่าเดิม ทั้ง ๆ ที่มันก็มีปัญหามากมายอยู่แล้ว”

ปฏิการยืนนิ่งฟังคนตรงหน้าวิภาควิจารณ์พฤติกรรมของตัวเอง

“พี่ปรามก็ทนให้กำลังใจคนอ่อนแอ คนไม่ยอมรับความจริง คนไม่สู้ปัญหาอย่างนายอยู่ได้! ยังมีคนอื่น ๆ ที่เขาโชคร้ายกว่านาย ทำไมไม่คิดว่า นายโชคดีกว่าเขาขนาดไหน มัวแต่เป็นไอ้ขี้เหล้าเมายา เป็นโรคซึมเซาเหงาหงอยอยู่ได้ เปิดชีวิตใหม่ให้กับตัวเองสิ! เมื่อครอบครัวไม่อาจสร้างให้เราดีได้ เราจงสร้างตัวเองให้ดี อย่าให้ใครตราหน้าได้ว่า เราคือหนึ่งในปัญหาของสังคม เห็นชีวิตนายเป็นแบบนี้แล้วก็สงสารพี่ปราม นายยังทำตัวแย่ ๆ เหมือนเดิม!!” จบประโยคนั้นปริมรีบก้าวซวบ ๆ จากไป หวั่น ๆ อยู่ในใจเหมือนกันว่า พูดรุนแรงไปหรือเปล่า แต่ก็ช่างเถอะ เขาฟังคนปลอบใจมามากแล้ว เจอแรง ๆ ซะบ้าง เขาอาจจะคิดอะไร ๆ ออกบ้าง

ปฏิการยืนงงต่อคำสาธยายยาวเฟื้อยของปริม นี่เขาทำตัวเลวร้ายขนาดนั้นเชียวหรือ คำพูดของเธอแต่ละประโยค ทำให้เขาต้องสะดุดกับพฤติกรรมของตัวเอง เขานึกทบทวนเรื่องราวของตัวเอง ตลอดเวลาที่ผ่านมา เขาเอาเรื่องครอบครัวมากลุ้มอยู่ในหัวเสมอ นอกจากเขาจะเป็นกำลังใจให้คนในบ้านไม่ได้แล้ว เขายังกลับเป็นตัวสร้างแรงกดดันให้ครอบครัวบานปลายหนักหนายิ่งขึ้น โดยเฉพาะพักหลังพ่อแม่ทะเลาะกันอย่างรุนแรง และแยกทางกันไปในที่สุด เขารู้สึกว่า ชีวิตเคว้างคว้างไร้จุดหมาย ไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใคร การเรียนของเขาแย่ลงจนต้องด็อปไว้ก่อน ทำให้เขาจบช้า ทั้ง ๆ ที่เพื่อนรุ่นเดียวกันต่างจบไปหมดแล้ว เขาเลิกสนใจตัวเอง พึ่งแต่เหล้า บุหรี่

ตอนนี้สิ่งที่เขารู้สึกเสียใจที่สุด เขาคงทำให้ปรามลำบากมาตลอด

แล้วเขาจะทำมันต่อไปอย่างเดิม หรือจะทำอย่างไรต่อไปกับชีวิตของตัวเอง มันทำให้เขาต้องคิด คิด คิด และคิด

==============

เย็นวันต่อมา ปฏิการยืนดักรอปริมที่หน้ามหาวิทยาลัย
“ปริม…สวัสดีครับ ขอกลับบ้านด้วยคนได้ไหม” เขารีบจ้ำเข้าไปหาเมื่อเห็นเธอเดินมา

ปริมขมวดคิ้วอย่างงง ๆ “ถ้าฉันจะบอกนายว่าไม่ได้ล่ะ” เธอตอบเสียงแข็ง ยังนึกโกรธเขาไม่หายเรื่องเมื่อวานนี้ ขณะเดียวกันก็รู้สึกสับสน นี่เขาจะมาไม้ไหนแน่ เขาไม่โกรธที่เธอต่อว่าเขาไปมากมายหรือ

“ทำไม! ฉันน่ารังเกียจนักหรือไง” อารมณ์เริ่มคุกรุ่นขึ้นมาทันที

“ใช่ !! ในสายตาฉัน ถ้านายยังทำตัวไร้สาระแบบเดิม โดยเฉพาะผมรุงรัง ต่างหูข้างเดียวของนาย มันเกะกะตาฉัน รู้ไว้ด้วย เห็นแล้วมันหงุดหงิด” เธอกระแทกเสียงดังใส่เขา แล้วรีบเดินหนี

ปฏิการรีบเดินตาม เขาผ่อนลมหายใจออกเบา ๆ เพื่อคลายอารมณ์เครียด และพยายามจะไม่ใช้อารมณ์พูดกับเธอ
“เธอพิจารณาจากรูปภายนอกเท่านั้นหรือไง”

“ใช่! สำหรับฉัน!” ปริมเน้นเสียงชัดถ้อยชัดคำ พร้อมกับสาวเท้าเร็วขึ้น

ความคิดหนึ่งแวบเข้ามาในสมองของเขา และปากก็ไวพอที่จะถามออกไปทันที
“ถ้าฉันอยากเป็นเพื่อนกับเธอล่ะ ต้องทำยังไง” เขาเร่งฝีเท้าตามไปติด ๆ

“เป็นเพื่อนกับฉัน!!”

ปริมหยุดเดินอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง พร้อมกับหันมามอง แล้วระเบิดเสียงหัวเราะราวกับเป็นเรื่องน่าขำ เหมือนกับไม่มีทางเป็นไปได้ “อย่างแรกนะ นายต้องตัดผมลุ่มล่ามของนายออกก่อน” ปริมเหลือบมองผมตรงยาวดำสนิทของเขาที่รวบไว้อยู่ทางด้านหลัง
“แล้วก็ต่างหูนั่น อย่างต่อไป นายต้องตั้งใจเรียน เรียนให้ดีขึ้น เลิกเหล้า บุหรี่ สิ่งโสมมทั้งหลายอย่างเด็ดขาด! ทำชีวิตให้มีคุณค่ากว่านี้”

“ไม่มากไปหน่อยหรอปริม เท่ากับให้ฉันเปลี่ยนชีวิตทั้งชีวิตเชียวนะ” เขาแทบเข่าอ่อนเมื่อฟังข้อแม้ของเธอแต่ละข้อ มันช่างตรงกันข้ามกับชีวิตของเขาขณะนี้โดยสิ้นเชิง

“ฉันก็ไม่คิดว่า อย่างนายจะทำได้หรอกนะ น้ำหน้าอย่างนายหรือ…” ปริมหัวเราะเย้ย
“เอาเป็นว่า ถ้านายทำได้ อย่าว่าแต่เป็นเพื่อนเลยนะ ต่อให้เป็นแฟนก็ยังได้ จะแถมหอมแก้มนายให้อีกทีก็ยังไหว” ปริมพูดออกไปอย่างคึกคะนอกปาก

“พูดจริงหรือเปล่าปริม” เขารู้สึกเกิดแรงฮึดขึ้นมาอย่างประหลาด

“แน่นอน! ถ้านายทำได้”

“งั้นเธอจำคำพูดของตัวเองในวันนี้ให้ดี ฉันถือว่า คำพูดของเธอ คือสัญญา ระหว่างเราแล้วนะ” เขามองปริมด้วยสายตามุ่งมั่น

สายตานั้นทำให้ปริมรู้สึกใจหาย นี่! เธอพูดอะไรออกไป เงาของความกลัวเยื้องกรายเข้ามาเกาะกุมจิตใจ ถ้าเขาทำได้ขึ้นมา! โอย…ตายแน่ ๆ ถ้ามีอีตานี่เป็นแฟน ปริมชักกลุ้ม ๆ ขึ้นมาตะหงิด ๆ


ตอนที่ 3

ปฏิการหายหน้าหายตาไปหลายวัน นาน ๆ เขาจะโผล่มาที และดูสดใสร่าเริงขึ้น ไม่เศร้าซึมเหมือนแต่ก่อน เจอปริมทีไร ก็คอยแต่ทวงสัญญา คำที่เธอพลั้งปากพูดออกไปจนต้องคอยหลบหน้าเมื่อเขามาที่บ้าน ทุกครั้งที่เขารู้สึกท้อใจกับการเปลี่ยนแปลงตัวเอง จะต้องรีบพาตัวเองมาดักเจอเจ้าของคำสัญญา แกล้งเดินตามเธอ คอยติดตามเธอไปทุกที่ คอยกวนประสาทเธอ ได้แกล้งเธอแล้วรู้สึกมีความสุข เวลาได้อยู่ใกล้ ๆ เธอเหมือนมีพลังพิเศษ มีกำลังใจที่จะสู้ขึ้นมาอย่างประหลาด

เวลาผ่านไปราวหนึ่งปีเต็ม การเปลี่ยนแปลงตัวเองสำหรับเขา ช่างยากเย็นเสียเหลือเกิน เพราะเขาเคยชินต่อการกระทำเดิม ๆ มาเนิ่นนาน เมื่อต้องปรับเปลี่ยนมันจึงไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ อย่างที่คิด แต่เขาไม่เคยละความพยายาม เขาจะต้องลบคำสบประมาทของปริมให้ได้! นึกขอบคุณปริมเสมอที่ทำให้เขาได้คิด หูตาสว่างขึ้น และเปลี่ยนตัวเองได้ถึงเพียงนี้

================

ปรามย่องมาทางข้างหลังอย่างเบาเมื่อมองเห็นน้องสาว ทำท่าทางลับ ๆ ล่อ ๆ เหมือนกำลังแอบใครบางคนอยู่ทางหลังบ้านข้างดงต้นกล้วย

“จ๊ะเอ๋!!” เขาเขย่าแขนน้องสาว

เด็กสาวสะดุ้งสุดตัว ราวกับหัวใจตกหายไปอยู่ที่ตาตุ่มก็ไม่ปาน
“พี่ปรามอ่ะ!! ตกใจหมดเลย มาก็ไม่บอก”

“ก็เราทำอะไรอยู่ ทำไมต้องแอบซ่อนตัวขนาดนั้น หลบไอ้การอยู่หรือไง”
“เบา ๆ สิ แล้วเขาไปรึยังล่ะพี่ปราม” พลางเอามือจุปากพลางทำเสียงกระซิบกระซาบ
“ยัง โน่นไง”

เด็กสาวยังไม่ทันหันไปมองว่าจริงหรือเปล่า รีบเดินหลบไปทางอื่นทันที แต่ทว่าถูกพี่ชายล็อคตัวเอาไว้
“เดี๋ยวปริม พี่ล้อเล่น เขากลับไปแล้วล่ะ แล้วทำไมต้องหนีเขาขนาดนี้”

“ก็ไม่อยากเจอหนิ” ปริมสะบัดหน้าเดินไปนั่งลงกับท่าน้ำที่ทำด้วยไม้ยื่นยาวลงไปในบึงน้ำเล็ก ๆ

“กลัวเขาทวงสัญญาหรือไง” พี่ชายยิ้ม แล้วเดินตามไปนั่งลงข้าง ๆ

“รู้แล้วยังมาแกล้งถามเค้าอีก พี่ปรามนะ” เด็กสาวทำหน้ายู่

“ไม่กล้าอยู่ใกล้เขา กลัวจะห้ามใจไม่ได้ใช่มั้ยล่ะ กลัวจะรักเขาล่ะสิ” ปรามแหย่น้องสาว เขาเพิ่งสังเกตเห็นเดี๋ยวนี้เองว่า น้องสาวแสนซนของเขาโตเป็นสาวเต็มตัวแล้ว

“บ้าน่ะ พี่ปราม พูดอะไร” เธอหันมาค้อนพี่ชาย ก่อนหย่อนเท้าลงไปกวนน้ำในบึงเล่น

“ถ้าไม่ใช่ก็ไม่ต้องหนีสิ ไม่ต้องหลบ กล้า ๆ หน่อย ไอ้การน่ะ เป็นคนดี แล้วก็น่ารักนะ เดี๋ยวนี้เขาก็ทำตัวดีขึ้นเยอะเลยนะปริม รู้รึเปล่า…” ชายหนุ่มทอดสายตามองต้นไม้ใบหญ้าในสวนของเขาที่ขึ้นเป็นร่มเงาเขียวครึ้ม

”และ…เป็นเพราะปริมนะ” เขาหันกลับมามองน้องสาว

ปริมทำสีหน้าเฉยชา
“ก็ดีแล้วหนิ ขอให้ทำได้ตลอดไป อย่าทำแค่เพื่อลบคำสบประมาทก็แล้วกัน” ปริมก้มหน้าก้มตากวนน้ำในบึงเล่น ปล่อยผมประบ่าปลิวเล่นล้อลม

“ระยะเวลาจะบอกปริมเองว่าเขาทำเพราะอะไรนะ” เขาตบไหล่น้องสาวเบา ๆ “เอ้อ…ปริม…สอบเสร็จรึยัง อาทิตย์หน้าพี่จะหยุดงานลาพักร้อนนะ เราจะไปแคมป์กันที่ต่างจังหวัด ไปกับพี่นะปริม”

“จริงหรอ…!! พี่ปราม” เด็กสาวร้องเสียงดีใจอย่างร่าเริง “สอบเสร็จแล้วล่ะ อยากไปนอนดูดาวจังเลยพี่ปรามเหมือนที่เราเคยไปกัน” สักพักสีหน้าเด็กสาวหม่นลง “ว่าแต่…ใครไปบ้างหรอพี่ปราม”

“เพื่อน ๆ พี่กลุ่มเดิมแหละ เราก็สนิททุกคนไม่ใช่หรอ” เขาพยายามตอบเลี่ยง ทั้งที่รู้ว่าเธอต้องการถามถึงใคร
“ปฏิการไปด้วยหรือเปล่า”
“ไปสิ แน่นอนเลย เขาเป็นมือกีต้านะ ร้องเพลงเพราะด้วย ไม่ไปได้ไง” เขาตัดสินใจบอกตามความเป็นจริงมากกว่าที่จะตอบแบบที่เคยคิดจะโกหกเธอ

“งั้น…ฉันไม่ไปนะ” เด็กสาวเบ้หน้าไปทางอื่น

เขานึกไว้แล้วไม่มีผิดว่าน้องสาวหัวดื้อของเขาต้องปฏิเสธ แต่ได้เตรียมถ้อยคำมาแก้ไว้เป็นอย่างดีแล้ว
“หนีอีกแล้วปริม กลัวอยู่ใกล้ ๆ เขาแล้วจะอดใจรักเขาไม่ได้ล่ะสิ ใช่มั้ย?”

“เอ๊…….พี่ปราม ไม่ใช่นะ” เด็กสาวสะบัดเสียงเขียวขึ้นมาทันที

“งั้นก็ต้องไปสิ” เขาจ้องหน้าน้องสาว

“ก็ได้” เธอจะไปพิสูจน์ตัวเองเหมือนกันว่าแม้เขามีโอกาสใกล้ชิดเธอ เธอก็ไม่มีวันใจอ่อนง่าย ๆ

ปรามยิ้ม ที่เป็นไปตามแผน
“ต้องอย่างนั้นสิ พี่อยู่ทั้งคนไม่ให้ใครรังแกน้องของพี่ได้หรอก”

“จริงนะ” เธอจับแขนพี่ชายเขย่า แววตาฉายแววแจ่มใสขึ้นมาทันที
“รักพี่ปรามที่สุดเลย…” แล้วเข้าไปกอดพี่ชายอ้อน

===============


เวลาบ่ายแก่ ๆ ของวันเดินทาง

รถตู้สีครีมจอดนิ่งอยู่ที่หน้าบ้านสวนผลไม้นานแล้ว ชายหนุ่มหญิงสาวกำลังช่วยกันขนข้าวของขึ้นรถอย่างเฮฮาสนุกสนาน มีเสียงหัวเราะ รอยยิ้ม เสียงโหวกเหวกโวยวาย แซวกันตลอดเวลา

ปริมหิ้วกระเป๋าใบโตเดินตัวเอียงมาถึงรถ หลังจากยืนมองอย่างลังเลอยู่นานแล้ว เพราะคนที่กำลังจัดเป๋าขึ้นรถอย่างเป็นระเบียบ คือคนที่ชอบทวงสัญญาเธอนั่นเอง แวบหนึ่งรู้สึกชื่นชมในความมีน้ำใจของเขา ที่ช่วยดูแลเอาภาระในการเดินทาง

เมื่อเธอเดินมาถึง ปฏิการรีบเดินมารับ
“สวัสดีครับปริม” เขาส่งยิ้มทักทาย พร้อมกับยื่นมือมาขอช่วยถือกระเป๋าให้
“ไม่เป็นไร ถือเองได้” ปริมชักสีหน้าตึง ๆ
“อย่าดื้อน่า…” เขาคว้ากระเป๋าจากมือเธอมาถือไว้อย่างไม่สนใจ
“จะย้ายบ้านหรือไงปริม” เขาแกล้งแหย่ จริง ๆ แล้ว ถ้าเทียบกับผู้หญิงคนอื่นกระเป๋าของเธอใบเล็กกว่าเพื่อน
“ยุ่งน่ะ” เห็นหน้าเขาทีไร อดรู้สึกหมั่นไส้เขาไม่ได้ซักที
“ดีใจจังที่ปริมไปด้วยนะ นึกว่ารู้ว่า ฉันไปด้วยแล้วเธอจะไม่กล้าไปด้วยซะแล้วสิ”

ปริมหันมาเฉิดหน้า แล้วพูดเน้นเสียงชัดถ้อยชัดคำ

“ไม่ว่านายจะไปหรือไม่ไป นายก็ไม่มีอิทธิพลอะไรสำหรับฉันหรอก!!”

“คร้าบบบบ คุณผู้หญิง” เขาอมยิ้มน้อย ๆ ในสีหน้า และไม่ใส่ใจกับความหมายของถ้อยคำที่ได้ยินนั้น

และแล้วการเดินทางก็เริ่มขึ้น ปริมรู้สึกสบายใจที่ได้นั่งข้างพี่ชายที่เบาะคู่ด้านหน้าสุด แต่ก็รู้สึกรำคาญสายตาภายใต้แว่นดำของคนขับรถที่ชอบหันมามองเธอทางกระจกมองหลัง และจะได้เห็นรอยยิ้มแต้มอยู่ในสีหน้าของเขาตลอดเวลา ดูเขาช่างมีความสุขเสียจริง
“ปฏิการบ้า มองอยู่ได้” เธอบ่นเบา ๆ กับตัวเอง

หลังจากตะวันลับขอบฟ้าไปนานแล้ว ความมืดกระพือปีกม่านสีดำครอบคลุมทุกพื้นที่เอาไว้หมดทุกด้าน บนถนนที่มืดสนิท มีเพียงแสงไฟจากหน้ารถยนต์เท่านั้น นาน ๆ จะมีรถยนต์สักคันวิ่งสวนทางมา ทุกคนในรถพากันหลับหมดทิ้งคนขับเอาไว้เพียงลำพังคนเดียว

ปริมขยับตัวออกจากกระจกหน้าต่างข้างรถอย่างรู้สึกปวดคอ แล้วเอียงตัวลงซบกับตักพี่ชายที่นั่งอยู่ข้าง ๆ จนถึงเช้า

===============

เช้าวันใหม่มาถึง….

แสงสีทองของตะวันทักทายยามเช้าให้สดชื่นแจ่มใส ดูมีชีวิตชีวา ใบไม้สีเขียวเป็นสีเขียวสดใส ดอกไม้ผลิบานรับแสงอรุณ ท้องฟ้าเป็นสีคราม นกกาได้เวลาออกหากิน ผีเสื้อโบยบินมาเยี่ยมชมดอกไม้ ดอกหญ้าข้างทางหยอกเย้ากันและกันพริ้วไหวเอนเป็นระลอกคลื่นตามแรงลมเบา ๆ แดดอุ่น ๆ ให้ความอบอุ่นกับทุกชีวิตบนโลกใบนี้

ปริมหยีตาแล้วขยับตัวลุกขึ้นจากตักของชายหนุ่ม เด็กสาวกระพริบตาถี่ ๆ ครั้งแล้วครั้งเล่า มองหน้าคนที่กำลังนั่งหลับอยู่ข้าง ๆ ตัว แล้วทำสีหน้าเจื่อน ๆ เมื่อมองเห็นชัดเจนเต็มตาว่า ไม่ใช่พี่ชายของเธอซะแล้ว แต่เป็นนายปฏิการที่นั่งอยู่แทน ศีรษะของเขาตั้งตรง เขายังนั่งนิ่งในท่ากอดอกอยู่อย่างเดิมเหมือนเมื่อคืนนี้ ไม่กล้าฉวยโอกาสแตะต้องตัวเธอแม้แต่นิดเดียว แม้มีโอกาสที่จะกระทำได้ก็ตาม ปริมรีบมองไปที่หน้ารถในตำแหน่งของคนขับรถ มองเห็นพี่ชายตัวจริงของเธอกำลังขับรถอยู่แทน

“ตายแล้ว……….!!!! โอ๊ย ๆๆๆๆ ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ มันเป็นอย่างนี้ได้ยังไง“ ปริมได้แต่ร้องกรี๊ดดดดดลั่นอยู่ในใจ ยกมือกดหน้าผากของตัวเองไว้ เมื่อนึกถึงคนที่เธอซบตักนอนมาตลอดคืนเป็นเขาหรือนี่!!! เธอไม่อยากจะอภัยให้ตัวเองเลยให้ตายสิ!

รถตู้เลี้ยวโค้งขึ้นเขาเหวี่ยงคนที่นั่งหลับข้าง ๆ เธอ เสียการทรงตัวเอียงเข้าไปหาสาวน้อย ปริมตกใจทำตัวลีบเบียดตัวเองจนติดกับกระจกหน้าต่างเท่าที่จะทำได้

“ไอ้บ้า!! ดันเอียงมาอีก” เธอบ่นกับตัวเองในใจ ไหล่และแขนของเขาเทน้ำหนักมากระทบไหล่ของเธออย่างจัง

มือที่กอดอกไว้คลายออกทันที คว้าพนักเก้าอี้ข้างตัวเอาไว้ได้ทัน ก่อนที่ตัวของเขาจะเอียงเข้าไปหาเธอเต็ม ๆ

ปริมต้องจับเบาะรถเอาไว้แน่นเช่นกันเพราะต่อมารถตู้ก็เลี้ยวโค้งขึ้นเขาไปอีกด้านหนึ่งเหวี่ยงตัวเธอเอียงเข้าหาชายหนุ่ม ครู่หนึ่งจึงเข้าสู่สภาวะปกติ

ปฏิการหันไปทักทายเธอด้วยสีหน้ายิ้ม ๆ
“อรุณสวัสดิ์ครับปริม หลับสบายไหมเมื่อคืนนี้”

ปริมหันหน้าหนีอย่างอับอายสุด ๆ อยากจะมุดหนีหายไปจากตรงนั้นถ้าทำได้ หันไปมองรอบตัว โชคดีที่ยังไม่มีใครตื่นมาเห็น ไม่งั้นต้องโดนล้อแน่ ๆ เลย เพราะใคร ๆ ต่างก็รู้ว่า เขาและเธอไม่กินเส้นกันมานานแล้ว เธอปิดปากตัวเองเงียบกริบ ไม่กล้าต่อว่าเขา ไม่กล้าโวยวายเอากับพี่ชาย เพราะกลัวทุกคนจะตื่นขึ้นมารับรู้

“อีตาบ้า ยิ้มอยู่ได้!!” ปริมหันหน้าเข้าหาหน้าต่างมองออกไปข้างนอกตัวรถด้วยความรู้สึกขายหน้าสุดขีด จนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน เลยต้องจำใจต้องเอาหน้าไว้ที่เดิม

ปฏิการไม่ได้พูดอะไรต่อ คงแต่นิ่งเงียบแอบมองสาวน้อยข้าง ๆ ด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้มตลอดเวลา ไออุ่นของตัวเธอที่ซบอยู่กับตักของเขามาตลอดคืน ยังรู้สึกอุ่น ๆ ให้ความรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก เขาบรรจงเก็บเกี่ยวความน่ารักของเธอขณะนี้เอาไว้ มันเป็นช่วงเวลาที่มีความสุข หลังจากที่มันห่างหายไปจากชีวิตของเขานานเหลือเกิน

เธอ…คือ…คนที่มาเปลี่ยน และพลิกผันชีวิตของเขาให้ดีกว่าเดิม…

==============

ตอนที่ 4

รองเท้าผ้าใบคลุกฝุ่นสีแดงขมุกขมัวก้าวช้าลง ๆ เนื่องจากความลาดชันของพื้นดินที่เริ่มเทสูงขึ้นเรื่อย ๆ ทางเดินค่อย ๆ แคบลง กว้างสำหรับพอเดินได้แค่ 2 คนเท่านั้น ระยะทางที่ยาวไกล ทำให้แต่ละคนเริ่มอ่อนล้า กระเป๋าใบโตที่เธอเคยถือได้อย่างสบาย แต่เมื่อต้องถือนาน ๆ เข้า น้ำหนักกลับเพิ่มขึ้นเนื่องจากความเมื่อยล้าของต้นแขน เหงื่อเม็ดโป้งไหลจากศีรษะมาหยุดอยู่ที่ปลายคาง ก่อนที่เจ้าของจะใช้แขนเสื้อซับไว้ การเดินเกาะกลุ่มเดินไปเป็นทีม ตอนนี้กลุ่มเริ่มแตกกระจายเป็นกลุ่มย่อย ๆ ที่เหลือคนหรือสองคนแทน เดินตามกันไปทิ้งระยะห่างเป็นระยะ

ปฏิการเดินตามปริมมาห่าง ๆ เป้ใบใหญ่และอุปกรณ์เต้นท์แบกอยู่ด้านหลังทั้งหมด มือซ้ายถือกระเป๋าหนังสีดำใส่กีต้าตัวโปรด เขารอจังหวะทิ้งให้เธอเริ่มเหนื่อย ก่อนที่จะเข้าไปช่วยเธอ เพราะรู้ดีว่า เธอคงไม่ยอมรับความช่วยเหลือจากใครง่าย ๆ

เขาสาวเท้าเร็วขึ้น เร่งฝีเท้าตามไปให้ทันคนที่เดินอยู่ข้างหน้า
“ปริมเหนื่อยหรือเปล่า ฉันช่วยถือนะ”

ปริมมองสัมภาระของเขาที่ดูเยอะกว่าเธอเสียอีก
“ไม่เป็นไร…ฉันถือได้”

“ไม่เป็นไรหรอก มาให้ฉันช่วยนะ” เขายังยืนยันที่จะช่วยเธอเป็นครั้งที่สอง อดแปลกใจเล็กน้อยที่เธอยังไม่ยอมรับความช่วยเหลือจากเขา ซึ่งโดยปกติผู้หญิงมักจะดีใจที่มีผู้ชายมาช่วยถือข้าวของหนัก ๆ อย่างนี้ และบางทียังชอบชี้ใช้ด้วยซ้ำ

“ของนายเยอะกว่าฉันเสียอีก” เธอยังยืนกรานปฏิเสธ
ปฏิการยิ้ม ถ้าเขาเข้าใจไม่ผิด เธอเป็นห่วงเขารึเปล่า?
“ไม่เป็นไรหรอก สบายมาก ส่งมาเลย”

“ก็ได้” เธอส่งกระเป๋าใบโตให้เขา พลางยิ้มอย่างมีเลสนัย
“งั้นถือให้หมดเลยนะ” ว่าแล้วก็เอาทั้งกระเป๋าสะพาย ทั้งเป้ใบเล็ก ๆ เข้าไปคล้องตัวเขาจนดูรุงรังเต็มตัวไปหมด
“เป็นไง” เด็กสาวยิ้มระรื่น เดินตัวปลิวอย่างสบายใจ ผมประบ่าถูกรวบไว้เป็นหางม้าแกว่งไกวไปมาตามจังหวะการก้าวเดิน

เมื่อโดนเธอแกล้งสุมสัมภาระให้ขนาดนี้ เล่นเอาหนักและเหน็ดเหนื่อยเหมือนกัน
“ปริม….รอกันด้วยสิ!” เขาตะโกนเรียก อยากจะพยายามวิ่งตามไป แต่เรี่ยวแรงกลับถดถอยลงทุกที ๆ ด้วยความลาดชันของหนทางขึ้นเขา แถมแดดยามบ่ายยังร้อนระอุบั่นทอนกำลังให้ลดลงอีก

“ร้ายจริง ๆ เลย ทิ้งกันได้ลงคอ” เขาบ่นอยู่คนเดียว หลังจากเธอเดินหายตัวไปไหนแล้วไม่รู้

“นินทาไร ได้ยินนะ”
เขาเงยหน้ามองขึ้นไปข้างบนตามหาแหล่งกำเหนิดเสียง เห็นเธอนั่งเล่นอยู่บนต้นไม้ ปากกำลังอมอะไรบางอย่างอยู่ทำสีหน้าเปรี้ยวจี๊ดดดทีเดียว ครู่หนึ่งเธอปีนลงมาอย่างคล่องแคล่ว

“หิวน้ำมั้ย”

ชายหนุ่มหอบข้าวของพะรุงพะรังเหมือนพวกไอ้บ้าหอบฟางพยักหน้าหงึก ๆ “มาก ๆ เลย”

“กินนี่ไปก่อนนะ มะขามป้อม” เธอล้วงเม็ดกลม ๆ แป้น ๆ สีเขียวอ่อนขนาดเท่าหัวแม้มือออกมาจากกระเป๋าเสื้อ

เขาส่ายหน้า “ไม่เอา ไม่ชอบนะ”

“นี่…!! มันช่วยแก้กระหายน้ำได้นะ ลองกินดู” เธอยื่นส่งให้

“จริงหรอ”

ปริมพยักหน้าพยักเพยิดให้เขาลองกินดู

เขาวางกระเป๋าใบโตของเธอลงกับพื้นก่อนจะรับเม็ดกลม ๆ ที่ไม่เคยชอบมา

ทันทีที่ฟันกระทบกับผิวของมะขามป้อมและกดลึกลงไปในเนื้อ รสเปรี้ยวอมหวานนิด ๆ ของมะขามป้อมก็แผ่ซ่านไปทั่วปาก คิดไว้ว่าจะต้องเจอรสฝาดเข้าเต็ม ๆ เลย แต่ไม่ใช่ เขาค่อย ๆ กัดมะขามป้อมไปทีละนิดเรื่อย ๆ รู้สึกชุ่มคอ และหายคอแห้งผากไปได้เยอะเลย

“อืม…อร่อยดีเหมือนกันนะ ไม่เหมือนที่เคยกินเลย ขออีกสิ”
“เห็นมั้ยล่ะ” เธอส่งมะขามป้อมให้เขาอีก 4-5 เม็ด

เขายิ้มให้ แล้วก้มลงหิ้วสัมภาระต่อ

“มา…ฉันช่วยถือนะ”

ปฏิการชะงัก เมื่อได้ยินเสียงใส ๆ ข้าง ๆ หู จนต้องเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของเสียง

ปริมไม่รอให้เขาพูดอะไร รีบดึงสายของกระเป๋าขึ้นมาถือไว้ข้างหนึ่ง เป้เล็ก ๆ ที่เอาไปสุมไว้กับตัวเขา เธอก็เอาคืนมาสะพายเสียเอง

เขายิ้มให้เธอแทนคำพูด และรู้ว่าเธอไม่ใช่คนที่จะคอยเอาเปรียบใคร คะแนนความดีของเธอค่อย ๆ สะสมอยู่ในหัวใจเขาทีละน้อย

==============

กองไฟถูกก่อขึ้นอย่างง่าย ๆ เปลวไฟสีส้มแดงระริกไหวอยู่ท่ามกลางความมืดมิดของยามค่ำคืน ไม่มีแสงไฟจากไฟฟ้า มองไปทางไหนไม่อาจหลีกหนีความมืดไปได้ ต้นไม้ทุกต้นยืนสงบนิ่งในอ้อมกอดของเงาแห่งราตรี ผืนฟ้าสีน้ำเงินเข้มมีเพียงแสงดาววับวาววอมแวม กับแสงจันทร์เสี้ยวที่ทอแสงสีขาวนวลตา อากาศเริ่มเย็นขึ้นเรื่อย ๆ หนุ่มสาวต่างนั่งล้อมรอบกองไฟ กล้วยสุกลูกสวยสีเหลืองทอง อวบอ้วน และมันเทศน์กำลังถูกเผาอยู่บนเปลวไฟ ส่งกลิ่นหอมยั่วยวนน้ำย่อยในกระเพาะอาหารให้ออกมาวิ่งเต้นไปมา

เมื่อคมมีดถูกกดลงไปบนกล้วยย่างหรือมันเผา เกิดควันกรุ่น ๆ ลอยคลุ้งออกมา ปริมเอามือจับชิ้นมันเผาที่ถูกพี่ชายตัดให้เป็นชิ้นเล็กพอประมาณ แต่เมื่อจับแล้วต้องรีบโยนทิ้งทันทีเพราะความร้อน รีบเอามือจับหูตัวเองแทบไม่ทัน

“มันร้อนนะปริม” ปรามเตือนน้องสาว แล้วเอาซ่อมจิ้มชิ้นมันเผาขนาดกำลังพอดีส่งให้
“ขอบคุณค่ะ พี่ปราม” เธอรับซ่อมมันเผามาทาน พอกัดเข้าไปคำหนึ่งต้องรีบห่อปากเป่าลมออกจากปากเพื่อระบายความร้อน พลางเอามือพัด ๆ ปากตัวเองถี่ยิบ
“ใจเย็นปริม ค่อย ๆ กิน มันมีอีกเยอะนะ ไม่ต้องกลัวคนแย่ง” เพื่อนพี่ชายต่างแซวด้วยความเอ็นดูแล้วพากันหัวเราะ

หนุ่มผมยาวหน้าคมเข้มเริ่มจับกีต้าขึ้นมาประคองไว้ในอ้อมแขน ก่อนจะบรรจงดีดสายกีต้าพริ้วไหวราวมีชีวิต นิ้วแต่ละนิ้วเคลื่อนไหวจับคอร์ดกีต้าอย่างคล่องแคล่วและแม่นยำ ราวกับเป็นเรื่องง่ายดายเหลือเกิน บ่งบอกถึงฝีมือที่ฝึกฝนมานานเป็นอย่างดี เทียบเท่ากับมืออาชีพได้เลย บวกกับพรสวรรค์และพรแสวงในการร้องเพลงของเขา ทำให้เพลงแต่ละเพลงเต็มไปด้วยอารมณ์และความรู้สึก ราวกับนักร้องตัวจริงมาร้องให้ฟังเสียเอง น้ำเสียงใส ๆ นุ่ม ๆ ทำให้เพลงแต่ละเพลงสะกดหัวใจของคนฟังเอาไว้ แต่ละคนต่างเพลิดเพลิน มีความสุขสนุกสนาน ไม่ว่าเขาจะร้องเพลงช้า เพลงซึ้ง เพลงเร็ว เพลงสดใส เพลงอะไรก็น่าฟังไพเราะไปหมด น้ำเสียงของเขาเหมือนมีพลังพิเศษจนไม่อาจละสายตาไปจากลีลาท่าทางที่ชวนมองของเขาได้เลย หนุ่มสาวต่างพากันโยกตัวไปมาช่วยกันร้องเพลงตามและปรบมืออย่างสนุกสนาน

“ผมขอมอบเพลงนี้ให้กับคน ๆ หนึ่ง เพื่อเป็นการขอบคุณ ที่เขาทำให้ผมเปลี่ยนเป็นคนใหม่ได้อย่างทุกวันนี้” ปฏิการพูดขึ้นก่อนจะกรีดนิ้วลงบนสายกีต้า สายตามองมายังเด็กสาวที่นั่งอยู่ข้างปรามแวบหนึ่ง

ไม่เคยมีใคร ที่จะคิดเป็นห่วงฉัน และคนอย่างฉัน ก็ไม่รู้จะต้องห่วงใคร

เสียงตบมือดังแทรกขึ้นมาสนั่นหวั่นไหว ใบหน้าของทุกคนเต็มเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม และต่างตั้งใจฟังเพลงอย่างใจจดใจจ่อทีเดียว

ไม่มีคนไหน ที่เฝ้ารอ และไม่เห็นที่ไป ไม่มีใคร ที่เกิดมาเพื่อกัน
ที่ผ่านมานั้น ก็ไม่รู้ จะอยู่เพื่อใคร ไม่มีจุดหมาย แค่ใช้ชีวิตไปให้หมดวัน
แต่พอวันนี้ ฉันพบเธอ เธอผ่านมา ในใจฉัน ทำให้ทุกคืน วันเกิดมีเรื่องราว

เธอทำให้ฉันไม่เหมือนเดิม ฮืม..ฮืม..ฮืม..
เธอเติมชีวิตตรงที่ขาดหาย เธอทำให้ฉันลืมความเหงาเดียวดาย
เปลี่ยนไป ตั้งแต่ได้พบเธอ

ปริมนั่งแอบอยู่หลังพี่ชาย ไม่กล้าหันไปมองหน้าคนร้องเพลง กลัวจะเจอสายของเขามองตรงมา จะยิ้มก็ไม่กล้ายิ้ม ทั้ง ๆ ที่ควรจะยิ้ม กลัวใคร ๆ จะคิดว่า เธอใจอ่อนและยอมรับเขาเสียแล้ว เธอไม่รู้จะทำหน้ายังไงถึงจะดี รู้สึกอึดอัดใจเหลือเกิน


จากนั้น….ฉันเหมือนเป็นคนใหม่ จากคนไม่มีจุดหมายที่แล้วมา…
จากนี้…เธอทำให้ฉันรู้ ฉันมีค่า… เปลี่ยนแปลงวันเวลา
เปลี่ยนจากคน ๆ เดิมตลอดไป

ทุกคนต่างนิ่งเงียบฟังเขาร้องเพลงคนใหม่ ของมิสเตอร์ทีมจนจบเพลง แล้วเสียงปรบมือก็ดังขึ้นเกรียวกราวอีกครั้ง
“แหม…ปริมน่าอิจฉาจังเลย” เพื่อนสาวของพี่ชายเอ่ยขึ้นอย่างยิ้มแย้ม เสียงเฮก็ดังตามมาเป็นลูกคู่

แล้วตามด้วยเพลงใคร ของบอยโกสิยพงศ์ เสียงอินโทรของกีต้าใส ๆ คลอขึ้นมาเบา ๆ

คนที่เหงาคนหนึ่ง นั้นรอใครที่จะเข้าใจ
มาเป็นเพื่อนดูหนัง เป็นเพื่อนฟังเพลงใกล้ๆ
แบ่งปันทุกข์และสุข พูดคุยยามที่เหนื่อยหัวใจ
แต่ว่าคนๆนั้นจะได้เจอะกันวันไหน

ทุกคนต่างช่วยกันร้องตามอย่างถูกอกถูกใจกับเพลงเพราะที่เต็มไปด้วยความรู้สึกแสนเหงา และเฝ้าคอยใครซักคนหนึ่งที่จะผ่านเข้ามาในชีวิต

ปริมแอบหลบผู้คนออกมานั่งอยู่ข้างกองฟางเงียบ ๆ คนเดียว อากาศเริ่มเย็นลงอีก จนเธอต้องห่อตัวกอดตัวเองเอาไว้ แหงนหน้ามองท้องฟ้า สายตามีคำถามขอคำตอบจากดวงดาว ความรู้สึกอายจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน ที่ถูกใครต่อใครหยอกล้ออย่างสนุกสนาน คิดโทษตัวเอง ที่ปากไม่ดีพูดท้าทายเขาออกไปอย่างนั้นอย่างไม่ทันคิดให้ดีก่อนพูด เธอรู้สึกสับสน จนบางครั้งไม่เข้าใจความรู้สึกของตัวเองเลย

*มองปฏิทินที่เปลี่ยนเข้ามาใหม่
มองคนรักเค้าเดินเคียงใกล้ ฉันคงได้เพียงแต่มองอยู่ตรงนี้

**ใคร สักคนที่เกิดมาเพื่อผูกพัน
ใครที่เกิดมาคู่กับฉัน
ใครคือคนนั้นช่วยมา บอกฉันที
ให้ใจ ที่หวั่นไหวได้พึ่งพิงซักที่
ให้รู้ว่าซักวันฉันจะเจอะ คนๆ นี้และใครที่รอคนนี้มีจริงใช่ไหม

ปริมเอนตัวพิงกองฟางอย่างสบายอารมณ์ สายตายังค้างคาบนพื้นกำมะหยี่สีดำที่มีลวดลายเป็นดวงดาวระยิบระยับ เสียงเพลงของเขายังดังคลอตามมากับสายลม บทเพลงที่ยังได้ยินชัดเจนทุกถ้อยคำ รู้สึกกลุ้มใจขึ้นมาตะหงิด ๆ ทำไมเผลอพูดอะไรอย่างนั้นออกไปได้นะ เขาเป็น “ใคร” คนนั้นจริงหรือ ที่เธอจะต้องยอมรับในอนาคต เพื่อทำตามคำสัญญา

วันคืนแสนว่างเปล่า ทุกคราวพยายามเข้าใจ
แต่ว่าในวันนี้ ข้างในกลับทนไม่ไหว

(*,**)

(**)

และใครที่รอตอนนี้เขาอยู่…ที่ไหน….

“และใครที่รอคนนี้…คือปริม…ใช่ไหม” เสียงบรรดาเพื่อน ๆ ต่างร้องประสานเสียงแซวเป็นลูกคู่คลอขึ้นมาอย่างไม่ได้นัดหมายเมื่อจบเพลง เรียกเสียงหัวเราะฮาขึ้นมาอย่างครึกครื้น

เสียงเพลงที่ได้ยินยิ่งทำให้เธอคันหัวใจ รู้สึกหงุดหงิดงุ่นง่านอย่างบอกไม่ถูก


===============

เสียงฝีเท้าของคน ทำให้เธอรีบขยับตัวลุกขึ้นนั่งจากท่านอนเอกเขนกทันที
“ปริม…ขอนั่งด้วยคนนะ” ชายหนุ่มนั่งลงข้าง ๆ สาวน้อย
“เชิญ…ตามสบายค่ะ” ปริมขยับตัวลุกขึ้น

“เดี๋ยวปริม!!” แล้วรีบลุกขึ้นขวางทางเธอไว้

“ขอคุยด้วยสักครู่ได้ไหม…” ทั้งน้ำเสียงและแววตาของเขาเต็มไปด้วยคำขอร้อง

ปริมจ้องหน้าฝ่ายตรงข้ามทำตาเขียว ๆ ก่อนที่จะนั่งลงอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์นัก

“มีไร ว่ามา”

“หนาวรึเปล่าปริม ทำไมไม่ใส่เสื้อหนาวล่ะ” เขาสังเกตเห็นเธอนั่งห่อตัวกอดตัวเองอยู่ แล้วถอดเสื้อกันหนาวสีน้ำตาลที่ใส่มาส่งให้

“ไม่ต้อง ขอบใจ”

“ใส่ไว้เถอะน่า…” เขาคลุมเสื้อหนาวลงบนไหล่ให้เธอ

“เร็ว!! จะใส่หรือเปล่า” ชายหนุ่มจ้องหน้าสาวน้อยที่อยู่ข้าง ๆ “ถ้าไม่ใส่ เดี๋ยวฉันจะช่วยทำให้เธออบอุ่นแทนก็ได้นะ” เขาพูดยิ้ม ๆ

“อย่านะ…!! อย่ามาทะลึ่งแถวนี้” น้ำเสียงของเธอเฉียบขาด รีบขยับตัวออกไปยืนห่าง ๆ แต่สีหน้าพาลซีดลงอย่างเห็นได้ชัด ในแววตามีความกลัวซ่อนอยู่

“ก็ใส่สิ หรือว่า อยากลองดูก็ได้นะ” เขาขยับตัวตามเข้าไปใกล้เป็นการข่มขวัญ อันที่จริงเขาก็ไม่กล้าเหมือนกัน เพราะตั้งแต่เกิดมาเคยทำอะไรอย่างนั้นกับใครที่ไหนกัน
“ยุ่งกับชีวิตฉันจังเลย” เธอบ่นเพื่อบังหน้า ปกปิดความรู้สึกกลัวเขาเอาไว้ข้างใน แล้วรีบใส่เสื้อหนาวของเขาอย่างด่วนจี๋ กลัวเขาจะทำอย่างที่พูดไว้จริง ๆ

“อุ่นมั้ย…” เขายิ้มระรื่นเมื่อเห็นเธอยอมสวมเสื้อหนาวจนได้

เธอพยักหน้าโดยไม่หันไปมองคนข้าง ๆ ไออุ่นจากตัวเขาที่มาพร้อมกับตัวเสื้อบวกกับความหนาของเสื้อหนาว ทำให้รู้สึกอุ่นเป็นพิเศษ

“ทำไมปริมออกมานั่งคนเดียวล่ะ”
“แล้วทำไมนายต้องออกมานั่งตรงนี้ด้วยล่ะ” ปริมสวนคำ
“ฉันกลัวว่าฉันจะตบะแตก เพราะพวกนั้นเริ่มตั้งวงกินเหล้ากันอีกแล้ว” เขาบ้ายหน้าไปทางกลุ่มพวกผู้ชายที่ตั้งวงล้อมรอบกองไฟอยู่ทางด้านหลัง
“ที่จริง การกินเหล้า ก็เป็นสร้างสัมพันธภาพระหว่างเพื่อนนะ”

“การสร้างสัมพันธ์ใช้วิธีอื่นก็ได้ มีวิธีนี้วิธีเดียวหรือ ไม่เห็นต้องกินเหล้าเลย ไม่งั้นผู้หญิงเราต้องไปกินเหล้าเพื่อสร้างสัมพันธ์กันด้วยใช่ไหม เงินก็ต้องเสีย ไม่ดีตัวสุขภาพด้วย ตัวก็เหม็น ไม่เห็นจะดีตรงไหนเลย” เธอสาธยายออกมาเป็นชุด

“ที่ปรามไม่กินเหล้าเลย เพราะได้รับอิทธิพลจากปริมนี่เอง”

“ไม่ใช่หรอก พี่ปรามไม่ทานเหล้า เพราะว่าต้องการเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับฉันน่ะ เพราะหากพี่ปรามยังกินอยู่ พี่ปรามห้ามไม่ให้ฉันกินเหล้า ฉันคงไม่เชื่อหรอกนะ เหมือนครูอาจารย์ที่ยังกินเหล้าอยู่ไง ห้ามนักเรียน มันก็ดูไม่มีน้ำหนัก เพราะครูอาจารย์เองก็ยังทำไม่ได้เลย จริงไหม” เธออธิบายอย่างเป็นหลักการ

ปฏิการได้แต่ยิ้มแหย ๆ แทนคำตอบ

“แล้วนายไม่อยากกินเหล้าแล้วหรอ”

“อยาก…” เขาทิ้งเสียงหายลงไปในลำคอ
“แต่…อยากเป็นเพื่อนกับปริมมากกว่า” แล้วหันมามองคนที่นั่งข้าง ๆ
“และฉันก็จำได้เสมอว่า ฉันสัญญากับเธอเอาไว้ ว่าจะเลิกกินเหล้า สูบบุหรี่ และเที่ยวเตร่เกเรเสเพล”

“จริง ๆ นายไม่จำเป็นต้องทำตามสัญญาก็ได้” เธอมองจันทร์เสี้ยวที่คืนนี้มีดาวศุกร์เป็นเพื่อนอยู่ใกล้ ๆ ส่องแสงสว่างเจิดจ้า

“ไม่นะ ถ้าฉันสัญญาอะไรกับใครแล้ว จะต้องทำให้ได้เสมอ ที่สำคัญ…” เขาเงียบลงชั่วอึดใจก่อนที่จะพูดต่อไป

“ฉันอยากเป็นเพื่อนกับเธอนะ ปริม” ประโยคสุดท้ายเน้นเสียงชัดเจน

ความรู้สึกหวิวไหวในหัวใจวิ่งแทรกเข้ามาผ่านจากคำพูดทุกถ้อยคำของเขา ปริมรีบกลบเกลื่อนด้วยเสียงห้วน ๆ อย่างเคย ก่อนที่เขาจะจับความรู้สึกในใจของเธอได้

“ทำไม”

“เพราะเธอทำให้ฉันมีแรงฮึดที่อยากจะเปลี่ยนแปลงตัวเอง”

“ไม่เห็นเกี่ยวกันเลย”

“ฉันไม่รู้…รู้แต่…อยากทำเพื่อเธอนะ ปริม”

แวบหนึ่งที่ความรู้สึกแปลก ๆ วิ่งผ่านเข้ามาในหัวสมองของเธออีกแล้ว พยายามมีสติตื่นเต็มฟังเขาพูดอย่างเป็นกลางที่สุด แต่หัวใจก็ยังอดปลื้มไม่ได้ เมื่อมีคน ๆ หนึ่งเข้ามาให้ค่าให้ความสำคัญกับเธอ

“ทำเพื่อตัวเองเถอะ ไม่ต้องทำเพื่อฉันหรอก สิ่งที่ฉันบอกนายก็คือสิ่งที่ดีสำหรับตัวนายเอง” เสียงห้วน ๆ ลดดีกรีลงอย่างไม่ได้ตั้งใจ เธอรับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงไปในพฤติกรรมของชายหนุ่มจากคำบอกเล่าของพี่ชาย และจากสายตาของตัวเอง

“ปริม…ฉันมีอะไรจะให้เธอดู” เขาขยับตัวเข้ามาใกล้เธออีกนิด หยิบกระดาษสีขาวจากกระเป๋าเสื้อออกมาคลี่
“ผ่านมา 1 ปีกว่าแล้วนะ ที่ฉันพยายามทำตามสัญญา และนี่คือหลักฐานที่ฉันจะเอามาให้เธอดู” เขาเปิดไฟฉายขึ้นส่องแสงลงบนกระดาษขาว แล้วส่งแผ่นกระดาษสีขาวอีกใบให้เธอ
“ที่เธอถืออยู่คือผลการเรียนของฉันปีก่อน และที่ในมือฉันคือผลการเรียนล่าสุดนะ”

ปริมใช้สายตาไล่ตัวอักษรแต่ละวิชาเทียบกันระหว่างปีก่อนกับปีที่ผ่านมา ผลการเรียนของเขาดีขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ บางวิชาเขาเรียนได้เกรดดีกว่าเธอเสียอีก

“นายเรียนได้ดีขึ้นมาก ๆ เลยนะ ตั้งใจเรียนก็เรียนได้ดีนี่”

เขายิ้มบานเมื่อได้รับคำชมเป็นครั้งแรก ที่สำคัญมีโอกาสได้นั่งใกล้ชิดกับเธอขนาดนี้ ได้มองเธอใกล้ ๆ รู้สึกมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก

แสงสีขาววิ่งตัดผ่านท้องฟ้าสีน้ำเงินเข้มพุ่งหลาวลงสู่พื้นเบื้องล่าง
“ปริม…ดาวตกอธิษฐานสิ”
เขาและเธอต่างหลับตาอธิษฐานอยู่ครู่หนึ่ง

“อธิษฐานว่าไงหรอปริม บอกได้ไหม”
“นายล่ะ” เธอหันหน้ามาย้อนถาม
“ฉันถามก่อนนะ” หนุ่มผมยาวขมวดคิ้วย่น ทำเสียงเครียด
“นายก็บอกก่อนดิ” เธอก็ไม่ยอมเหมือนกัน

“ไม่บอก”

“ก็ไม่ต้องบอก ไม่เห็นจะอยากรู้เลย โธ่…!!” ปริมเบะปาก

ปฏิการยิ้มที่เห็นเธอดูเป็นกันเองกับเขามากขึ้นอีกนิด เขาพยายามชวนเธอพูดคุย เพื่อจะได้มีโอกาสอยู่กับเธอให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้

=================



Create Date : 10 ตุลาคม 2548
Last Update : 10 ตุลาคม 2548 20:01:37 น.
Counter : 513 Pageviews.

3 comments
BUDDY คู่หู คู่ฮา multiple
(3 ม.ค. 2567 04:49:04 น.)
๏ ... รามคำแหง แรงคำหาม ... ๏ นกโก๊ก
(2 ม.ค. 2567 14:22:51 น.)
The Last Thing on My Mind - Tom Paxton ... ความหมาย tuk-tuk@korat
(1 ม.ค. 2567 14:50:49 น.)
สวัสดีปีใหม่ ๒๕๖๗ มาช้ายังดีกว่าไม่มา
(2 ม.ค. 2567 07:30:30 น.)
  
ตอนที่ 5

“ปริมชอบดูดาวมั้ย” เขามองขึ้นไปบนท้องฟ้า

“ชอบสิ” ปริมยกเข่าขึ้นมากอดไว้ สายตาจดจ้องอย่างหลงไหลในความงามของดวงดาว

“ชอบดาวอะไรหรอ”
“ดาวศุกร์” เธอมองไปยังดาวที่ส่องแสงสว่างสุกใสอยู่ใกล้พระจันทร์เสี้ยว
“ทำไมล่ะ”
“ก็ฉันเกิดวันศุกร์ไง อีกอย่างนะ ดาวศุกร์จะเป็นดาวที่ใสสว่างกว่าเพื่อนเสมอเลย มีหน้าที่คอยติดตามพระจันทร์ในบางคืนนะ” เธอยิ้มบาง ๆ ในสีหน้า สายตาไม่หนีห่างจากแสงระยิบระยับของดวงดาวนับร้อยพันบนผืนฟ้ากว้าง

ท้องฟ้าคืนนี้ปรอดโปร่ง ยิ่งนั่งดูอยู่บนยอดเขาเช่นนี้ ทำให้ได้สัมผัสกับความกว้างของท้องฟ้าอย่างแท้จริง และได้อยู่ใกล้ชิดอาณาจักรของดวงดาวอันงดงาม

“หรอ โน่นดาวอะไรหรอปริม” เขาชี้ไปที่ดาวเรียงตัวกันสามดวง
เธอมองตามมือของเขาก่อนตอบ “ดาวไถไง”
“นั่นดาวเต่านะ” เธอชี้ไปที่ดาวสี่ดวงเรียงกันเหมือนสี่เหลี่ยมผืนผ้า และมีดาวสามดวงเรียงกันอยู่ตรงกลาง “อันโน้น ก็ไม่รู้ว่าเรียกว่าดาวอะไร แต่ฉันเรียกว่าดาวกระบวยนะ หน้าตามันเหมือนกระบวยดี” เธอหัวเราะตัวเองเบา ๆ

หัวใจของเขารู้สึกอบอุ่นและมีความสุขอย่างประหลาดที่ได้อยู่ใกล้ ๆ เธอคนนี้ เขามองเห็นดวงตาใสแจ๋วของเธอเป็นประกายเวลาจ้องมองดวงดาว ได้เห็นรอยยิ้มสดใสที่ซ่อนอยู่หลังหน้ากากแห่งความเฉยชาและเคร่งเครียดเสมอที่พบกัน เขารู้สึกว่าขณะนี้เธอกำลังอารมณ์ดีทีเดียว กำลังเพลินกับการพูดคุยกับดวงดาวงดงามบนท้องฟ้า เขาอยากรักษาความรู้สึกของเธอและเขาขณะนี้เอาไว้ ที่ได้มีโอกาศจูนคลื่นความถี่แห่งมิตรภาพให้ขยับเข้ามาใกล้กัน

“ปริม…เราเป็นเพื่อนกันนะ”

“ฮื่อ…ได้สิ”

“ฉันไม่ต้องตัดผมได้มั้ย” เขาจำได้ว่าข้อแม้ในการเป็นเพื่อนกับเธอข้อหนึ่งต้องตัดผมสั้นด้วย

“ได้” เธอหลุดปากพูดออกไปอย่างกำลังเพลิน ๆ ไม่ได้ตั้งใจ

“จริงนะ เธอรับปากแล้วนะ” เขาหันมาจ้องหน้าเธออย่างดีใจ “เธอยอมรับฉันแล้วใช่ไหม”
“ก็…เป็นเพื่อนไง นายก็เป็นคนดีแล้วหนิ” เธอหันมายิ้มให้เขาเป็นครั้งแรก

“นายเห็นรึเปล่าว่า นายทุกข์กับปัญหาครอบครัวไปก็เปล่าประโยชน์ ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดี อะไร ๆ มันก็จะดีเอง ที่สำคัญนายจะได้เป็นกำลังใจให้กับคนในบ้านนายได้ ไม่ใช่สร้างปัญหาขึ้นมาอีกให้มันยิ่งย่ำแย่กว่าเดิมนะ”

“ขอบใจ…ปริมมาก ๆ นะ” เขามองเธออย่างชื่นชม ทุกถ้อยคำของเธอมันเป็นเช่นนั้นจริง ๆ เหมือนที่เขาได้พิสูจน์ตามคำพูดของเธอด้วยตัวเองแล้ว

“แล้ว…”

เขาไม่แน่ใจว่าควรจะพูดต่อหรือเปล่า แต่ก็ตัดสินใจถามต่อ

“แล้วถ้า…เป็นมากกว่านั้นล่ะ”

“ได้สิ อยากเป็นอะไรล่ะ พูดให้ชัด ๆ นะ”

“ฟอ แอ นอ แฟน” เสียงนั้นเบาอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ แต่คนที่นั่งอยู่ใกล้ ๆ ก็ยังได้ยินชัดเจนทุกคำ มันเป็นครั้งแรกในชีวิตของเขาที่ได้พูดอะไรอย่างนี้ ไม่รู้เหมือนกันว่าพูดออกไปได้ยังไง แต่ก็พูดออกไปแล้ว

“ได้” ปริมแอบซ่อนยิ้มเอาไว้

“จริงหรอ” น้ำเสียงของเขาดีใจเป็นพิเศษ แต่เอะใจ ทำไมมันง่ายผิดปกตินะ!

“แต่…กับคนอื่นนะ ไม่ใช่แฟนฉัน” ปริมหัวเราะเสียงดังอย่างสะใจ

สายลมเย็นพัดมาต้องกายทั้งคู่อย่างอ่อนโยน แต่หัวใจของคนฟังคำตอบกลับหนักอึ้ง ทำให้ต้องนิ่งเงียบอย่างงุนงงไปเป็นนาที

“นี่!! นายถอยออกไปหน่อย เดี๋ยวผมนายกับฉันก็พันกันแย่หรอก” เธอหันมามองเขา และแปลกใจตัวเอง ปล่อยให้เขาเข้ามานั่งใกล้ขนาดนี้ได้อย่างไร

อารมณ์ที่พุ่งขึ้นด้วยความดีใจสุด ๆ ลดลงดิ่งพสุธา ยิ่งกว่าความผันผวนของตลาดหุ้นเสียอีก พลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ นึกโกรธเธอขึ้นมาตะหงิด ๆ ทำไมเธอเอาความรู้สึกของเขามาล้อเล่นอย่างนี้นะ ไม่สนใจประโยคต่อมาของเธอ เพราะจริง ๆ แล้วเขานั่งห่างจากเธอตั้งหลายคืบ

“ทำไม!! ผมของฉันมันมีความผิดตรงไหน มันเกี่ยวอะไรกับผมด้วยล่ะ”

“เก๊าะ!! ไม่เกี่ยวหรอก” ปริมยักไหล่ พลางลอยหน้าลอยตาอย่างยียวน เหมือนมันไม่สำคัญอะไรนักหนาจริง ๆ

“ แต่ไม่ชอบ! คำเดียว เข้าใจมั้ย ถ้าจะคุยเรื่องนี้ ฉันไปนอนก่อนนะ” ประโยคสุดท้ายเน้นคำ แข็งห้วนขึ้นมาทันที ปริมลุกขึ้นเดินอ้าว ๆ หนีไปเฉยเลย

ปฏิการรีบลุกขึ้นตามไป
“เดี๋ยวสิ! ปริม ผมของฉันมันไม่มีความผิดนะ อย่าเพิ่งไป”

“อะแฮ่ม!!” ปรามส่งเสียงกระแอมไอ แล้วคว้าแขนเพื่อนหนุ่มเอาไว้
“น้องข้าควรจะนอนได้แล้ว ดึกมากแล้วนะ” แล้วดึงแขนเพื่อนหนุ่มให้นั่งลง
“นี่แก หยุดมองตามตาละห้อยได้แล้ว หันมาคุยกันหน่อย” ปรามตบบ่าเพื่อนแรง ๆ ทีหนึ่งเป็นการเตือนสติ

“แกชอบปริมจริงหรอวะ คิดดี ๆ นะ” ปรามถามด้วยน้ำเสียงเป็นการเป็นงาน

“ฉันไม่รู้ แต่ฉันรู้สึกดีที่ได้อยู่ใกล้ ๆ เขา”

“เขาดื้อและเอาแต่ใจนะ จะบอกให้ แกไม่เคยเห็นฤทธิ์หรือไง โดนอะไรมาตั้งเยอะแยะไม่ใช่หรอ ไม่เข็ดหรอ” แล้วเอนตัวพิงกองฟางอย่างสบายใจ สายตาจับเพชรสุกใสที่กำลังส่องแสงเจิดจรัสบนท้องฟ้า

“ตกลงแกจะมาให้กำลังใจฉันหรือว่ายังไงกันแน่วะ”

“แกจะเล่น ๆ กับน้องข้าไม่ได้นะเว้ย” เขาหันมาจ้องหน้าเพื่อนสนิทอย่างจริงจัง “ถ้าแกทำให้น้องข้าเสียใจล่ะก้อ น่าดู!!” ปรามเน้นเสียงเข้ม

“แล้วฉันเคยจีบใครเล่น ๆ หรือเปล่าวะ” ปฏิการพูดเสียงเครียดขึ้นมาทันที

ปรามเงียบเสียงลง ตั้งแต่เป็นเพื่อนกันมา เขาไม่เคยเห็นเพื่อนคนนี้สนใจผู้หญิงคนไหนเป็นพิเศษเลย และไม่เคยมีเรื่องเสียหายเกี่ยวกับผู้หญิงแม้แต่ครั้งเดียว

“แล้วปริมเขาเคยถามอะไรถึงฉันบ้างมั้ย”
ปรามยิ้ม “ไม่เคยเลยว่ะ”

สีหน้าเพื่อนหนุ่มหงอยลงทันที

“เฮ้ย! อย่าทำเป็นหงอย เหมือนไก่คอตกอย่างงั้นสิวะการ หรือว่าแกเป็นไข้หวัดนกวะ ตอนนี้กำลังระบาดนะ แบบนี้แกต้องอยู่ห่าง ๆ น้องข้านะเว้ย“

“ปราม! อย่าเพิ่งเล่นมุกสิวะ คนยิ่งจ๋อย ๆ อยู่”

ปรามตบต้นแขนเพื่อนป้าบใหญ่ “ปริมเขาเป็นคนเก็บความรู้สึกนะ แต่ก็มีมาแอบถามถึงนายบ้างเหมือนกัน”

“แล้ว…ถามอะไรถึงฉันบ้างล่ะ” สีหน้าแจ่มใสขึ้นมาอย่างออกนอกหน้าออกตาทันที เขย่าแขนเพื่อนจนหัวสั่นหัวคลอน
“ก็เวลาแกหายหน้าไปนาน ๆ เขาก็มาเลียบ ๆ เคียง ๆ ถามถึงแกแหละ แต่ไม่ถามตรง ๆ หรอก ลีลาเยอะจะตายไป แต่ข้ารู้ เขาถามถึงแกแหละ”

ปฏิการจึงยิ้มแก้มปริออกมาได้

“ข้าจะบอกให้ว่า เขารักใครยากนะ และคนที่มีความเพียรพยายามอย่างแท้จริงเท่านั้นที่จะเอาชนะหัวใจของปริมได้ ที่สำคัญความรักบังคับกันไม่ได้นะ ข้ากลัวแกจะทุ่มเทเปล่าประโยชน์ เขาเป็นคนใจแข็งนะ”

“ฉันรู้…ฉันไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ หรอก ฉันก็จะไม่บังคับเขานะ เพียงแค่จะทำให้เขารู้ว่า ฉันจะพยายามอย่างเต็มที่ และจะทำเพื่อเขาอย่างดีที่สุดแล้วเท่านั้น” เขาหันไปยิ้มให้เพื่อน

เขาไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่า ทำไมถึงรู้สึกอยากทุ่มเทเพื่อเธอขนาดนี้ ไม่ว่าจะยากเย็นแค่ไหนก็ตาม เหมือนมีสิ่งหนึ่งคอยบอกตัวเขาเองมาตลอดว่า หัวใจของเธอมีค่ามากพอที่เขาจะต้องฝ่าฟันเอามาครอบครองให้ได้ และรู้ดีว่ามันไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ เลย ที่เธอจะยอมรับใครในฐานะคนพิเศษของหัวใจสักคน เพราะนั่นหมายถึง คน ๆ นั้นจะเป็นคนที่เธอแคร์ที่สุด คน ๆ นั้นจะเป็นคนที่เธอใส่ใจที่สุด และได้รับความพิเศษที่สุดจากเธอ เป็นคนแรกที่เธอจะคิดถึงก่อนใคร เหมือนที่เขาเคยเห็นปริมคอยดูแลเอาใจใส่พี่ชายคนเดียวของเธอมาตลอดเป็นอย่างดีเสมอ

“ไม่ว่าเขาจะยอมรับฉันฐานะไหน ฉันก็พร้อมจะยอมรับทั้งนั้นแหละ ฉันจะไม่เสียใจกับสิ่งที่ได้ทุ่มเทลงไปเพื่อเขาแน่นอน”

“งั้นต่อไป ข้าก็จะได้เห็นแกตัดผมสั้นซักทีสิวะ” ปรามพูดพลางหัวเราะร่วน แกล้งเย้าเพื่อนเล่น เพราะรู้ดีว่าปฏิการรักผมยาว ๆ มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว

“ฉันก็กำลังหนักใจอยู่เหมือนกัน ผมฉันมันเกี่ยวอะไรด้วยวะ” คิ้วเข้มขมวดย่นขึ้นมาทันทีกับคำถามที่ยังหาคำตอบไม่ได้นี้
“แต่ถ้าฉันแน่ใจว่า ฉันรักเขาจริง ๆ เมื่อไหร่ เมื่อนั้นฉันจะยอมตัดผมเพื่อเขา” ประกายสายตานั้นดูจริงจังเป็นพิเศษ

เรื่องเดียวที่เขารู้สึกอึดอัดใจหากจะต้องตัดผมทิ้ง เขาคงรู้สึกเสียดาย และคงต้องทำใจอีกสักระยะหนึ่ง

ปรามมองหน้าเพื่อนพลางยิ้มอย่างให้กำลังใจ เขารู้สึกดีใจที่เห็นเพื่อนเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นเรื่อย ๆ ความรักมีพลังและอนุภาพขนาดนี้เชียวหรือ ที่ทำให้คน ๆ หนึ่งเปลี่ยนแปลงได้ขนาดนี้ อดรู้สึกขำและแปลกใจไม่ได้ ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้เขาและเพื่อนทุกคนเฝ้าบอกปฏิการ ให้หยุดใส่ใจเรื่องทางบ้านของเขาเสียทีมาตลอด ให้หันมาทำตามหน้าที่ของตัวเอง แต่เขาก็ไม่เคยเชื่อถ้อยคำของเขาและเพื่อน ๆ เลย แต่กลับมาเชื่อคำพูดไม่กี่คำของเด็กสาวคนหนึ่งเท่านั้นเอง


==================

ตอนที่ 6

ลำแสงจากไฟฉายส่องเป็นทางยาวตัดความมืด เสียงฝีเท้าตามจังหวะการก้าวเดินดังขึ้นท่ามกลางความเงียบเป็นระยะ ๆ สายตามองไปยังบริเวณที่นั่งรอบกองไฟเมื่อคืนนี้ นั่นคือจุดนัดพบกันของยามเช้ามืด กองไฟยังมีแสงสว่างอยู่ ร่างสูงนั่งหันหลังให้อยู่คนเดียว แผ่นหลังกว้างนั้น เธอมองปราดเดียวแล้วยิ้ม

“พี่ปราม ตื่นเช้าจัง เป็นนัมเบอร์วันเลยนะคะ” ปริมทักทายพี่ชายเสียงสดใส เมื่อเดินมาถึง แล้วนั่งลงข้าง ๆ

ปรามหันหน้ามามอง
“ปริมก็เหมือนกันนะ นอนไม่หลับหรือไง” เขาโยนกิ่งไม้ที่เป็นเชื้อเพลิงเข้าไปในกองไฟ
“ตื่นเต้นค่ะพี่ปราม อยากไปดูพระอาทิตย์ขึ้นจากสายหมอก” เด็กสาวยิ้มแย้มร่าเริง
“พี่ปรามฝากคืนนายปฏิการด้วยนะ เขาให้ยืมใส่เมื่อคืนนี้” ปริมส่งเสื้อหนาวสีน้ำตาลให้พี่ชาย
“เอ้า! คืนเขาเองสิ พี่ไม่เกี่ยวนะ” ปรามไม่ยอมรับเสื้อหนาว นั่งทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ เอาไม้เขี่ยกองไฟไปมา
“แหม…พี่ปรามอ่ะ ฝากหน่อยก็ไม่ได้” เด็กสาวทำเสียงอู้อี้ในลำคอ “แล้วตอนอยู่บนรถตู้น่ะ พี่จะต้องไปขับรถต่อจากปฏิการ ทำไมไม่บอก” เธอเริ่มซักไซ้เอาเรื่องพี่ชาย

ปรามหันมาเลิกคิ้ว
“ก็เรานั่งหลับสบายอยู่นี่ ก็เลยไม่ได้ปลุก ปล่อยให้นอนแล้วยังมาว่าอีกนะ”
“ก็ไม่รู้นี่ว่านายปฏิการจะมานั่งด้วยนี่”
ปรามยิ้ม “แล้วไอ้การทำไรปริมรึเปล่า บอกพี่มาเลย เดี๋ยวพี่จัดการมันเอง”

ปริมสั่นหัว “เปล่าค่ะ นั่งกอดอกตัวตรงแน้วเลย” พูดพลางหัวเราะ
“แล้วตอนขึ้นเขามาที่พัก พี่ปรามหายไปไหน ไหนบอกจะคอยดูแลปริมไง ทิ้งให้ปริมเดินอยู่คนเดียวนะ”
“พี่ต้องขับรถไปซื้ออาหารในเมืองมาให้ไง” มองน้องสาวนั่งสอบสวนตัวเขาด้วยความเอ็นดู คำตอบของปรามทำให้ปริมไม่สามารถต่อว่าต่อขานอะไรพี่ชายได้อีก

“พี่อาจจะไม่ได้อยู่ใกล้ ๆ ปริมนะ แต่พี่ก็คอยดูแลปริมอยู่ห่าง ๆ เสมอ”

เขาโอบไหล่น้องสาวอย่างเอาใจเป็นการขอโทษ น้องสาวหัวดื้อจึงต้องยอมจำนนโดยปริยาย เธอซุกตัวอยู่ในอ้อมแขนอันอบอุ่นของพี่ชาย เขาเปรียบเสมือนตัวแทนของพ่อและแม่ที่แยกทางกันไปคนละทาง เพราะความไม่เคยอดทน และไม่เคยพยายามเข้าใจกันและกัน

“แล้วเรายังไม่ใจอ่อนอีกหรอ ไอ้การออกจะแสนดีขนาดนี้ รู้รึเปล่า เขาไม่เคยจีบผู้หญิงคนไหนเลยนะ นอกจากปริมคนเดียว”

“แหม…เชียร์กันจังเลยนะ” ปริมขยับตัวออกมานั่งหน้าปั้นปึ่งแล้วเงียบไปนาน ได้แต่นั่งมองเปลียวไฟระริกเต้นไปตามท่วงทำนองการร่ายรำของพระเพลิง เศษไม้แตกดังเปรี๊ยะ เกิดสะเก็ดไฟเล็ก ๆ แล้วกระจายหายไปในอากาศ

“ว่าไงล่ะ ปริม ยังไม่ตอบพี่เลย”

ปริมดึงมือพี่ชายมากุมไว้
“ฉันยังไม่รู้เลย…ใครที่ฉันจะไว้ใจ สนิทใจ ใกล้ชิดกับเขาได้มากเท่าพี่ปรามแบบนี้ มันยากนะ ฉันกลัวนะ กลัวจะเหมือนพ่อที่ทอดทิ้งแม่ไปมีคนอื่น ฉันคงเสียใจ ความรักที่เกิดขึ้นง่าย ๆ มันก็มักเลิกง่าย ๆ นะคะพี่ปราม” เสียงเด็กสาวเศร้าสร้อยลง ภาพแม่ร้องไห้ทุกวันทุกคืนเมื่อรู้ว่าพ่อมีผู้หญิงคนอื่นปรากฏขึ้นในห้วงนึกและยังชัดเจนเสมอเมื่อนึกถึง

“เขาคงไม่เป็นอย่างนั้นหรอก คนดี ๆ อย่างไอ้การ พี่กลัวว่าเขาจะหมดกำลังใจ ท้อใจซะก่อนนะ ปริมตั้งกำแพงสูงเกินไปรึเปล่า”

“ก็ช่างเขาสิคะ” เสียงปริมหนักแน่นขึ้นมาทันที

“เรามันใจแข็งจริง ๆ น้า…” พี่ชายโครงหัวเด็กสาว

“เพิ่งรู้หรอคะ พี่ปราม” เด็กสาวหัวเราะเสียงใส “ปริมเป็นคนดื้อนะคะ โดยเฉพาะเรื่องของความรัก ปริมมีความคิดเป็นของตัวเองสูงมาก แม้ว่า การเชื่อมั่นในความคิดของตัวเองนี้นั้น อาจจะทำให้ปริมไม่ได้เจอคนที่เรารักอีกเลยก็ตาม ปริมคงยอมละทิฐิ ทิ้งศักดิ์ศรีที่มันค้ำคออยู่ไม่ได้นะคะ หากแม้เราจะไม่ได้รู้จักเขาอีกเลยก็ตาม ปริมถือว่า เราไม่ใช่คู่กัน หากเป็นคู่กันแล้ว เขาน่าจะมีความพยายามมากกว่านี้ ปริมจะไม่ยอมปล่อยหัวใจของตัวเองให้ใครง่าย ๆ หากปริมไม่มั่นใจ ไม่แน่ใจ ปริมจะไม่ขอเสี่ยงค่ะ และจะไม่ยอมเสียความรู้สึกดีดี เพราะเราตัดสินใจผิดพลาดไป ปริมต้องใช้เวลาดูนานมาก นานจนอาจไม่มีใครรอไหว นั่นก็หมายถึงเขาไม่มีความมั่นคง และหนักแน่นพอ ที่ปริมจะมอบความรู้สึกพิเศษนี้ให้กับเขาได้” เธอสาธยายหลักการของตัวเองอย่างยืดยาว

“หืม…น้องสาวเราช่างคิดจริง ๆ มองการไกลนะจ๊ะ”

“ก็ถ้าใครทำให้ปริมรักได้ ก็จะรักคนเดียว และรักตลอดไปค่ะ จะให้รักใครง่าย ๆ ได้ไงละคะ ว่าแต่…แล้วเรื่องหวานใจพี่ปรามละคะ” ปริมแหย่พี่ชายบ้าง เพราะรู้ว่า เขาแอบชอบสาวคนหนึ่งอยู่ แต่ไม่กล้าแสดงตัว

“อะไรเล่า วกมาหาพี่จนได้นะ” ปรามทำเฉย ๆ ไม่รู้ไม่ชี้เขี่ยกองไฟไปมา แอบซ่อนยิ้มอย่างเขิน ๆ เอาไว้ในสีหน้าเรียบเฉย “ถ้าเขาหินแบบปริม พี่คงต้องตายแน่ ๆ เลย” เขาหันมาเขย่าหัวน้องสาวจอมดื้อ

“พี่ปรามน่ะ เป็นผู้ชายนะคะ ถ้าชอบใครต้องกล้า ๆ หน่อยนะ ผู้หญิงเขาจะเสียหายถ้าให้เขาแสดงตัวก่อน รู้มั้ย” เด็กสาวยื่นหน้ามาแนะนำให้อีก

“แบบปฏิการใช่มั้ย” พี่ชายหันมาเอาคืน

“พูดงี้นะพี่ปราม ไม่คุยด้วยแล้ว” เด็กสาวลุกขึ้นสะบัดหน้าเดินหนี ชนเข้าอย่างจังกับคนที่มายืนอยู่อย่างเงียบเฉียบครู่หนึ่งแล้ว เขารีบช่วยพยุงตัวเธอเอาไว้

ปริมอึ้ง ทำอะไรไม่ถูกอยู่ชั่วอึดใจเดียว ก่อนจะรีบถอยตัวออกมาทันที อยากจะต่อว่าเขาก็ไม่ได้เพราะเธอเป็นคนชนเขาเองต่างหาก นึกโกรธตัวเองที่ทำอะไรเซ่อซ่าอีกจนได้

“เอาของนายคืนไป” เธอทุ่มเสื้อหนาวใส่คนหนุ่มที่ยืนงง แล้วเดินอ้าว ๆ ไปรวมกลุ่มกับสาว ๆ ที่เดินมาถึงแล้ว

================


ขอบฟ้าปรากฏสีชมพูจาง ๆ ที่ปลายฟ้าด้านตะวันออก ดวงดาวดวงสุดท้ายหายลับไปกับขอบฟ้านานแล้ว บรรยากาศยามเช้ายังมืดสลัวอยู่ อากาศยังเย็นจนทุกคนต้องซุกมือเอาไว้ในกระเป๋าเสื้อและกางเกงตามระเบียบ บางคนไม่ยอมใส่เสื้อหนาว มายืนปากสั่นทำตัวห่อ ๆ กระโดดเหยง ๆ ไปมาด้วยความหนาว ไอร้อนจากภายในร่างกายเมื่อเอ่ยคำพูดกระทบกับความเย็นของภายนอก ทำให้กลายเป็นควันสีขาวขมุกขมัวทุกครั้งที่ส่งเสียงเจรจาพาที หนุ่มสาวต่างเฝ้ารอการปรากฏตัวของดวงอาทิตย์ และเตรียมเก็บภาพสวย ๆ กันอย่างใจจดใจจ่อ สายหมอกล่องลอยอยู่ใกล้ราวกับจะจับต้องได้ ทะเลหมอกกลางหุบเหวบนยอดผาสูง งดงามเหมือนดินแดนในเทพนิยาย

อีกไม่กี่นาทีต่อมาพระอาทิตย์ดวงกลมสีแดงแจ่มจ้าดวงมหึมาค่อย ๆ ฝ่าสายหมอกขึ้นมาฉายรังสีสีทอง ราวกับดวงตะวันกำลังยิ้มแย้มแจ่มใสทักทายทุกชีวิตบนโลกนี้อย่างเบิกบานใจ เป็นภาพที่งดงามเหลือเกิน

หนุ่มสาวต่างรวมตัวกันแน่นเอี้ยดในกรอบสี่เหลี่ยมของกล้องที่เตรียมกดชัตเตอร์เพื่อบันทึกภาพและลีลาหลากหลายท่าทางสุดบรรยายของทุกคนเอาไว้ ที่ต่างเต็มไปด้วยความสนุกสนานร่าเริงเฮละโลโห่หิ้วไปตาม ๆ กัน

ดอกไม้หลากชนิด หลากหลายสีสันถูกปลูกสลับสับหว่างกันไว้เป็นชั้น ๆ ลดหลั่นกันเป็นขั้นบันไดตามไหล่ทางของหุบเขา ผีเสื้อน้อยบินมาเป็นพระเอกประกอบฉากที่ดูเข้ากันที่สุด เพราะผีเสื้อย่อมคู่กับดอกไม้เสมอ

ปริมนั่งดูดอกไม้สีเหลืองสดที่มีผีเสื้อปีกบางกำลังบินวนเวียนอยู่เหนือดอกไม้งาม ลวดลายสีสันบนปีกผีเสื้อเป็นสีครามเหมือนท้องฟ้าของยามเช้า ผีเสื้อสีหวานสดใสบินมาเกาะเส้นผมตรงสีดำสนิทของเธอ พลางขยับปีกช้า ๆ

ปฏิการได้แต่เฝ้ามองปริมหัวเราะ ยิ้มแย้ม ร่าเริงอยู่ห่าง ๆ เกรงว่าถ้าเข้าไปใกล้ ๆ เธออาจจะไม่มีความสุขเท่าที่ควรและขาดเวลาที่เป็นส่วนตัว ได้แต่นึกอิจฉาผีเสื้อสีสวยที่ได้มีโอกาสอยู่ใกล้ชิดเธอและได้รับความสนอกสนใจจากเธอขนาดนั้น
ปรามสังเกตเห็นสีหน้าของเพื่อนสาวที่ยืนอยู่ข้าง ๆ สีหน้าไม่ค่อยดีนักหลังจากวางสายโทรศัพท์ไป ยังไม่ทันจะได้คิดอะไรต่อ เขาต้องรีบคว้าร่างของเธอเอาไว้ แล้วรีบประคองหญิงสาวที่หมดสติไปนั่งพักบนก้อนหินเตี้ย ๆ ใต้ร่มไม้ ชายหนุ่มรีบเรียกน้องสาวเข้าไปช่วยปฐมพยาบาล ด้วยเกรงอาจจะดูไม่งามที่เขาจะคอยดูแลหญิงสาวด้วยตัวเอง

ปริมอยากจะล้อเลียนพี่ชายที่ได้มีโอกาสอยู่ใกล้ชิดกับคนที่เขาแอบฝันอยู่ในใจเงียบ ๆ มานานแล้ว แต่เมื่อมองเห็นสีหน้าจริงจังที่เปี่ยมด้วยความกังวลและเป็นห่วงหญิงสาวในอ้อมแขนของเธอเอามาก ๆ จึงได้แต่หุบปากนิ่งไว้

เพื่อน ๆ ต่างทยอยกันเข้ามานั่งล้อมอยู่ใกล้ ๆ อย่างเป็นห่วงเป็นใยกันทุกคน

“พี่ปิ่นเป็นไงบ้างคะ” ปริมรีบเอ่ยถามเมื่อมองเห็นเปลือกตาของหญิงสาวขยับตัว แล้วค่อย ๆ ลืมตาขึ้น หน้าซีดขาวเมื่อครู่เริ่มมีสีเลือดขึ้นมาบ้าง
“ไม่เป็นไรแล้วจ้ะปริม” ปิ่นขวัญขยับตัวลุกขึ้นนั่งตามปกติ
“ที่บ้านเกิดอะไรขึ้นรึเปล่าครับ” ปรามรีบถามไถ่อย่างห่วงใย
“เราคงเที่ยวต่อกับพวกนายไม่ได้แล้ว แม่เราอาการทรุดลงกะทันหัน เราคงต้องรีบกลับก่อนนะ”
“เอางี้สิ เราเปลี่ยนแผน ไปบ้านปิ่นแทน แล้วก็ถือโอกาสไปเยี่ยมแม่ปิ่น และเที่ยวบ้านปิ่นด้วยเลย เป็นไง” เพื่อนสาวคนหนึ่งเสนอขึ้น
“ใช่ ๆ “ เพื่อน ๆ หลายคนต่างสนับสนุนและเห็นพ้องต้องกันเป็นเอกฉันท์

จากนั้นทุกคนจึงกลับไปเก็บข้าวของเพื่อเดินทางมุ่งหน้าตรงไปยังจังหวัดกาญจนบุรี

================

ลมพัดหอบความสดชื่นขึ้นมาจากแม่น้ำแคว ต้นไม้ที่ขึ้นครึ้มริมแม่น้ำ เสริมให้ศาลาน้อยริ่มตลิ่งดูร่มรื่น เสียงเครื่องแขวนดินเผารูปแมวหน้าตาขี้เล่นดังกรุ๊งกริ๊งตลอดเวลายามต้องลม เสียงเจื้อยแจ้วของนกเสียงใสคุยกันกระจุ๊กกระจิ๊ก แดดใสส่องแสงผ่านใบไม้และกิ่งก้านสาขาลงมายังพื้นดิน ใบไม้แห้งปลิดตัวเองออกจากขั้วร่วงหล่นเกลื่อนกระจัดกระจาย บรรยากาศแจ่มใสรอบข้างไม่อาจทำให้หัวใจหม่นหมองของหญิงสาวดีขึ้นได้เลย ด้วยคนที่รักเธอที่สุดล้มป่วยลง อาการทรุดหนักมากกว่าเดิม และยังไม่มีอาการดีขึ้น

ปรามแยกกับเพื่อน ๆ ที่เดินทางจะไปท่องเที่ยวตัวจังหวัดของเมืองกาญจนบุรีมาเดินตามหาคนที่หัวใจของเขาแสนห่วงใยเหลือเกิน ยิ่งเห็นเธอกำลังทุกข์เช่นนี้ ทำให้เขายิ่งไม่มีกะจิตกะใจจะไปเที่ยวที่ไหนทั้งนั้น

เสียงฝีเท้าของชายหนุ่ม ทำให้หญิงสาวที่นั่งหน้าเศร้าอยู่ก่อนหันมามอง รีบพยายามกลบเกลื่อนด้วยรอยยิ้ม และทำตัวเองให้ร่าเริงขึ้น
“อ้าว…ปราม ทำไมไม่ไปเที่ยวกับเพื่อน ๆ ล่ะ” เธอพยายามถามด้วยน้ำเสียงแจ่มใสปกปิดความเศร้าเอาไว้ หายใจเข้าปอดลึก ๆ เพื่อกลืนน้ำตาที่รื้นขึ้นมาคลออยู่ที่ขอบตาเสมอ

เขาเดินเข้ามาในศาลาน้อยแล้วนั่งลงข้าง ๆ เธอ ในมือถือน้ำส้มคั้นสดมาให้
“ทานน้ำส้มก่อนนะ”

เธออยากจะปฏิเสธ เพราะรู้สึกลำคอมันตีบตันจนกลืนอะไรไม่ลง แต่พอมองสีหน้าและแววตาของเขา จึงไม่อาจเอ่ยคำปฏิเสธทำลายความตั้งใจดีของเขาได้

ปิ่นขวัญยกน้ำส้มขึ้นจิบอย่างช้า ๆ สายตาของเขาที่คอยเฝ้ามองอย่างห่วงใยตลอดเวลาทำให้เธอต้องพยายามกลืนน้ำส้มลงลำคออย่างยากลำบาก ด้วยนิสัยที่แคร์ความรู้สึกของคนอื่นเสมอ

“ปรามทานอะไรหรือยัง” เธอถามเขาที่นั่งขรึมนิ่งไม่พูดไม่จา ไม่รู้ว่าต้องการเลียนแบบอาการเศร้าของเธอหรืออย่างไร

เขาไม่รู้จะตอบอย่างไรดี เพราะเกรงคำตอบอาจทำให้เธอรู้สึกไม่สบายใจ

“ปราม…เราไม่เป็นไรหรอก อย่าห่วงเราเลยนะ นายต้องห่วงตัวเองด้วยนะ” เธอรู้คำตอบที่มาจากความเงียบงันของเขา

“เราจะไม่กินข้าวเป็นเพื่อนปิ่น”

หญิงสาวถอนหายใจ เธอเป็นทุกข์กับอาการป่วยของแม่เธอมามากแล้ว ยังต้องมาเป็นทุกข์เพราะเพื่อนเป็นทุกข์เพราะเธออีกหรือนี่…

“ไม่ได้นะปราม เดี๋ยวจะป่วยไม่สบายไปอีกคน เราต้องโดนปริมต่อว่าแน่ ๆ เลย”
“เราจะบอกปริมเองว่าไม่เกี่ยวกับปิ่นนะ”

“หิวมั้ย” เธอถามชายหนุ่มอย่างห่วงใย ดูเขาซูบผอมลงไปมากทีเดียว

ปรามพยักหน้า ตามด้วยเสียงท้องร้องของจริง
หญิงสาวหัวเราะ “ถ้าบอกว่าไม่หิวนะ ใครจะเชื่อ”

ชายหนุ่มจึงยิ้มออกมาได้บ้าง เขาเอื้อมมือไปวางบนมือของหญิงสาวที่วางอยู่บนโต๊ะ เป็นครั้งแรกที่เขากล้าตัดสินใจบอกความต้องการของหัวใจตัวเองกับเธอ

หญิงสาวนิ่งเงียบงันไปชั่วขณะ สมองหยุดการสั่งการชั่วคราว เหมือนเครื่องคอมเกิดอาการแฮงค์

“เอ่อ…”

สายตาชายหนุ่มที่มองตรงมาทำให้คิดไม่ออกบอกไม่ถูกไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี

“ปราม…”

แต่ในที่สุดก็พูดออกไปจนได้

“นี่…มันมือของเรานะ มือนายอีกข้างมันอยู่ตรงหน้านายต่างหาก”

ปรามยิ้มน้อย ๆ

เขาเอื้อมมืออีกข้างมากุมมือของเธอเอาไว้อีกต่างหาก

“ปิ่นไปกินข้าวกันเถอะ เราขอร้อง เราหิวจะแย่อยู่แล้ว”

ปิ่นขวัญกลั้นหัวเราะเอาไว้ก่อนที่จะระเบิดเสียงหัวเราะก๊ากออกมา

“เร็วปิ่น ไปกินข้าวกันเถอะนะ” เขาลุกขึ้นดึงมือเธอให้เดินออกไปด้วยกัน
“บ้าจังเลยปราม แค่นี้ต้องทำซึ้งด้วย” เธอแอบซ่อนยิ้มไว้ในแววตา
“ก็ไม่รู้จะทำยังไงให้ปิ่นหายเศร้าแล้วไปกินข้าวกับเรานี่นา…”
“นี่เลิกซึ้งได้แล้ว ปล่อยมือเรานะ” พยายามขยับมือออกจากมือชายหนุ่ม

“โน” เขารั้งมือของเธอเอาไว้ไม่ยอมคืนให้เจ้าของ

“เอ๊….เราเป็นอะไรกันมิทราบคะ”

“เป็นสิ” เขาหยุดเดินหันมาสบตาหญิงสาว

“เป็นคนที่หัวใจเราตรงกัน”

ปิ่นขวัญพยายามทำหน้าเฉย ๆ แต่สีหน้ากลับแดงเอา ๆ กลายเป็นสีชมพู
“โน่น…ร้านอาหารอยู่ทางโน้น หันไปทางโน้นได้แล้ว”

ปรามยิ้มหันหน้าไปตามที่เธอบอกอย่างว่าง่าย เขาถามตัวเองเสมอว่าทำไมชอบผู้หญิงคนนี้เหลือเกิน เพราะไม่ว่าเธอจะมีทุกข์ขนาดไหน เธอแคร์ความรู้สึกของคนอื่นเสมอ

=================

ตอนที่ 7

เหล่าหนุ่มสาวตระเวนเยี่ยมชมสถานที่สำคัญของตัวจังหวัดกาญจน์บุรี เริ่มต้นด้วยการตะลุยน้ำตกเอราวัณในช่วงเช้า ช่วงบ่ายเดินเที่ยวร้านค้าต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นร้านขายของที่ระลึก ร้านขายขนม และอื่น ๆ เนื่องจากไม่ใช่วันหยุด ผู้คนจึงบางตา สถานที่แหล่งสุดท้ายที่ทุกคนจะไปเที่ยวชม ได้แก่สะพานข้ามแม่น้ำแคว ที่มีประวัติความเป็นมาตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่สอง

ภาพการเคลื่อนไหวของเด็กสาวสะท้อนเงาอยู่บนพื้นแว่นสีดำของชายหนุ่ม เขารีบยกแก้วน้ำเก๊กฮวยขึ้นดื่มอย่างรวดเร็ว รสชาดหวานเย็นชื่นใจ ช่วยละลายความร้อนของบรรยากาศได้ดี แล้วเดินถือถุงน้ำเก๊กฮวยตามเธอไป เริ่มเร่งฝีเท้าเร็วขึ้นเพื่อเดินให้ทันเธอ หลังจากได้แต่เดินตามห่าง ๆ มาตลอด

“ปริม…ทานน้ำเก๊กฮวยจ้ะ” เขายื่นถุงพลาสติกที่มีน้ำสีเหลืองเข้มส่งให้
“ขอบใจ นายกินเถอะ” เธอปฏิเสธ อันเป็นนิสัยที่ไม่ยอมรับของใครง่าย ๆ ตามเคย
“ทานหน่อยน่า… ช่วยทำให้คลายร้อนดีเหมือนกันนะ” เขาพยายามพูดให้เธอรับไว้

แต่เธอยังคงรักษาอาการเฉยชาเหมือนเดิม

“ปริมยังเห็นฉันเป็นคนอื่นอยู่ใช่มั้ย ถึงไม่ยอมรับ” พลางจ้องหน้าสาวน้อยตรงหน้า น้ำเสียงแฝงความน้อยใจเอาไว้

“ไหนปริมบอกว่ายอมรับฉันเป็นเพื่อนแล้วไง ปริมโกหกใช่มั้ย…”

“เปล่า…นายอยากเป็นเพื่อนกับฉันจริง ๆ หรอ ถ้านายทำให้ฉันสัมผัสได้ว่านายอยากเป็นเพื่อนกับฉันจริง ๆ ฉันก็พร้อมจะยอมรับนายเหมือนกัน”

“จริงสิปริม อยากเป็นเพื่อนปริมนะ” น้ำเสียงนั้นเริ่มแจ่มใสขึ้น
“ก็ได้” ปริมรับน้ำเก๊กฮวยมาดื่ม
“อร่อยมั้ย ชอบรึเปล่า” เขาเห็นเธอก้มหน้าก้มตาดูดเอา ๆ อย่างเอร็ดอร่อยเชียว
“ชอบมากเลย ยิ่งทานตอนอากาศร้อน ๆ แบบนี้มันสดชื่นดีนะ” พร้อมกับพยักหน้าหงึก ๆ

ภาพที่เธอเผลอเป็นกันเองกับเขาขณะนี้ เป็นภาพที่น่ารักน่าเอ็นดูเหลือเกิน ทำอย่างไรเธอจะเป็นกันเองกับเขาตลอดเวลาอย่างนี้ตลอดไป

“ปริม…ไม่อยากเป็นเพื่อนเฉย ๆ อยากเป็นเพื่อนใจได้มั้ย”

“แล้วเป็นเพื่อนเฉย ๆ ไม่ได้รึไง” เธอเริ่มหัวเสีย น้ำเสียงเครียดขึ้นมาทันที รีบจ้ำเท้าเดินหนี

“อีกแล้ว….” เขาบ่นตัวเอง เผลอพูดตามหัวใจตัวเองออกไปอีกแล้ว เขาไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน ทำไมนะ ถึงเป็นเพื่อนเฉย ๆ ไม่ได้ ทำไมต้องอยากเป็นมากกว่านั้นด้วยนะ ทำไมต้องอยากบอกเธอด้วยนะ ทำไมไม่เก็บไว้รู้คนเดียวนะ ทำไมนะ ทำไม…และทำไม…???

ปริมเดินมาถึงสะพานข้ามแม่น้ำแคว พื้นสะพานมีความกว้างประมาณสองเมตร สายตามองตรงไปยังสะพานตรงหน้า เท้าก้าวขึ้นไปบนสะพานเหล็ก รางรถไฟทอดตัวยาวข้ามไปยังอีกฝั่งตรงกันข้าม มองทะลุระหว่างแผ่นไม้ที่วางห่างกันเป็นระยะในแนวขวาง มองเห็นแม่น้ำลิบ ๆ เบื้องล่าง ใจรู้สึกหวิว ๆ ขึ้นมาอย่างรู้สึกกลัว กลัวความสูงของสะพาน และความเชี่ยวของแม่น้ำแคว รอบตัวว่างเปล่า ไม่มีราวให้เกาะยึดอะไรได้เลย

“เดินไปด้วยกันนะ” เสียงคนหนุ่มดังขึ้นข้างตัว

เด็กสาวหันมามองหนุ่มผมยาว

“ไม่! ต่างคนต่างเดินน่ะ ดีแล้ว นายอย่ามายุ่งกับฉันได้มั้ย”

เขายักไหล่ “ขอโทษทีนะ ที่ทำตามที่เธอขอร้องไม่ได้”
ปฏิการยิ้ม “เดินไปด้วยกันดีกว่าน่า…เดินคนเดียวเหงาออก เธอไม่กลัวเหรอ เผื่อเป็นอะไร ฉันจะได้ช่วยทัน”

“ไม่กลัว กลัวอะไร มีอะไรต้องกลัวด้วย” พูดจบรีบสาวเท้าเดินนำหน้าไปก่อน

ระหว่างทางต้องคอยเดินหลบผู้คนที่เดินสวนไปมาบ้าง ปริมเดินมาได้สักพักใหญ่ถึงกลางสะพาน มองฝั่งตรงข้ามที่ความรู้สึกบอกว่าไกลเหลือเกิน ทำไมไปไม่ถึงซักที

ความกลัวแทรกตัวขึ้นมาในสมองอีกแล้ว…

รู้สึกว่าอาการกลับหนักขึ้นกว่าเดิมเสียอีก

นึกกังวลใจ ถ้าหากรถไฟเกิดวิ่งข้ามมาตอนนี้จะทำอย่างไร! ถ้าเกิดเดินไปเดินมาเกิดสะดุดอะไรขึ้นมาล่ะ! จะคว้าอะไร จะยึดจับตรงไหน มองหาที่จับที่ยึดอะไรก็ไม่มี มันโล่งโจ้งไปหมด ความสูงของสะพานเมื่อมองลงไปยังแม่น้ำเบื้องล่าง ทำให้รู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง ตอนนี้เธอคิดถึงพี่ชายเหลือเกิน อยากให้เขามาคอยดูแลอยู่ใกล้ ๆ คงจะรู้สึกดีกว่านี้ เพื่อนฝูงเดินหนีหายไปไหนกันหมดนะ

ปฏิการเดินตามมาห่าง ๆ เห็นเธอหยุดเดิน และยืนนิ่งงันอยู่นานแล้ว รีบสาวเท้าไปยืนข้าง ๆ

“รอฉันเหรอ บอกแล้วให้เดินไปด้วยกันก็ไม่เชื่อ” เขาแกล้งเย้าแหย่เธออย่างอารมณ์ดี

ปริมไม่ตอบ เธอนิ่งเงียบจนเขารู้สึกถึงความผิดปกติ

“ไปกันเถอะ เดินไปด้วยกันนะ” เขาชักชวน เมื่อเห็นเธอยังยืนนิ่งเฉย

“ไม่ล่ะ ฉันจะเดินกลับแล้ว”

“อ้าว….!! ทำไมล่ะ ยังเดินไม่ถึงฝั่งนู้นเลย” เขาบ้ายหน้าไปยังฝั่งตรงกันข้าม

ชายหนุ่มจ้องหน้าเด็กสาวอย่างห่วงใย

“เป็นอะไรรึเปล่า…”

เธอเงยหน้ามองเพื่อนพี่ชาย น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความเอื้ออาทร ไม่ใช่การพูดหยอกล้ออย่างที่เคยได้ยิน

“ปริมกลัวเหรอ…”

เธอนิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้ารับ

“กลัวอะไร…”

“กลัว…” เธอมองหน้าเขาอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ แต่ทว่าในสายตาคู่นั้นของเขา ไม่มีแววตาล้อเลียนแม้แต่นิดเดียว กลับเต็มเปี่ยมด้วยความห่วงใย เขากำลังตั้งใจฟังทุกถ้อยคำของเธอ

“กลัวความสูง กับความเชี่ยวของแม่น้ำข้างล่าง” เธอพูดอ้อมแอ้มตะกุกตะกักอย่างไม่เต็มเสียง อดกลัวไม่ได้ว่าเขาอาจจะหัวเราะเยาะเอาที่ก่อนหน้านี้ทำเป็นเก่ง สุดท้ายเธอก็ต้องพึ่งพาเขาอยู่ดี

“ไม่ต้องกลัวนะ หายใจเข้าออกลึก ๆ ยาว ๆ ปริมจะรู้สึกดีขึ้น”

เขายื่นมือมาข้างหน้า

“เอ่อ…คือ…ไม่เป็นไรหรอก”

“งั้นก็ไปกันเถอะ เธอจะเดินกลับใช่มั้ย”

“ชะใช่…” ปริมพูดอย่างอึก ๆ อัก ๆ จะบอกเขาอย่างไรดีว่าขณะนี้ขามันสั่น ๆ และใจก็หวิว ๆ จนก้าวเท้าไม่ออกซะแล้ว

“ไปกันเถอะ” เขาย้ำอีกครั้ง แต่ยังคงเห็นเธอยืนนิ่งอยู่ที่เดิม

“ขอโทษนะ” เขาเอื้อมมือมาจับมืออันเย็นเฉียบของเธอไว้

ปริมมองมือตัวเองที่ตกอยู่ในมือเขา อยากจะยื้อเอาคืนมา แต่มันพูดอะไรไม่ออก มันจนคำพูดกับความสามารถของตัวเอง กับความไม่เอาไหน ที่ปล่อยให้ความกลัวเกาะกินความรู้สึกของตัวเองอย่างนี้ เรี่ยวแรงกำลังกลับเหมือนจะถดถอยลงไปทุกขณะ

“ไม่ต้องกลัวนะ หายใจเข้าลึก ๆ ยาว ๆ” พยายามดึงเธอให้ก้าวเดินไปพร้อมกัน

เธอพยายามทำตามอย่างที่เขาบอกแม้จะยังรู้สึกเกร็ง ๆ ไปหมด สมองตื้อเหมือนกับจะบังคับร่างกายไม่ได้

“ฉันอยู่ทั้งคน ไม่ปล่อยให้ปริมเป็นอะไรหรอก” เขามองหน้าขาวซีดนั้นอย่างห่วงใย พร้อมกับตบมือเธอเบา ๆ อย่างให้กำลังใจตลอดเวลา

“ดีขึ้นมั้ย” เมื่อรู้สึกว่าเธอดูผ่อนคลายมากขึ้น

ปริมพยักหน้าช้า ๆ หลบสายตาของเขาที่มองตรงมา ความกลัวค่อย ๆ ลดลง รู้สึกเริ่มมีกำลัง เริ่มมีแรงกลับคืนมา เพียงแค่มืออุ่น ๆ ของเขาจับมือของเธอเอาไว้อย่างนี้ ทำไมถึงรู้สึกอบอุ่นใจขึ้นมาอย่างประหลาด

“อย่ามองลงไปข้างล่างนะปริม มองหน้าหล่อ ๆ ของฉันอย่างเดียวพอแล้ว” เขาอดไม่ได้ที่จะเย้าแหย่

แต่เธอยังคงนิ่งเงียบไม่โต้ตอบอะไรแม้แต่คำเดียว ยิ่งเธอไม่พูดกลับยิ่งทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจ

“ไม่พูดอะไรบ้างหรอปริม ไม่ได้ยินเสียงเธอ รู้สึกเหงาหูยังไงไม่รู้”

ปริมได้แต่เงียบงัน ใจคอรู้สึกแปลก ๆ เพราะตั้งแต่เกิดมาผู้ชายที่เคยจูงมือเธอแบบนี้นอกจากพ่อแล้ว มีเพียงพี่ชายของเธอเท่านั้น

“ช่างเถอะ” เขากระชับมือของเธอแน่นขึ้น “พูดไม่ออกก็ไม่ต้องพูดก็ได้” เขาหันมายิ้มให้

“ให้ฉันจูงไปจนถึงฝั่งนะ”

เธอไม่ได้พูดอะไรอีกเลย ปล่อยให้เขาจูงมือและเดินตามเขาไปแต่โดยดี

เมื่อเท้าสัมผัสพื้นดินอย่างเต็มเท้า แรงกำลังคืนกลับมาเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ทันที
“ถึงฝั่งแล้วนะ” เธอทวงมือคืนจากหนุ่มผมยาว

“ปริม….” เขารู้สึกไม่อยากคืนมือให้เธอเลย

“ฉันขอเป็นคนจูงมือเธอแบบนี้ตลอดไป…ได้มั้ย….”

คำพูดทุกคำของเขามันดังก้องกังวาลเข้าไปในหัวใจน้อย ๆ ของเธอ ชั่ววินาทีเดียว ที่สติและความเป็นตัวของตัวเองกลับมาควบคุมความคิดของเธอไว้ทั้งหมด

“นายทำตามสัญญาที่ได้ให้ไว้กับฉันครบถ้วนแล้วหรือยัง” พลางขยับมือของตัวเองออกมาจากมือของชายหนุ่ม “กลับไปทบทวนให้ดีก่อนดีกว่า นายอย่าพูดอะไรจากอารมณ์ชั่ววูบ นายอาจจะแค่อยากเอาชนะฉันให้ได้เท่านั้นเอง” พูดจบเธอเดินแยกตัวไปสมทบกับกลุ่มเพื่อนที่รถตู้ ทิ้งให้เขายืนอารมณ์ค้างอยู่คนเดียว

คำพูดของปริมครั้งสุดท้ายทำให้ปฏิการต้องกลับไปนอนก่ายหน้าผากคิดอยู่นานหลายคืน และคิดได้ว่า การเข้าไปตามติดเธออย่างนี้ มันใช้ไม่ได้กับเธอเลย เขาควรเปลี่ยนวิธีใหม่ เพราะที่ผ่านมาเขาประสบแต่ความล้มเหลวตลอด เขาควรทำตัวเป็นเพื่อนกับเธอก่อน เพื่อให้เธอยอมรับเขาอย่างแท้จริง และให้ความสนิทสนมคุ้นเคยด้วยมากกว่านี้

หลังจากนี้สามเดือนเขาตั้งใจจะไม่ทวงสัญญากับเธออีกเลย จะพยายามทำตัวเป็นเพื่อนเธอให้มากที่สุด เพื่อเป็นการค้นหาหัวใจของตัวเองอย่างแท้จริง ถ้าเขาจะคิดกับเธออย่างเพื่อน เขาจะทำได้แค่ไหน หรือเขาเป็นเพียงอย่างที่เธอพูดเอาไว้เท่านั้น ไม่มีอะไรตอบคำถามในใจของเขาได้นอกจาก “เวลา” ที่จะให้คำตอบที่ชัดเจนกับเขาที่สุดในเวลาต่อมา

================
โดย: ริเศรษฐ์ วันที่: 10 ตุลาคม 2548 เวลา:20:59:59 น.
  
ตอนที่ 8

ปฎิการออกแรงกดปากกาลงบนปฏิทินขนาดเล็กเท่านามบัตรเป็นรูปกากะบาท ผ่านมาถึงเดือนที่สามแล้วที่เขาทำตามแผนสองเพื่อทดสอบหัวใจตัวเองอีกครั้ง เขาตั้งใจจะไม่ไปพบหน้าปริม จะไม่ไปหาปริมอีกเลย ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา หัวใจของเขานั่งนับวันเวลาทุกวัน ว่าเหลืออีกกี่วันจึงจะครบสามเดือนตามที่เขาได้ตั้งใจเอาไว้ รู้สึกวันเวลายาวนานเหลือเกิน ได้แต่เฝ้าบอกตัวเองว่าต้องอดทน

จนถึงตอนนี้ ครบกำหนดสามเดือนแล้ว แต่เขายังไม่อาจลืมปริมได้เลย เธอยังอยู่ในหัวใจของเขาเสมอ อยากพบเธอเหลือเกิน แต่ทำไมกลับรู้สึกกลัวและไม่กล้า ไม่รู้ว่าที่ผ่านมา เขาเองสร้างความรำคาญใจให้เธอรึเปล่า เขาทำให้เธออึดอัดใจรึเปล่า เขาทำให้เธอไม่สบายใจรึเปล่า เขาลืมนึกถึงจิตใจของเธอ ความรู้สึกของเธอเสียสนิทเลย บางทีเธออาจจะไม่ได้ชอบเขาจริง ๆ เขาคงไม่สามารถบังคับเธอให้รู้สึกเหมือนกันกับเขาได้ ความรู้สึกนี้เอง…ทำให้เขาไม่กล้าที่จะไปพบเธอ….

นึกถอยหลังทบทวนแผนหนึ่งก่อนหน้านี้ สามเดือนที่เขาได้ตั้งใจจะพยายามเป็นเพื่อนกับปริมอย่างแท้จริง จะไม่ทวงสัญญากับเธอ จะไม่เดินตามเธอ จะไม่ไปหาเธอบ่อย ๆ ถ้าไม่จำเป็น จะไม่ทำตัวเกินฐานะเพื่อนที่พึงกระทำ เขารู้สึกต้องต่อสู้กับความรู้สึกของตัวเองอย่างมาก ต้องต่อสู้กับความต้องการที่มีอยู่ข้างใน แต่ทว่าสามเดือนที่ผ่านมานั้นหัวใจของเขาก็ยังไม่อาจเป็นเพื่อนกับเธอได้อย่างสนิทใจอยู่ดี แม้จะได้พยายามแล้วพยายามอีกก็ตาม

แผนพยายามเป็นเพื่อนกับเธอได้ผลดีเกินคาด ปริมให้ความเป็นกันเองกับเขามากขึ้น ให้ความคุ้นเคยและสนิทสนมกับเขามากขึ้นกว่าเดิม และปฏิกิริยาของเธอมีผลต่อความรู้สึกของเขาด้วยเช่นกัน ที่กลับรู้สึกชอบความเป็นเธอมากขึ้น และมากขึ้นเรื่อย ๆ

เขาชอบเธอจริง ๆ หรือ? เขาตั้งคำถามกับตัวเอง

ปฏิการเก็บปฏิทินอันเล็กเข้ากระเป๋าสตางค์ เอื้อมมือหยิบกีต้าตัวโปรดข้างตัวขึ้นมาเกาเบา ๆ เขาพยายามหาอะไรทำเพื่อให้ความคิดถึงเธอเหลือเกินเลือนหายไปบ้าง ตอนนี้เขาเข้าชมรมดนตรีทำกิจกรรมของมหาลัยวิทยาลัยมากขึ้น เวลาที่จะหมกมุ่นคิดถึงเธอจึงมีน้อยลง แต่เขาก็ยังมีเวลาคิดถึงเธอเสมอ

“ไอ้การไปกินเหล้ากันนะคืนนี้” เพื่อนตะโกนบอกตั้งแต่โผล่หน้าเข้าประตูชมรมมา

ปฏิการยิ้ม “ไม่ล่ะ ขอบใจนะ”

“เฮ้ย! อะไรวะ แกจะเลิกกินเหล้าเพื่อผู้หญิงคนหนึ่งจริงหรือวะ แล้วตกลงเขาสนใจแกรึเปล่า เห็นได้แต่นั่งแอบคิดถึงเขาข้างเดียวนี่หว่า ยังต้องทำตามสัญญาอะไรที่ให้ไว้กับเขาอยู่อีกหรอ ข้าว่า แกจะแห้วซะมากกว่าละมั้ง” เพื่อนเขาเดินเร็ว ๆ เข้ามานั่งที่เก้าอี้ว่างตรงกันข้ามปากก็พูดไปเรื่อยเปื่อย

“ตอนนี้ ฉันไม่ได้รักษาสัญญาที่ให้กับปริมไว้แล้วล่ะ เพราะว่า มันเป็นตัวของฉันเองแล้ว ไม่รู้ทำไม มันไม่อยากไปใช้ชีวิตอย่างนั้นอีกแล้ว ฉันอยากตั้งใจทำอะไรที่ดีมีประโยชน์ อยากตั้งใจเรียนให้ดีเพื่อพ่อแม่บ้างเท่านั้นเอง”

“เป็นได้ถึงเพียงนี้นะ เพื่อนเรา ไม่น่าเชื่อเลย” เพื่อนเขาได้แต่เกาหัวอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง
“เฮ้ย! การงั้นแกไปช่วยเล่นดนตรีให้วงเพื่อนข้าหน่อยสิ ร้องเพลงอยู่ที่ร้านอาหารน่ะ ได้มั้ย”
“ขอโทษนะ ไม่ดีกว่า” ปฏิการปฏิเสธ
“เงินนะเว้ย การ! ไม่เอาหรอ ไม่เห็นผิดสัญญากับปริมซะหน่อยนี่นา”

“ฉันไม่อยากไปทำงานที่สนับสนุนให้คนต้องดื่มเหล้าเสียเงินเสียทอง และเสียอะไรต่ออะไรอีกมากมายตามมาอีกแล้ว”

“ไอ้การ แกมัวแต่รักษาสัญญาบ้าบออยู่อีก ปริมมีแฟนใหม่ไปแล้ว ข้าเห็นปริมนั่งรถไปกับหนุ่มหล่อรถป้ายแดงนะเว้ย” เพื่อนอีกคนหมั่นไส้พูดความจริงปนเรื่องโกหกไปบ้าง

ปฏิการไม่อยากเชื่อคำพูดของเพื่อน เพราะคิดว่ารู้จักนิสัยของปริมดี เธอไม่ใช่คนที่จะคบใครเป็นแฟนง่าย ๆ หรือแม้แต่ยอมรับของใคร ความช่วยเหลือจากใครง่าย ๆ ด้วยซ้ำไป เขาเชื่อว่าเธอต้องมีเหตุผลเสมอ แต่ก็ไม่อาจหลีกหนีความรู้สึกหวั่นไหวในใจได้เลย

ที่สำคัญเขาเคยเห็นหนุ่มคนนั้นยืนคุยกับเธอด้วยตาตัวเอง มีแต่คำถามเกิดขึ้นในใจมากมาย ในระยะนั้นเขากำลังทำแผนเป็นเพื่อนกับเธอ ทำให้เขาไม่กล้าถาม ไม่กล้าแสดงความรู้สึกที่แท้จริงในใจ และไม่รู้ว่าตัวเองมีสิทธิ์ที่จะถามรึเปล่า ในเมื่อเขายังไม่ได้รับการยอมรับจากเธอในฐานะคนพิเศษเลย อย่างไรก็ตามเขายังไม่อยากจะเชื่อความคิดของตัวเองทั้งหมด เพราะเป็นเพียงการเอาแต่คิดไปเองเท่านั้น และนี่อาจเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เขาไม่กล้าที่จะไปพบเธอ…

“การ น้องปลาฝากบอกว่าให้รอเขาด้วย จะแวะมาหาที่ชมรมเย็นนี้นะ” เพื่อนหนุ่มมือกีต้ารีบบอกอย่างนึกได้กลัวว่าจะลืมซะก่อน

“ แหม…เนื้อหอมจริง ๆ มีสาวมาหาได้ไม่เว้นแต่ละวัน แต่ละคน สุดจะน่ารัก” มือกลองค่อนแคะเพื่อนอย่างอิจฉาเล็กน้อย

“ไม่สนใจบ้างหรอการ สาว ๆ ออกจะหน้าตาสดใส จิ้มลิ้มทั้งนั้นเลยที่มาชอบแก สวยน่ารัก อ่อนหวานกว่ายัยปริมตั้งเยอะแยะ” เพื่อนมือคีบอร์ดถามขึ้นบ้าง

“เขายังเด็กกันอยู่เลย ฉันไม่ได้อยากมีเด็กไว้ต้องคอยดูแลนี่หว่า ฉันอยากมีคนที่พร้อมจะเดินเคียงข้างไปด้วยกันมากกว่า อีกอย่างมันไม่ยุติธรรมกับเขาเลย เพราะหัวใจฉันมันยังมีคนอื่นอยู่ในใจแล้ว จะให้ฉันรับใครได้อีก”

“ผู้ชายเจ้าชู้นิด ๆ หน่อย ๆ ไม่เป็นไรหรอกน่า…” มือเบทพูดขึ้นมาบ้าง หนุ่ม ๆ ต่างพากันหัวเราะครึกครื้นขึ้นมาอย่างเฮฮา
“อีกอย่างพวกเราก็ไม่ได้ไปทำไรเขานี่ แค่เย้าหยอกเล่นตามประสาหนุ่ม ๆ เฉย ๆ ไม่เป็นไรหรอก” มือกีต้าอีกคนรีบสนับสนุน

“ฉันไม่ชอบการพูดอะไรที่ไม่ตรงกับใจ มันอาจจะทำให้เขาเข้าใจผิด เขาจะได้ไม่เสียใจภายหลัง”

เพื่อน ๆ ต่างพากันโห่ฮาตามหลังมาเสียงดัง

“ไอ้การ น้องปลามาแล้วว่ะ” มือกลองที่นั่งอยู่ใกล้ประตูที่สุดตะโกนบอก

ปฏิการรีบลุกขึ้นยืน “งั้นฉันไปก่อนนะ” ยังไม่ทันพูดจบรีบเผ่นกระโดดออกไปทางหน้าต่าง

“เฮ้ย! อะไรของมันวะ”

================

คำถามของบรรดาเพื่อน ๆ วกวนอยู่ในสมองของปฏิการ

นั่นสินะ!!

ทำไมเขาถึงไม่ชอบน้องปลาที่แสนจะน่ารัก อ่อนหวาน สวยใสด้วยวัยสาว เขานึกถึงเด็กสาวผิวขาว ผมหน้าม้า แก้มสีแดง ดวงตาสดใส หมั่นมาหาเขาบ่อย ๆ พูดจาไพเราะเอาใจ แต่คำตอบในใจของเขากลับบอกว่า เขาไม่ได้ชอบผู้หญิงแบบนี้

คนที่เขาคิดถึงทำไมไม่มาหาเขาบ้างนะ? แต่เขารู้ดีว่า คนอย่างปริม ไม่มีวันมาหาเขาก่อนแน่นอน

“ปริมเป็นคนดื้อนะคะ โดยเฉพาะเรื่องของความรัก ปริมมีความคิดเป็นของตัวเองสูงมาก แม้ว่า การเชื่อมั่นในความคิดของตัวเองนี้นั้น อาจจะทำให้ปริมไม่ได้เจอคนที่เรารักอีกเลยก็ตาม ปริมคงยอมละทิฐิ ทิ้งศักดิ์ศรีที่มันค้ำคออยู่ไม่ได้นะคะ หากแม้เราจะไม่ได้รู้จักเขาอีกเลยก็ตาม ปริมถือว่า เราไม่ใช่คู่กัน หากเป็นคู่กันแล้ว เขาน่าจะมีความพยายามมากกว่านี้ ปริมจะไม่ยอมปล่อยหัวใจของตัวเองให้ใครง่าย ๆ หากปริมไม่มั่นใจ ไม่แน่ใจ ปริมจะไม่ขอเสี่ยงค่ะ และจะไม่ยอมเสียความรู้สึกดีดี เพราะเราตัดสินใจผิดพลาดไป ปริมต้องใช้เวลาดูนานมาก นานจนอาจไม่มีใครรอไหว นั่นก็หมายถึงเขาไม่มีความมั่นคง และหนักแน่นพอที่ปริมจะมอบความรู้สึกพิเศษนี้ให้กับเขาได้”

เขานึกถึงคำพูดของปริมที่บังเอิญได้ยินเธอคุยกับปรามตอนที่ไปแคมป์ด้วยกัน

“ปริมเธอคงคิดว่าฉันหมดความพยายามแล้วใช่ไหม” เขารู้สึกกังวลใจขึ้นมา เพราะเขาหายหน้าไปเลยไม่ได้พบเธอนานมาก

“เธอคงคิดว่า ฉันไม่มีความมั่นคงและหนักแน่นพอรึเปล่า…”

เด็กสาวร่างเล็กกระทัดรัด หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใสวิ่งผมกระจายมาหาชายหนุ่มที่เดินท่อม ๆ ผ่านมาทางโรงอาหารของมหาวิทยาลัย

“พี่การ สวัสดีค่ะ”

ปฏิการสะดุ้ง! ความคิดต้องหยุดชะงักกะทันหัน เมื่อเด็กสาวหน้าตาน่ารักเข้ามาทักทายอย่างใกล้ชิด จับมือของเขาบีบไว้แน่นอย่างดีอกดีใจสุดขีด

“สะ..หวัด..ดีครับ”

“วันก่อนที่พี่จัดดนดรีเพื่อการกุศล ปิงยังไปซื้อบัตรชมคอนเสริทของพี่เลยค่ะ จัดได้ดีมากนะคะ สนุกมากเลย โดยเฉพาะ พี่การค่ะ ร้องเพลงเพราะมาก ๆ เลยนะคะ” น้ำเสียงใสแจ๋วที่แฝงความขี้อ้อนหน่อย ๆ พร้อมกับรอยยิ้มหวานฉ่ำ อาจจะละลายหัวใจหนุ่ม ๆ ได้

แต่เขากลับรู้สึกว่า “น่ารำคาญ” มากกว่า

“ขอบคุณมากครับ เราก็ช่วย ๆ กันนะครับ” เขามองมือเด็กสาวที่ยังเกาะแขนของเขาแจยังกะแตงเม รู้สึกอึดอัดอยู่ในใจว่าจะทำอย่างไรดี ไม่อยากให้สาว ๆ สมัยนี้ทำกิริยาอย่างนี้เลย จะเตือนดีหรือเปล่า จะทำให้เสียความรู้สึกไหม ถ้าปล่อยอย่างนี้ต่อไปจะดีหรือ และอดไม่ได้ที่จะชื่นชมคนที่เขาแสนคิดถึงที่ไม่เคยทำอะไรอย่างนี้เลย

มองการแต่งตัวของเด็กสาวหน้าสวยคนนี้แล้ว ต้องแอบลอบถอนหายใจ เกิดคำถามขึ้นกับตัวเองอย่างสงสัย ทำไมนักศึกษาสาวสมัยนี้ชอบใส่เสื้อนักศึกษาตัวเล็ก ๆ รัดรูป บางคนกระดุมปริแล้วปริอีก ใส่กระโปรงสั้น แถมยังผ่า แหวกซ้ายแหวกขวา ผ่าหน้า ผ่าหลัง เป็นน้องนุ่งเขาจะจับมาตีและอบรมสั่งสอนเสียให้เข็ด ไม่อยากจะคิดเลยว่าเธอเหล่านั้นคิดอย่างไรถึงกล้าแต่งตัวแบบนี้ แล้วบรรดาผู้ชายที่มองจะคิดอะไร? อย่างไร? กับเธอเหล่านั้นบ้าง?

“ขอโทษนะครับน้อง ยืนห่าง ๆ นิดหนึ่งนะครับ มือด้วยนะครับ พี่ไม่รับฝากหรอก เดี๋ยวใคร ๆ จะมองไม่ดีนะครับ” เขาตัดสินใจเตือนมากกว่าที่จะปล่อยไป และเด็กสาวคนนี้ไม่ใช่คนแรกที่ถูกเขาเตือน

เด็กสาวหน้าจ๋อยลงไปทันที “แหม…พี่การก้อ…กลัวแฟนมาเห็นหรอคะ” เสียงหวานใสขี้อ้อนเปลี่ยนโทนเสียงเป็นเสียงสูงและแหลมขึ้นมาทันที

ปฏิการอึ้งไปชั่วขณะ เพราะคนที่เขาแสนจะคิดถึงกำลังเดินมาพอดี ช่างบังเอิญอะไรอย่างนี้นะ ความรู้สึกดีใจเป็นที่สุดที่ไม่ได้พบกันนานเหลือเกิน เขามองเธอก้มหน้าก้มตาเดินมา พร้อมกับค้นหาอะไรบางอย่างในถุงกระดาษที่หอบหนังสือแนบอกมาหนาปึ้ก เธอยู่ในชุดนักศึกษาเรียบร้อยมาก เสื้อตัวโตพลางสายตาจากทรวดทรงองเอวที่แท้จริง กระโปรงทรงเอสีดำยาวคลุมเข่าเสมอ รองเท้าผ้าใบสีขาวคู่เก่งที่เธอใส่มาตลอดไม่เคยเปลี่ยนซักทีถ้าไม่ขาดไม่พังกันไปข้างหนึ่งเสียก่อน

ถ้าเธอเห็นเขากับเด็กผู้หญิงคนนี้จะรู้สึกโกรธเขาบ้างรึเปล่า จะรู้สึกอย่างไรบ้างนะ

เด็กสาวที่ยืนอยู่ข้าง ๆ มองตามสายตาชายหนุ่มที่ยืนตะลึงอยู่กับที่ เงียบกริบ มองหญิงสาวที่กำลังเดินตรงมา แววตาของชายหนุ่มเป็นประกาย แตกต่างจากที่มองเธอโดยสิ้นเชิง

“ปริม….”

เขารีบเรียกเธอเมื่อเธอเดินเข้ามาใกล้

ปริมเงยหน้าขึ้นมามองคนเรียกชื่อเธอ

“คนนี้ไงแฟนพี่จ้ะ พี่ขอตัวก่อนนะครับ” เขารีบแนะนำให้เด็กสาวรับทราบ แล้วคว้ามือปริมเดินหนีออกไปทันที

=================

“นี่นายปฏิการ ปล่อยมือเรานะ” เธอถูกเขาลากออกมาจนพ้นสายตาเด็กสาวคนนั้น

“แล้วนายพูดออกไปอย่างนั้นได้ยังไง ฉันเสียหายนะ” เธอเอาเรื่องกับการที่เขาอ้างชื่อเธอกับเขาเป็นแฟนกัน

“ปริม…ฉันขอโทษ ช่วยเพื่อนซักครั้งเถอะนะ” เขาคืนมือเธอให้เจ้าของอย่างเสียไม่ได้

“เพื่อนคนนี้ช่วยเหลือนายได้ทุกเรื่องนะ แต่ยกเว้นเรื่องนี้” เธอพูดอย่างชัดเจน

ปริมมองหน้าชายหนุ่มที่เงียบขรึมไม่พูดอะไรซักคำเดียวหลังจากสิ้นเสียงของเธอ ใจคอรู้สึกไม่ค่อยดี รู้สึกเป็นห่วงความรู้สึกของเขา ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้เธอไม่เคยนึกแคร์ความรู้สึกของเขาเลย

“ฉันขอโทษนะปริม…” ครู่หนึ่งเขาตัดสินใจขยับตัวเดินเลี่ยงออกไป สีหน้าสลดลงอย่างเห็นได้ชัด

“เดี๋ยว! ปฏิการ”

หนุ่มผมยาวหันกลับมาที่ต้นเสียง มองหน้าเธออีกครั้ง เขามองเห็นในแววตาเธอมีความเป็นห่วงเขาซ่อนอยู่

“ไม่เจอกันนานนะ สบายดีหรอ” เธอรู้สึกไม่อยากให้เขาจากไปด้วยความรู้สึกไม่ค่อยดีแบบนี้เลย

“สบายดี ปริมล่ะเป็นไง” เขารู้สึกใจชื้นขึ้นมาบ้าง เมื่อได้ยินเธอถามไถ่

“ไม่เจ็บไม่ไข้จ้ะ งานดนตรีของนายจัดได้เยี่ยมมากเลย นายร้องเพลงได้เพราะเหมือนเดิมนะ” เธอพยายามชวนคุยเปลี่ยนบรรยากาศ

ปฏิการขมวดคิ้วเข้มอย่างแปลกใจ
“ปริมไปดูด้วยหรอ ไหนปรามบอกว่าปริมไม่ไปไงล่ะ”

“ก็…มาคิดดูอีกที เพื่อนเราจัดทั้งที ไม่ไปดูได้ไง จริงมั้ย” ที่จริงเธอกลัวคนอื่นจะว่าเธอใจอ่อนสนใจเขา เลยต้องแอบไปดูคนเดียวต่างหาก

คำว่า “เพื่อน” ที่ได้ยิน ทำให้รู้สึกเจ็บแปล๊บในหัวใจของคนหนุ่ม อยากบอกเธอเหลือเกินว่า เขาไม่ได้คิดเป็นเพื่อนกับเธอ เขาทำไม่ได้ เขาพยายามทำแล้วจริง ๆ แต่ไม่อาจโกหกตัวเอง ปฏิเสธความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเองได้เลย เขาได้แต่เก็บคำพูดเหล่านั้นเอาไว้ในใจ เพราะรู้ดีว่า พูดออกไปคงไม่มีประโยชน์อะไรอีกแล้ว…ต่อไปนี้เขาจะไม่บอกเธออีก จะเก็บทุกความรู้สึกที่เกี่ยวกับเธอเอาไว้ในใจ…เท่านั้น…

“ปริม อยู่นี่เอง” เสียงหนุ่มหล่อดังออกมาจากหน้าต่างรถสีบอนด์ป้ายแดงคันหรู ที่เข้ามาจอดอยู่ใกล้ ๆ

“อ้าว…หวัดดีค่ะพี่ป้อง”

ปฏิการมองหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาที่ดูสนอกสนใจปริมเหลือเกิน นัยต์ตาของชายหนุ่มเป็นประกายแจ่มใส อย่างที่ผู้ชายด้วยกันดูออกว่าหมายถึงอะไร

ข่าวที่เพื่อนพูดนั้นเป็นความจริงหรือ?

หัวใจเริ่มเต้นแรงผิดปกติ ความร้อนภายในกำลังเพิ่มอุณหภูมิสูงขึ้น พอ ๆ กับความเครียด ความไม่พอใจที่เริ่มก่อร่างสร้างตัวอย่างรวดเร็ว แต่เขาทำได้เพียงยืนเงียบ ๆ ไม่แสดงอะไรออกทางสีหน้าและท่าทาง เพราะคำควณผลดูแล้วว่า ไม่มีอะไรดีเลยที่เขาจะแสดงความอึดอัดขัดเคือง ความหึงหวงเป็นเจ้าเข้าเจ้าของ ความไม่พอใจเธอกับหมอนั่น!! และเขาคงมีแต่จะเสียคะแนน จึงต้องอดทนยืนฟังข้อความน่ารำคาญนั้น

“ปริมจะไปไหน ให้พี่ป้องไปส่งนะ”

“ไม่เป็นไรค่ะ เผอิญปริมเจอเพื่อนเก่า” ปริมหันมาแนะนำเขาให้รู้จักกับรุ่นพี่ที่คณะ

ปฏิการฝืนยิ้มให้เล็กน้อย พร้อมกับผงกหัวให้อย่างเสียไม่ได้

ปกป้องหันมาฝืนยิ้มให้เช่นกัน ก่อนจะละสายตาไปจ้องหน้าปริมต่อ

“ปริม ไม่เคยให้พี่ป้องได้ทำหน้าที่สารถีให้ซักทีเลยนะ”

“ก็เป็นสารถีให้คนอื่นก่อนสิคะ แล้วไงค่อยเจอกันที่คณะนะคะ”

“ไม่เป็นไรครับ งั้นพี่ป้องไปก่อนนะ” จบคำพูดนั้น หน้าต่างค่อย ๆ เลื่อนขึ้นจากด้านล่างของขอบประตูจนถึงด้านบน แล้วรถสีบอนด์ก็ค่อย ๆ ขับจากไป

ปฏิการค่อย ๆ มีสีหน้าดีขึ้น เมื่อรู้ว่าเธอไม่ไปกับหมอนั่น!! ที่สำคัญเธอไม่ได้เป็นอย่างที่เพื่อนของเขากล่าวหา นึกในใจ คำว่า “เพื่อน” ก็มีประโยชน์เหมือนกันนะ

“ปริม…หิวข้าวยัง ไปกินข้าวกันเถอะ เดี๋ยวฉันเป็นเจ้ามือเลี้ยงเองนะ” ตอนนี้เขายิ้มออกแล้ว

“ได้เลย ระวังกระเป๋าฉีกล่ะ ฉันกินจุนะ”

“ไม่กลัวหรอก เดี๋ยวจะเลี้ยงให้อ้วนกลมเลย” เขาพูดพลางหัวเราะอย่างมีความสุข ดีใจเหลือเกินที่มอร์เตอร์ไซด์เก่า ๆ ของเขาวันนี้จะมีเธอซ้อนท้ายไปด้วยเป็นครั้งแรก ไม่ว่าจะฐานะไหนก็ตาม ขอให้มีโอกาสได้อยู่ใกล้ ๆ เธอเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว…

================

ตอนที่ 9

สิ้นเสียงปลายทางเขากดวางหูโทรศัพท์มือถือทันที แล้วสปีดฝีเท้าอย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ราวกับว่าถ้าเหาะได้ บินได้ หายตัวได้ จะทำทันที เขาอยากจะไปถึงที่นัดหมายให้เร็วที่สุดอย่างใจนึกเดี๋ยวนี้เลย ข่าวร้ายจากสายโทรศัพท์ก่อนหน้านี้ ทำให้เขาใจคอไม่ดีเลย เป็นห่วงเพื่อนรักอย่างมาก ไม่รู้อาการจะหนักมากรึเปล่า จะอันตรายถึงชีวิตไหม จะเป็นอย่างไรบ้าง จิตใจเป็นห่วงกังวลตลอดเวลา คนที่เขาเป็นห่วงรองลงมาก็คือน้องสาวของเพื่อน เธอจะรู้สึกอย่างไร จะทำใจได้รึเปล่า หากเหตุการณ์นั้นร้ายแรง เพราะเขารู้ดีว่า ปริมรักพี่ชายมากที่สุด ทุกครั้งที่ปรามไม่สบาย ปริมแทบจะไม่กินไม่นอน จะคอยดูแลพี่ชายอย่างไม่รู้เหน็ดรู้เหนื่อยเลย

ปฏิการก้าวลงบันไดทีละสามสี่ขั้นอย่างรวดเร็ว สี่ขั้นสุดท้ายเขากระโดดลงบนพื้นชั้นล่างอย่างคล่องแคล่วว่องไว เลี้ยวมุมตึกข้างหน้านี้คือที่นัดหมายปลายทาง ทันทีที่เท้าเลี้ยวมุมตึกไปนั้น เขาต้องชะลอฝีเท้าลงอย่างกระทันหัน! เท้าที่จะก้าวไปข้างหน้ากลับลังเลไม่แน่ใจ ถอยกลับมาข้างหลังอย่างช้า ๆ ทีละก้าว ภาพที่เห็นตรงหน้าทำให้เขารู้สึกกลัวและไม่กล้า

ปริมยืนคุยอยู่กับหนุ่มหล่อรถป้ายแดงคันหรูคนนั้น !!

เขาเริ่มไม่แน่ใจว่าเธอยังต้องการจะไปกับเขาอยู่รึเปล่า? หรือเธออาจจะเปลี่ยนใจไปกับหมอนั่นแล้ว แม้ว่าเธอจะรับปากกับเขาไว้แล้วก็ตาม เธอเพียงรอเขาไปพบเพื่อที่จะบอกว่า เธอจะไปกับคนอื่นเท่านั้นเอง เขาควรจะเข้าไปไหม หรือทิ้งเธอเอาไว้กับคนนั้นเลย จะได้ไม่ต้องได้ยินถ้อยคำบาดใจในอนาคตอันใกล้นี้ จิตใจรู้สึกสับสน นึกเปรียบเทียบตัวเองกับหนุ่มหล่อคนนั้น เขารู้สึกว่าตัวเองไม่มีอะไรที่จะสู้กับคน ๆ นั้นได้เลย ไม่ว่าจะเป็นหน้าตา ฐานะ การเรียน เขามันไม่เอาไหน ไม่มีดีอะไรจะเทียบเทียมนายปกป้องได้เลย เขาไม่อยากจะไปยื้อแย่งอะไรกับใคร มันทำให้ต่างฝ่ายต่างเจ็บปวดมากกว่า ให้เธออยู่กับคนที่หัวใจเธอต้องการ คงเป็นสิ่งที่เขาควรทำที่สุด

เขาพยายามหายใจเข้าออกลึก ๆ ยาว ๆ เพื่อผ่อนคลายอารมณ์เครียดและสับสน พยายามมีสติ และบอกตัวเองในที่สุดว่า สิ่งที่เขาคิดสับสนอยู่นี้นั้น เป็นแค่การคิดไปเองของเขาแต่เพียงฝ่ายเดียว เขาไม่ควรยัดเยียดความคิดของตัวเองให้เธอ ว่าเธอจะคิดอย่างนั้นอย่างนี้อย่างโน้น เขาควรกล้าที่จะเผชิญหน้ากับความจริงตรงหน้าขณะนี้ ขอเพียงให้เขาได้ทำทุกอย่างอย่างเต็มที่ อย่างดีที่สุดก่อน ได้ให้โอกาศตัวเอง และให้โอกาสเธอเป็นคนเลือกและตัดสินใจด้วยตัวเอง หากแม้ว่าเธอจะไม่เลือกเขา เขาก็พร้อมที่จะออกไปจากชีวิตเธอ เมื่อเธอต้องการ!!

ปฏิการตัดสินใจเดินเร็ว ๆ เข้าไปหาปริมทันที

“ปริม!!”
เด็กสาวหันหน้าที่เต็มเปี่ยมด้วยความเป็นห่วงกังวลมาทางหนุ่มผมยาว

“ให้พี่ไปส่งนะปริม” ปกป้องขอเป็นสารถีช่วยขับรถพาไปส่งโรงพยาบาล
“ไปด้วยกันสิ ปฏิการ” แล้วหันไปชวนอย่างมีน้ำใจ

ปริมมองเวลาที่ข้อมือ แล้วหันไปมองถนนหน้ามหาวิทยาลัยที่รถเริ่มติดเป็นแถวยาวตามเคย สำหรับเวลาเย็น ๆ อย่างนี้

“รถเริ่มติดอีกแล้วพี่ป้อง ปริมไม่รบกวนพี่ดีกว่า ขอบคุณมากนะคะ”

ปกป้องจำนนต่อเหตุผลที่เธอไม่รับความช่วยเหลือจากเขา
“พี่เอาใจช่วยนะปริม ขอให้พี่ปรามปลอดภัยนะ“
“ขอบคุณมากค่ะ ไปก่อนนะคะ”

ปฏิการรู้สึกโล่งอก ที่เธอไม่เป็นอย่างที่เขาคิดกลัวเอาไว้ก่อนหน้านี้ และดีใจที่ตัดสินใจกล้าเผชิญหน้ากับความจริง ทุกอย่างไม่เป็นไปอย่างที่เราคิดเสมอไป โดยเฉพาะความคิดในแง่ร้าย ๆ

===============

กลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อล่องลอยอยู่ทั่วทุกอณูอากาศ เป็นกลิ่นที่คุ้นเคยสำหรับโรงพยาบาล คนไข้ที่มารอตรวจรักษาดูบางตา และทยอยกลับกันไปเกือบหมดแล้ว พยาบาลในชุดสีขาวสะอาดเดินผ่านไปมา ลิปที่อยู่ไม่ไกลเข็นเตียงคนป่วยสายระโยงระยางเข้าไปบ้าง ออกมาบ้าง

ปรามถูกเข็นเข้าห้องฉุกเฉินไปนานแล้ว หลังจากได้รับอุบัติเหตุ เนื่องจากถูกรถเก๋งของเด็กวัยรุ่นที่เมาแล้วขับชนเข้าอย่างแรง พลิกคว่ำลงข้างทาง ขณะที่ขับรถกลับจากต่างจังหวัดเมื่อเสร็จงานในกลางดึก เด็กวัยรุ่นสองคนในรถคันนั้นเสียชีวิตทันที

ไฟหน้าห้องฉุกเฉินเปิดสว่างจ้าบอกให้รู้ว่ากำลังปฏิบัติการอยู่ ปริมเฝ้ามองหน้าห้องฉุกเฉิน เธอรอคอยประตูสองบานนั้นจะเปิดออกพร้อมกัน รอคอยหมอที่จะออกมาบอกว่าพี่ชายของเธอปลอดภัย เธอได้แต่ภาวนาขอให้เป็นอย่างนั้น และไม่อยากให้เป็นอย่างอื่นเลย

เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า เวลาชักช้าเสมอสำหรับการรอคอย มันมักแกล้งให้คนรอคอยทรมานใจ เพื่อน ๆ ทยอยกันกลับไปหมดแล้ว มีเพียงปฏิการที่นั่งคอยอยู่เป็นเพื่อนเธอเท่านั้น

และแล้วไฟหน้าห้องฉุกเฉินดับลง ประตูห้องฉุกเฉินสองบานนั้นเปิดออก หมอหนุ่มใหญ่ในชุดสีเขียวเข้ม มีผ้าปิดจมูกปิดปากเดินออกมา

ปริมรีบวิ่งเข้าไปหาหมออย่างรวดเร็ว โดยมีปฏิการเดินตามไปติด ๆ

“หมอคะ เป็นอย่างไรบ้างคะ” พลางจับมือหมอเขย่าอย่างร้อนรน

มือของหมออีกข้างหนึ่งเอื้อมมากุมมือของเด็กสาวเอาไว้ แล้วบีบไว้แน่น พลางตบมือของเธอเบา ๆ

“ปริม..” เสียงหมอเรียกชื่อของเธอดังผ่านผ้าปิดปากปิดจมูกฟังอู้อี้ไม่ชัดเจนนัก

หมอหนุ่มใหญ่ถอดผ้าปิดปากปิดจมูกออก

“ปริม…ปรามปลอดภัยแล้ว”

ปริมมองคนที่อยู่ตรงหน้าอย่างตะลึงงันด้วยความตกใจ สมองประมวลผลหน้าตาของบุรุษที่ยืนอยู่ตรงหน้าขณะนี้ทันที

“พ่อ…!!”

น้ำตารื้นขึ้นมาคลออยู่ในดวงตาคู่นั้น ภาพแม่ร้องไห้ทุกวันทุกคืนอย่างเศร้าโศกเสียใจที่พ่อไปมีผู้หญิงคนอื่นปรากฏอยู่ในห้วงนึกจนจำติดตา ไม่มีวันลืม ปริมดึงมือของตัวเองออกจากการกุมไว้ของบิดา

“ปริม…”

เขาสัมผัสได้ว่าปฏิกิริยาตอบโต้ของเธอไม่ยอมรับ และไม่ให้อภัยเขา มือที่เอื้อมไปหวังจะได้โอบกอดลูกสาวที่จากกันมานานซักครั้งถูกดึงกลับมาทิ้งลงข้างตัวอย่างหมดหวัง

“พ่อขอโทษ สำหรับเรื่องราวที่ผ่านมา” แม้จะรู้ดีว่าไม่มีประโยชน์อะไรที่จะพูดประโยคนี้ แต่เขาก็อยากจะบอกกับลูกอีกครั้ง

“พ่อขอดูแลปรามนะปริม อาการของปรามพ้นขีดอันตรายแล้วก็จริง แต่ยังไม่รู้ว่าสมองจะได้รับการกระทบกระเทือนขนาดไหน ต้องรอให้รู้สึกตัวก่อน ให้พ่อได้มีโอกาสดูแลปรามนะลูก ให้พ่อได้ทำหน้าที่ของพ่อที่ควรจะดูแลลูก ๆ บ้าง” สายตานั้นเต็มไปด้วยคำขอร้อง และเป็นห่วงเป็นใยสุดประมาณ

ปริมนิ่งเงียบไม่ตอบ ราวกับเป็นการตอบปฏิเสธอยู่ในตัว เธอเดินไปหยุดอยู่หน้าห้องฉุกเฉิน สายตาแสนห่วงใย มองทะลุกระจกสี่เหลี่ยมช่องแคบ ๆ เข้าไปเฝ้ามองพี่ชาย คนที่เธอรักที่สุด

หมอหนุ่มใหญ่ถอนหายใจหนักหน่วง ก่อนมองไปทางปฏิการ
“ผมชื่อปฏิการครับ เป็นเพื่อนของปรามและปริม” เขาแนะนำตัวเอง
“ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ ผมจะดูแลเธออย่างดีที่สุด”

หมอหนุ่มพยักหน้ารับรู้ ไม่มีถ้อยคำหลุดออกจากปากหมออีกเลย ด้วยความรู้สึกข้างในมันย่ำแย่จนไม่อาจจะพูดคำใดได้อีก

เขาเดินไปตามปริมที่ยืนเฝ้ามองอยู่หน้าประตูห้องฉุกเฉิน

“ปริมเรากลับกันเถอะนะ”

เธอนิ่งเงียบราวกับไม่ได้ยิน…

ปฏิการเอื้อมมือดึงมือเธอให้เดินตามมา

ปริมหันมามอง

ปฏิการจึงพยักหน้าอีกครั้ง “พรุ่งนี้ค่อยมาเยี่ยมใหม่นะ ตอนนี้ให้ปรามเขาพักผ่อนก่อน”

เธอเดินตามเขาไปแต่โดยดี แต่สายตายังมองเหลียวหลังอยู่ที่ประตูห้องฉุกเฉิน เขากระชับมือของเธอเอาไว้ อยากบอกให้เธอรับรู้ว่าเขาจะอยู่เคียงข้างเธอเสมอ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเธอก็ตาม

==============

วันที่หนึ่งผ่านไป… วันที่สองผ่านไป… วันที่สามผ่านไป…

ปรามยังไม่รู้สึกตัว นอนนิ่งอยู่บนเตียงไม่ขยับตัวแม้แต่น้อย แผ่นอกเคลื่อนไหวตามลมหายใจแผ่วเบาอย่างอ่อนล้าราวกับว่าไม่อยากจะหายใจต่อไปอีกแล้ว ปริมเฝ้าดูอาการของพี่ชายอย่างกังวลใจ ใจหนึ่งไม่อยากจะเจอพ่อ ไม่อยากจะได้รับความช่วยเหลือใด ๆ จากพ่ออีกเลย แต่อาการที่ไม่ดีขึ้นของปรามทำให้ปริมยังไม่ตัดสินใจย้ายพี่ชายออกจากโรงพยาบาลนี้ ที่สำคัญพ่อของเธอเป็นหมอที่เก่ง และมีความชำนาญด้านการผ่าตัดสมองที่สุด เธอไม่อาจจะเอาความโกรธ ความเกลียดพ่อในอดีตมาล้อเล่นกับชีวิตของพี่ชายของเธอได้

“การ…ถ้าฉันจะย้ายพี่ปรามออกจากโรงพยาบาลนี้ไปอยู่โรงพยาบาลใกล้บ้านดีมั้ย” เธอถามเพื่อนหนุ่มขณะเดินไปตามทางเดินหลังผลักประตูกระจกออกมาจากลานจอดรถของโรงพยาบาลเพื่อไปเยี่ยมพี่ชาย

ปฏิการมองหน้าเธอด้วยคำถาม
“จะย้ายจริงหรอปริม”

“ถ้าพี่ปรามอาการดีขึ้นกว่านี้นะ”

“ปริม…รับความช่วยเหลือจากพ่อเถอะนะ”

“ทำไมต้องรับด้วยล่ะ”

“เพราะยังไงเขาก็เป็นพ่อของปริมกับปรามวันยังค่ำ เขามีสิทธิ์ไม่ใช่หรอ ถ้าปริมไม่รับความช่วยเหลือจากพ่อ ปริมจะไปรับความช่วยเหลือจากใคร จากคนอื่นหรอ แล้วปริมจะมีเงินพอที่จะรักษาปรามได้หรอ ใครจะดูแลปรามดีเท่ากับพ่อของปริมล่ะ”

ปริมถอนหายใจหนัก ๆ รู้สึกสับสนจนกับเหตุผลและความรู้สึกของตัวเองที่ขัดแย้งอยู่ภายในจิตใจ

“เรื่องนั้นมันก็ผ่านมานานแล้วนะ เมื่อเราต่างยังมีลมหายใจอยู่ ยังมีชีวิตอยู่จะโกรธเกลียดกันไปถึงไหน เราจะทำให้เราต่างเสียความรู้สึกกันไปทำไม ปริมเองมีความสุขใช่ไหมกับการกระทำอย่างนี้”

คำพูดของชายหนุ่มทำให้เธอต้องคิดทบทวนการกระทำของตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่าอีกครั้งและอีกครั้ง และเธอรู้ว่าเขาพูดถูกต้องและมีเหตุผลที่ควรจะรับฟัง

ไฟลิฟท์เคลื่อนตัวตามหมายเลขลงมาหยุดเพื่อรับผู้โดยสาร ประตูลิฟท์เปิดออก มีคนเดินออกเดินเข้า ที่สะดุดตาคือมีเด็กผู้หญิงหน้าตาน่ารักถักเปียสองข้างอายุราว 4-5 ขวบ เดินจูงมือกันออกมากับเด็กชายซึ่งดูตัวโตกว่า ทั้งคู่อยู่ในชุดนักเรียน เห็นแล้วรู้สึกน่ารักน่าเอ็นดู

“มากันสองคนหรือครับ กำลังจะไปไหนเอ่ย…” ปฏิการย่อตัวถามเด็กน้อย
“คับ ผมกำลังจะไปหาพ่อคับ พ่อผมเป็นหมอออออยู่ที่นี่” เด็กชายพูด

ปริมรู้สึกสะดุดหน้าตาของเด็กผู้ชายเหลือเกิน ทำไมถึงเหมือนพี่ปรามตอนยังเด็กขนาดนี้

“ปุ๊บกับปั๊บสวัสดีพี่ปริมสิลูก” เสียงทุ้ม ๆ ดังขึ้นข้างหลังปริม บอกให้ลูกชายและลูกสาวของเขาทักทายเธอ

หมอหนุ่มใหญ่ย่อตัวรับเจ้าตัวน้อยทั้งสองเข้ามาไว้ในอ้อมแขน
“สวัสดีครับพี่ปริม” เด็กชายทักทายพี่สาวเสียงใสแจ๋ว “พี่สวยจังเลยคับ” แถมปากหวานอีกต่างหาก
“สวัสดีค่ะพี่ปริม” เด็กหญิงรีบทักทายตามอย่างพี่ชายบ้าง “พี่น่ารักเหมือนหนูเลยนะคะ”

ทุกคนพากันหัวเราะความไร้เดียงสาเด็กน้อย ปริมมองน้อง ๆ อย่างเอ็นดู เธอโกรธเกลียดความบริสุทธิ์ของเด็ก ๆ ไม่ลงจริง ๆ

“ปริม…ให้พ่อได้ดูแลปรามจนหายดีนะ” หมอหนุ่มใหญ่พูดขึ้นอีกครั้ง

ปริมนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจเดินเข้าไปหาบิดา

“ค่ะ พ่อ ขอบคุณค่ะ” เธอกราบลงกับอกของผู้ให้กำเนิด

ชายหนุ่มสวมกอดบุตรสาวไว้ด้วยความคิดถึงเหลือเกินเกือบสิบปีที่ไม่ได้เจอกันเลย ตอนนั้นปรามอายุ 17 ปริมเพิ่งอายุ 12 ขวบ เขาเสียใจที่ไม่มีโอกาสได้อยู่ดูแลลูก ๆ ทั้งสองคนนี้อย่างที่ควรจะเป็น

ปฏิการได้แต่ยืนดูด้วยรอยยิ้ม ความรักความเข้าใจกันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้น ณ ที่ใด ที่นั่นก็เต็มไปด้วยความสุข ความอบอุ่นและงดงามเสมอ…

===============

วันที่สาม…วันที่สี่….วันที่ห้า….วันที่หก….วันที่เจ็ดผ่านไป….

ปรามก็ยังไม่รู้สึกตัว ปฏิการเฝ้ามองปริมที่รู้สึกเป็นห่วงพี่ชายมากขึ้นเรื่อย ๆ จนกินข้าวไม่ได้ จนนอนไม่หลับ สมองเต็มไปด้วยความห่วงและกังวลใจตลอดเวลา ชั่วอาทิตย์หนึ่งเธอผ่ายผอมลงอย่างเห็นได้ชัด เธอไม่ยอมกินอะไร เขาแอบเห็นของกินที่เขาซื้อมาฝากอยู่ในถังขยะเสมอ แต่เวลาอยู่กับเพื่อน เธอจะทำเป็นร่าเริงเผื่อกลบเกลื่อนไม่ให้เพื่อน ๆ เป็นห่วง แต่เวลาอยู่คนเดียวเขาแอบเห็นเธอเศร้าซึม แอบร้องไห้คนเดียว หลัง ๆ เริ่มไม่ยอมไปเรียน เอาแต่มาเฝ้าพี่ชาย เขาได้แต่สงสารเธอ ไม่กล้าพูดอะไรที่ทำให้เธอสะเทือนใจไปมากกว่านี้

“ปริม…ไปทานข้าวกันเถอะ” ปฏิการชวนเธอออกจากห้องผู้ป่วยในตอนค่ำ

“นายไปกินก่อนเถอะ เดี๋ยวไปกินเอง” สายตายังคงเฝ้ามองหน้าพี่ชายที่นอนนิ่งอยู่บนเตียง

“ไปด้วยกันเถอะนะ” เขาพยายามใจเย็นขอร้องเธอ และรู้ดีว่าถ้าเชื่อเธอ คงไม่ยอมไปกินแน่นอน

“นายไปเถอะ ฉันยังไม่หิว และกลัวว่าพี่ปรามตื่นขึ้นมาแล้วจะไม่เจอใคร”

ชายหนุ่มเริ่มอารมณ์ขุ่น ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอปฏิเสธ แต่ทุกครั้งที่ชวนไปทานข้าว เธอจะดื้อตอบแบบนี้เสมอ แต่ยังพยายามบังคับน้ำเสียงให้ปกติ

“ต้องกินอะไรบ้างนะปริม”

เธอยังคงนิ่งเฉยไม่สนใจ ขยับผ้าห่มห่มให้พี่ชายครั้งแล้วครั้งเล่า ทั้ง ๆ ที่ไม่มีการเคลื่อนไหวอะไรเลย ปฏิกิริยาของเธอทำให้เขาคิดว่า จะปล่อยให้เธอเป็นอย่างนี้ต่อไปไม่ได้อีกแล้ว…

เขาต้องทำอะไรซักอย่าง?

“อยากให้ปรามเจอเธอในสภาพแบบนี้หรือไง!!”

เขาโพล่งออกไปอย่างเหลืออด พูดดีด้วยก็แล้ว ปลอบใจก็แล้ว พยายามหว่านล้อมทุกวิถีทางแล้ว เธอยังดื้อไม่มีเหตุผล ชายหนุ่มลากข้อมือหญิงสาวเข้าห้องน้ำไปดูสารรูปตัวเองในกระจก ปริมมองเห็นผู้หญิงแก้มตอบ ๆ ขอบตาแดงช้ำและคล้ำจนดูไม่ได้ มีแต่ความหมองเศร้า มันดูแย่มากอย่างที่ไม่เคยเห็นตัวเองมาก่อน

“ปรามจะดีใจมั้ย ที่เห็นปริมเป็นแบบนี้! ปรามจะรู้สึกยังไง แล้วปริมจะเอาแรงที่ไหนดูแลปรามถ้าเขาฟื้นขึ้นมา!!” ปฏิการพูดเสียงดังอย่างลืมตัว

“ไหนบอกจะดูแลปราม! แล้วสภาพแบบนี้จะดูแลไหวหรอ!”

แล้วดึงปริมออกมาดูหน้าพี่ชายที่นอนนิ่งอยู่บนเตียง

“ปรามคงอยากฟื้นขึ้นมาเจอปริมในสภาพอย่างนี้หรอกนะ!! ที่ปริมทำอยู่ทุกวันนี้ มันช่วยอะไรให้ดีขึ้นมาบ้าง ฉันขอถามหน่อย!!”

“ฉันเป็นห่วงพี่ปรามมันผิดหรอ…” น้ำเสียงนั้นแผ่วเบา น้ำตารื้นขึ้นมาคลอดวงตาเอาไว้

“ไม่ผิด!! แต่ปริมก็ต้องห่วงตัวเองด้วยสิ! ดูแลตัวเองด้วย ปรามมีพยาบาล มีหมอ มีคุณพ่อ มีปิ่นขวัญที่คอยดูแลอยู่แล้ว ปริมมีหน้าที่ทำอะไร! เรียนด้วยใช่มั้ย! แล้ววันนี้โดดเรียนมาทำไม ไหนปริมบอกฉันเองว่าให้ทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุดไง ปริมลืมแล้วหรอ”

“ฉัน…กลัว…” น้ำตาคลอในขอบตาร่วงผล็อยมาตามแก้มตอบนั้น เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นปริมร้องไห้ ปกติเธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งและไม่ร้องไห้ให้ใครเห็นง่าย ๆ

“ถ้าไม่มีพี่ปราม…ฉัน…ไม่รู้จะมีชีวิตอยู่เพื่ออะไร…” เสียงนั้นแตกพร่า…ขาดห้วงเป็นระยะ สลับกับเสียงสะอึกสะอื้น

เขาสวมกอดเธอเอาไว้อย่างปลอบโยน ร่างบอบบางนั้นสั่นไหวเบา ๆ

“ปริม…ไม่ต้องกลัวนะ ปรามจะไม่เป็นอะไร เชื่อฉันสิ ฉันจะอยู่ข้างเธอเสมอ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม แม้ว่าปรามจะไม่อยู่ เธออยู่กับฉันนะ ฉันจะดูแลเธอเอง แต่ตอนนี้ปรามยังมีลมหายใจอยู่ ปริมต้องเชื่อมั่นว่าเขาจะฟื้นขึ้นมา อย่าทำตัวหมดอะไรตายอยากแบบนี้ได้มั้ย”

เขารู้สึกสงสารเธอเหลือเกิน ไม่อยากให้เธอเป็นแบบนี้เลย เขาอยากจะช่วยเธอ จะทำอย่างไร จะใช้วิธีไหน ที่จะทำให้เธอรู้สึกดีกว่านี้ ทำให้เธอดีขึ้น ทำให้เธอยิ้มได้ ทำให้เธอหัวเราะ ทำให้เธอมีกำลังใจ เขาพร้อมจะทำทุกอย่าง ทุกวิถีทาง จะยอมเป็นอะไรก็ได้ จะยอมทำอะไรก็ได้ ขอให้เธอกลับมาเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งอย่างเดิม


ตอนที่ 10

ปฏิการยกมือตบหลังร่างสั่นเทาในอ้อมแขนเบา ๆ น้ำตาของเธอไหลซึมจนเสื้อของเขาเปียกชื้น ครู่หนึ่งเธอเริ่มมีสติรู้ตัว และรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น จึงขยับตัวถอยออกมา ไม่มีใครที่จะทุกข์ เศร้า เจ็บปวดได้ตลอดเวลาในปริมาตรความทุกข์ที่มีความหนาแน่นเท่ากันได้ เหมือนกราฟเมื่อขึ้นถึงจุดสุดยอด ย่อมต้องค่อย ๆ ลดลง ความทุกข์ของคนเราก็เหมือนกับน้ำร้อนจัด ที่เมื่อตั้งทิ้งไว้ให้เวลาผ่านไป น้ำนั้นย่อมไม่อาจคงความร้อนเท่าเดิมได้

เขาจับมือเธอขึ้นมากุมไว้เบา ๆ

“นะปริม ไปทานข้าวกันนะ ปรามจะได้ดีใจ ปริมจะได้มีแรงด้วย เดี๋ยวไม่สบายไปอีกคนจะทำไงล่ะ” เขาขอร้องเธออีกครั้ง เฝ้ารอคอยคำตอบที่เธอจะตอบตกลงไปทานข้าวกับเขาอย่างใจจดใจจ่อ

ปริมพยักหน้าช้า ๆ พลางยกมือป้ายน้ำตาข้างแก้ม มองหน้าคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า ทั้งสีหน้า แววตา น้ำเสียง ทุกสัมผัสของผู้ชายคนนี้ เต็มไปด้วยความห่วงใยเธอที่สุด นอกจากพี่ปรามแล้ว เขาทำให้เธอรู้สึกว่า คน ๆ นี้เป็นอีกคนหนึ่งที่เป็นห่วงเธอกว่าใคร

ในระหว่างที่ปรามป่วยอยู่ ทุกปัญหาทุกเรื่องราวที่ผ่านเข้ามา ปฏิการจะยื่นมือเข้ามาช่วยแก้ไข ช่วยเหลือให้ผ่านไปได้ด้วยดีเสมอ ทุกคำพูดของเขาแต่ละคำทำให้เธอได้คิด และจนด้วยเหตุผลที่จะโต้แย้งใด ๆ เธอจะต้องเชื่อมั่นว่าพี่ชายของเธอจะต้องปลอดภัย เธอจะต้องไม่หมดหวัง เธอจะต้องมีกำลังใจ ตั้งใจว่าต่อไปนี้จะดูแลตัวเอง เพื่อรอวันที่พี่ชายของเธอจะฟื้นขึ้นมาอย่างแน่นอน จะทำหน้าที่ของเธอที่ควรทำให้ดีที่สุด

ใช่แล้ว!! ที่เธอมัวทุกข์อยู่นี้ มัวเศร้าโศกอยู่นี้ มันเป็นแค่การคิดไปเองเท่านั้น เหตุการณ์ที่เธอคิดมันอาจจะไม่เกิดขึ้นก็ได้ เธอมัวทุกข์อยู่กับความคิดของตัวเองที่มัวคิดไปเองทั้งนั้น และมันไม่ได้ช่วยอะไรให้ดีขึ้นเลยจริง ๆ

“ปริม ช่วงนี้ฉันขอไปรับไปส่งปริมนะ ได้มั้ย”

ปริมมองหน้าชายหนุ่ม
“ขอบคุณนายมากนะ ฉันรู้…ที่ผ่านมา ฉันทำให้นายเป็นห่วง นายก็มีงาน ไหนจะเรื่องเรียน ไหนจะกิจกรรมของชมรม นายมีเรื่องที่ต้องทำมากอยู่แล้ว อย่าลำบากเลยนะ ฉันสัญญาว่าจะดูแลตัวเอง ไม่ทำให้นายต้องเป็นห่วงอีกแล้ว”

“ปริมต้องทำให้ฉันเห็นก่อนว่า ปริมเข้มแข็ง ดูแลตัวเองได้ ทำให้ฉันมั่นใจก่อน แต่ตอนนี้ฉันยังไม่เชื่อหรอก ต้องขอเวลาพิสูจน์ก่อนนะ ช่วงนี้ขอไปรับไปส่งก่อนละกัน โอเคนะ” เขาแกล้งทำหน้าเครียด พูดเชิงบังคับอยู่ในที แต่แอบอมยิ้มอยู่ในใจ

เธอรู้สึกอับอายขายหน้าเขาเหลือเกิน ที่เอาแต่อ่อนแอ ขี้แยให้เขาเห็นอย่างนี้ แถมยังถูกเขากอดไว้ก่อนหน้านี้อีก รู้สึกตำหนิตัวเองอย่างแรง ที่ไม่เข้มแข็งและไม่เอาไหนเสียเลย

หญิงสาวขยับมือออกจากการกุมไว้ของชายหนุ่ม แต่ถูกเขายึดมือเธอไว้ไม่ยอมคืนให้

“ว่าไงล่ะ” เขารอเธออนุญาต ราวกับว่าถ้าไม่ตอบตกลงจะไม่ยอมปล่อยมือเธอ

“ก็ได้!! ยุ่งกับชีวิตฉันจังเลย!!” เธอแกล้งบ่นอย่างรำคาญเพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึกอาย ๆ ที่อยู่ ๆ ก็ก่อร่างสร้างตัวขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ไม่อาจปฏิเสธความรู้สึกของตัวเองได้เลยว่าตลอดเวลาที่ได้อยู่ใกล้ ๆ เขา คน ๆ นี้ทำให้เธอรู้สึกดี อบอุ่น และสบายใจ ปริมรีบกระชากมือตัวเองคืนมาแล้วเดินหนีไป ก่อนที่เขาจะจับความรู้สึกที่แท้จริงของเธอได้ เดินเลี่ยงไปที่เตียงผู้ป่วยกลางห้อง แล้วกระซิบบอกพี่ชายเบา ๆ

“พี่ปราม…ปริมไปกินข้าวก่อนนะคะ แล้วจะมาเยี่ยมใหม่ คราวหน้าพี่ห้ามนอนหลับแบบอีกนี้นะ ต้องตื่นขึ้นมาพูดคุยกับปริมด้วย ไม่งั้นปริมไม่ยอมด้วยล่ะ”

ปฏิการยิ้มออกอย่างโล่งอกโล่งใจ ที่เห็นเธอดูร่าเริงขึ้น และหวังว่าเธอจะดีขึ้นเรื่อย ๆ ความเป็นห่วงกังวลใจค่อย ๆ เลือนหายไปบางส่วน เขาเองก็อยากให้เพื่อนรักฟื้นขึ้นมาเร็ว ๆ เหลือเกิน แต่ไม่กล้าแสดงความเป็นห่วงกังวลออกมา กลัวว่าจะทำให้ปริมรู้สึกแย่มากไปกว่านี้ เขาต้องเข้มแข็งเพื่อเป็นหลัก เป็นที่พึ่ง เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจให้เธอ

==============

ใต้ร่มไม้หน้าชมรมดนตรี แดดยามสายสะท้อนเงาต้นไม้ใหญ่ทาบลงบนพื้นคอนกรีต ลมพัดเย็นสบาย กระดาษสีขาวยับย่นเล็กน้อยสิบกว่าแผ่นอยู่ในมือชายหนุ่มไหวเล็กน้อย กลางหน้ากระดาษเขียนว่า รายชื่อผู้เข้ารอบในการแข่งขันวงดนตรียอดเยี่ยม ปฏิการพลิกดูรายละเอียดแต่ละหน้าอย่างคร่าว ๆ ก่อนจะปล่อยจิตใจดิ่งจมลงกับเหตุการณ์วันก่อนที่เขาต้องคิดถึงแล้วคิดถึงอีก และไม่รู้สึกเบื่อที่จะคิดถึงเลย…แม้เหตุการณ์นั้นจะผ่านมานานเป็นเดือนแล้วก็ตาม

ปริมหันมามองทันที ที่เขาเปิดประตูเข้ามาในห้องผู้ป่วย ก่อนจะลุกขึ้นเดินมาหาเขาด้วยรอยยิ้มสดใสของคนมีความสุขเหลือเกิน ประกายสายตาไม่มีความกังวลหม่นหมองฉายอยู่อีกแล้ว รอยยิ้มของเธอทำให้เขาพอจะเดาออกว่า เพราะอะไร?

“การ…พี่ปรามฟื้นแล้วล่ะ!!” เธอบอกเขาด้วยน้ำเสียงดีใจสุดขีด พลางจับมือเขาบีบไว้แน่นอย่างลืมตัว ราวกับเก็บสะสมความรู้สึกดีใจเอาไว้อย่างมากมาย เพื่อรอที่จะบอกกล่าวกับเขาให้รับรู้

“จริงหรอ!!” หนุ่มผมยาวทำหน้าตาตื่นเต้นไม่แพ้กัน แล้วพากันเดินเร็ว ๆ ไปยังเตียงคนไข้ที่อยู่กลางห้อง เขารู้สึกโล่งจิตโล่งใจ เหมือนยกภูเขาหนักอึ้งออกจากอก เหมือนโซ่ตรวนแห่งความกังวลใจถูกปลดออกแล้ว

ต่างคนต่างหันมายิ้มให้กันอย่างดีอกดีใจ เพื่อส่งผ่านความรู้สึกดีดีให้แก่กันและกัน

“พ่อมาตรวจแล้ว บอกว่าสมองไม่มีอะไรกระทบกระเทือนด้วยล่ะ ฉันดีใจที่สุดเลย”

“เห็นมั้ย บอกแล้วว่าปรามจะไม่เป็นอะไร” เขามองเธอยิ้มแย้มอย่างมีความสุข ไม่ได้เห็นเธอยิ้มอย่างเต็มยิ้ม ยิ้มออกมาจากหัวใจที่มีความสุขแบบนี้นานแล้ว…นานเหลือเกิน…

เขาอยากขอบคุณเธอที่ให้ความเป็นกันเอง ให้ความสนิทสนม เชื่อใจ ไว้ใจกับเขาขนาดนี้ มองมือของเธอที่จับมือของเขาเอาไว้แน่น อยากให้เราต่างรู้สึกดีดีแบบนี้ต่อกันตลอดไป

มีสิ่งหนึ่งแวบขึ้นมาในจิตใจ และสิ่งนั้นเองบอกกับเขาอย่างมั่นใจและแน่ใจที่สุดว่า เขาค้นพบหัวใจของตัวเองแล้ว และคน ๆ นี้เองที่เขาอยากดูแลเธอตลอดชีวิต ตลอดช่วงเวลาที่เขายังมีลมหายใจอยู่

เขาชอบเธอจริงหรือ? หรือแค่เพียงต้องการเอาชนะเธอเท่านั้น?

ตอนนี้เขารู้คำตอบของคำถามนี้แล้ว เขาตอบคำถามนี้ได้แล้ว มีความรู้สึกบางอย่างเกิดขึ้นในจิตใจของเขา เขารู้ว่า… เขาไม่ได้ชอบเธอแล้วขณะนี้ แต่…เป็นความรู้สึกที่มีมากกว่านั้น…

“ฉันรักเธอ…ปริม….”

เขาได้แต่แอบบอกเธออยู่ในใจ เหตุการณ์ที่ผ่านมาสอนเขาว่าเขาควรจะเงียบมากกว่าที่จะต้องบอกความรู้สึก ความต้องการข้างในให้เธอรับรู้ เพราะทุกครั้งที่เขาพยายามจะบอกเธอ เธอต้องแสดงความอึดอัดรำคาญใจทุกครั้ง เธอต้องไม่พอใจ โกรธเขาทุกที และต่อไปนี้เขาตั้งใจแล้วว่า จะไม่บอกเธออีกเลย จะเก็บความรู้สึกที่แสนดีนี้เอาไว้ จะเก็บไว้ในใจเงียบ ๆ คนเดียว แค่ได้รักเธอแค่นี้ก็เพียงพอแล้ว

เขาไม่รู้ว่าความรักของคนอื่นคืออะไร แต่รู้ว่าความรักของเขาคือ การที่ได้เห็นคนที่เขารักมีความสุข ยิ้มได้ หัวเราะได้ อยากทำให้คนที่เขารักมีความสุข อยากทำให้เฉย ๆ อยากทำให้จริง ๆ แค่อยากทำให้ ไม่คิดว่าต้องได้รับอะไรตอบแทน แค่รู้สึกว่าอยากทำให้รู้สึกดีดีเท่านั้นเอง

เหมือนเธอจะรู้และสัมผัสความรู้สึกของเขาได้ สายตาของเขาที่มองมาสร้างความหวั่นไหวในหัวใจของเธอไม่น้อยเลย ไม่มีคำพูดใด ๆ แต่รู้สึกเหมือนสายตาของเขาบอกหลายสิ่งหลายอย่างที่มากมายกว่าคำพูดเสียอีก ปริมหลบสายตาชายหนุ่ม พยายามเก๊กหน้าเรียบเฉย ทำไม่รู้ไม่ชี้ พยายามทำหน้าตาให้ปกติที่สุด รีบถอนมือตัวเองกลับไป แต่ถูกชายหนุ่มรั้งเอาไว้

“นี่!! รู้นะว่าคิดอะไรอยู่” แกล้งทำเสียงเอาเรื่องกลบเกลื่อนความรู้สึกเขินอายที่ปะทุขึ้นมาอีกแล้ว ไม่รู้ทำไมต้องรู้สึกอย่างนี้ด้วยนะ แต่ไม่อาจปกปิดความรู้สึกดังกล่าวได้มิด

“รู้อะไร ไหนลองบอกมาซิ ถ้ารู้ผิดล่ะก้อ…ต้องถูกลงโทษนะ” เขาอมยิ้มแกล้งถาม สายตามองปฏิกิริยาของเธอตลอดเวลา เวลานี้เธอดูน่ารักเหลือเกิน

“ไม่รู้แล้ว ตอนนี้คิดไม่ออก ไปห้องน้ำก่อนนะ” เธอรีบผลุนผลันเดินหนีเข้าห้องน้ำไปหน้าตาเฉย

============

“พี่การรรรรรรรรรร!!!” เสียงรุ่นน้องในชมรมดนตรีมายืนเรียกอยู่ข้างหู ลากเสียงยาวเฟื้อย หลังจากเห็นรุ่นพี่นั่งอมยิ้มคนเดียวอย่างเหม่อลอย

ชายหนุ่มสะดุ้ง!! ตื่นจากภวังค์ทันที!!

“ใจลอยน้า…พี่การ จะได้เวลาประกวดการแข่งขันแล้วพี่ เข้าประจำโต๊ะกรรมการได้แล้ว”

ปฏิการยิ้มอย่างเขิน ๆ พูดอะไรไม่ออก รีบกระวีกระวาดลุกขึ้นหยิบกระดาษขาวเดินตามรุ่นน้องไปทันที

เวทีการประกวดจัดขึ้นกลางสนามบาสเก็ตบอลกลางแจ้ง บนเวทีมีฉากสีสันสวยสดงดงามได้รับความช่วยเหลือจากชมรมศิลปกรรม ลำโพงตัวใหญ่สีดำขนาบข้างซ้ายขวา เครื่องดนตรีทุกชิ้น อุปกรณ์ทุกอย่างพร้อมที่จะบรรเลงเพลงแล้ว คู่หูพิธีกรหนุ่มสาวแสนสวยและหล่อเหลาหน้าตาน่ารัก พูดจาคล่องแคล่ว แถมเจนเวทีเป็นอย่างดี กำลังแนะนำผู้เข้าแข่งขันคนแรกแล้ว บรรดานักศึกษาหนุ่มๆ สาวๆ ต่างให้ความสนใจมานั่งรอดูอย่างหนาแน่น บ้างก็รวมตัวกันมาเป็นกลุ่มใหญ่ ๆ กลุ่มเล็ก กลุ่มน้อย บ้างก็มาเป็นคู่ บ้างก็มาคนเดียว สนามบาสเก็ตบอลจึงดูเล็กไปถนัดตา แม้แดดจะเริ่มส่องแสงกล้าในยามใกล้เที่ยงวันเข้าไปทุกทีแล้วก็ตาม แต่กองเชียร์ยังไม่มีใครถอยหนี ต่างพกเสียงเชียร์ เสียงกรี๊ดกันมาเต็มที่

ปฏิการและคณะกรรมการทำงานกันอย่างขมักเขม้น นี่เป็นการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศ จากผู้ผ่านเข้ารอบ 10 วงดนตรี แต่ละวงเล่นดี วาดฝีไม้ลายมือกันอย่างเต็มที่เต็มความสามารถจนคณะกรรมการผู้ตัดสินหนักใจ จนมาถึงวงดนตรีวงสุดท้าย หนุ่มเซอร์นักร้องนำประจำวงกล่าวทักทายท่านผู้ชม

“เพลงที่ผมจะร้องต่อไปนี้ ขอมอบให้กับผู้ที่มีความรักอยู่ในหัวใจทุกคนนะครับ อย่าลังเลครับ หากคุณรู้สึกดีดีกับเขา จงทำตามเพลงนี้นะครับ เพลงแค่บอกว่ารักเธอ ของหมีพูห์ครับ หวังว่าทุกคนคงจะชอบ และมีความสุขทุกคนนะครับ” สิ้นเสียงนั้น เสียงกีต้าเริ่มโซโล่ขึ้นมาก่อน มือเบสและมือกีต้าพากันคลอรัสประสานเสียงนำขึ้นมา

ทนกับตัวเองมานานเหลือเกิน
ใครๆเขาก็ยังเมิน
ไม่แปลกใจเลยที่ไม่มีคู่ครอง

ประโยคแรกที่นักร้องนำขึ้นเสียงร้อง เรียกเสียงปรบมือจากบรรดาท่านผู้ชมดังเกรียวกราวลั่นสนาม เขาร้องเพลงได้ดีมาก และเลือกเพลงได้เหมาะกับโทนเสียงของตัวเอง

เธอมีใครหลายคนหมายปอง
ฉันเองก็ยังคอยมอง
แต่ไม่กล้าเหมือนเดิมจะทำฉันใด

* ถ้าหากรักนี้ ไม่บอกไม่พูดไม่กล่าว
แล้วเค้าจะรู้ว่ารักหรือเปล่า
อาจจะไม่แน่ใจ
อยากให้เขารู้ ฉันคงต้องแสดงออก
ไม่ใช่ให้ใครเค้าบอก
หรือว่าให้เค้าเดาเองว่ารักเธอ
(เธอต้องรักเขา)

ทนอึดอัดใจมานานหลายปี
ไม่กล้าใกล้เธอซักที
เจอกี่ครั้งก็ยังเป็นอยู่เช่นเคย
คุยกับตัวเองทำไมต้องกลัว เจอทีไร
ใจมันเต้นรัว ทั้งที่บอกกับตัวเองเรื่อยมา ว่า...

(*)

ใครจะไปคิดเอาเอง ว่าเองว่าเธอนั้นมีใจ
มันง่ายเกินไป เหมือนว่าหลงตัวเอง
เอ่ยไปเลยว่ารักไม่ต้องเกรงใจใคร
จะยากอะไร ก็แค่บอกว่าฉันรักเธอ

(*)

เค้าอาจจะบอกรักเธอ

นอกจากจะร้องเพลงได้ดีแล้ว การกล้าแสดงออกอย่างเป็นธรรมชาติ เป็นกันเองกับผู้ชม ขณะร้องเพลงออกเสียงอักขระได้ชัดเจน ตัวควบกล้ำ ออกเสียงได้อย่างถูกต้อง และในวรรคที่ต้องขึ้นเสียงสูง สามารถขึ้นเสียงสูงได้ดีทีเดียว

ปฏิการขยับปากกาในมือลงในช่องสี่เหลี่ยม เพื่อลงคะแนนเต็มให้เลย เขาเคยได้ยินเพลงนี้มาบ้าง แต่ไม่เคยสนใจฟังอย่างจริงจัง แต่วันนี้ เขากลับไม่รู้สึกเฉย ๆ เหมือนที่เคยฟังผ่านมา เขารู้สึกว่าเพลงนี้โดนใจตัวเองอย่างแรง มันสะกิดหัวใจของเขาเหลือเกิน

ที่เคยคิดว่าจะไม่บอกกับปริมอีกแล้วว่ารู้สึกอย่างไรกับเธอ จะเก็บไว้เงียบ ๆ คนเดียว ตอนนี้ความตั้งใจนั้นเริ่มไขว้เขวซะแล้ว…..


//www.kapook.com/newmusicstation/play.php?id=642 (ใครต้องการฟังเพลงนี้นะคะ คลิกเลยค่ะ)


==============

วันงานประจำปีของมหาวิทยาลัยที่ปริมและปฏิการศึกษาอยู่ได้เวียนมาถึงอีกครั้ง เป็นงานที่เน้นเอกลักษณ์และวัฒนธรรมประเพณีไทย มีทั้งขบวนแห่และพิธีต่าง ๆ มากมาย มีการจัดเป็นซุ้มต่าง ๆ ทั้งซุ้มสอยดาว ซุ้มความรู้ ซุ้มอาหารไทย ซุ้มขนมไทย ซุ้มการละเล่นไทย เป็นต้น บริเวณงานถูกประดับประดาด้วยวัสดุธรรมชาติและผ้าไทย ๆ ไว้อย่างสวยงาม ให้บรรยากาศย้อนยุค ได้กลิ่นอายของความเป็นไทย

ปริมมาถึงมหาวิทยาลัยแต่เช้าตรู่ ยืนจัดดอกไม้อยู่หลังฉากเงียบ ๆ คนเดียว เธอรับหน้าที่อยู่ซุ้มดอกไม้ไทยกลิ่นดอกไม้สดชื่นหอมอบอวลไปทั่วบริเวณ อากาศยามเช้ากำลังแจ่มใส ลมพัดผ่านฉากเข้ามาอย่างอ่อนโยน

ปฏิการเดินผ่านมาทางหลังฉาก เขากำลังเดินตามหาเธอนั่นเอง…รอยยิ้มบาง ๆ ปรากฎขึ้นบนใบหน้า เขารู้สึกว่าวันนี้เธอสวยเป็นพิเศษ เสื้อสีเข้มที่เธอสวมสีตัดกับดอกไม้สีหวานสดในมือเธอ ทำให้เธอดูน่ารักสดใส เหมือนคำที่บอกว่า ผู้หญิงควรคู่กับดอกไม้ เขามองเธอเพลินกับการจัดดอกไม้อยู่ครู่หนึ่งก่อนเดินอย่างเงียบกริบเข้าไปหาทางข้างหลัง

“ปริม” เขาโน้มตัวเข้าไปใกล้ แล้วกระซิบเรียกเธอเบา ๆ ได้กลิ่นหอมของพวงมาลัยดอกมะลิจาง ๆ ที่วางอยู่ข้างหน้าเธอ

หญิงสาวหันขวับมาทางต้นเสียง

“นายปฏิการ!”

ปริมตกใจรีบถอยฉากออกมา แล้วยืนมองเขาอย่างงงงัน แทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง นักร้องดังวงสตริงอันดับหนึ่งของมหาวิทยาลัยอยู่ในชุดราชปะแตน เสื้อคอพระราชทานสีขาว นุ่งโจงกระเบนสีม่วงเข้ม สวมถุงเท้ายาวสีขาว ร้องเท้าหนังสีดำเป็นมัน ที่สำคัญผมตัดสั้นหวีใส่น้ำมันเรียบแปล้ ดูสะอาด สะอ้าน คิ้วหนาเข้มเสริมให้หน้านั้นคมเข้มขึ้น ร่างสูงทำให้เขาดูสง่าผ่าเผย

ปฏิการยิ้มกริ่มเมื่อเห็นเธอมองเขาอย่างตะลึงงัน เข้าข้างตัวเองว่า ต้องตกตะลึงในความหล่อเหลาของตัวเขาเองเป็นแน่แท้

“ว่าไง…หวังว่า เธอคงไม่ลืมสัญญาระหว่างเรานะ”

ปริมเริ่มอึก ๆ อัก ๆ เมื่อเขาเริ่มทวงสัญญาอีกแล้ว

“ฉันก็รับนายเป็นเพื่อนแล้วไงล่ะ รับนายเป็นเพื่อนตั้งแต่ตอนไปแคมป์ไง ตอนดูดาวนายจำไม่ได้หรอ” เธอทำไม่รู้ไม่ชี้ แม้จะรู้ดีว่าสัญญาของเขาหมายถึงอะไร ชักหายใจไม่ค่อยทั่วท้องชอบกล

ตายละหว่า…!! เขาทำตามสัญญาได้หมดทุกข้อแล้ว คราวนี้เธอจะปฏิเสธคำสัญญาระหว่างเธอกับเขาไม่ได้อีกแล้ว

ชายหนุ่มยิ้ม “ถ้ามากกว่าเพื่อนล่ะ” พลางสาวเท้าเข้าไปใกล้อีกนิด

“ได้คืบจะเอาศอกหรือไง!” น้ำเสียงเธอเริ่มห้วนขึ้นเล็กน้อย

“ก็เธอพูดเองนี่…”

ปริมอึ้งไป พูดอะไรไม่ออก ต้องโทษตัวเองที่พลั้งปากพูดออกไปอย่างนั้นได้ยังไง ทำอะไรเขาไม่ได้ซักอย่าง ได้แต่จ้องหน้าเขาอย่างเคือง ๆ นี่เขาต้องการทำให้เธอจนมุมหรือไง

“คืบกับศอกไม่อยากได้หรอก” เขาเว้นจังหวะเล็กน้อยก่อนพูดต่อไป

“แต่…อยากได้หัวใจของปริมน่ะ ได้รึเปล่า”

ดอกไม้ที่ถืออยู่ในมือหลุดหล่นลงบนพื้น ปริมรู้สึกหน้าชาวาบขึ้นมาทันที บ้าชะมัดมาขออะไรกันดื้อ ๆ เช้าตรู่อย่างนี้นะ

“แล้วของแถมล่ะ ลืมรึเปล่า” เขายื่นหน้ามากระซิบบอกเบา ๆ น้ำเสียงยียวนกวนประสาทอยู่ในที

“หรือว่า เปลี่ยนให้ฉันหอมแทนก็ได้นะ แค่นี้เองไม่เป็นปัญหาสำหรับฉันเลย ฉันทำให้ได้ สบายมาก”
“บ้าสิ! อย่ามาทะลึ่งกับฉันนะ” ปริมตะหวาดเสียงเขียว

หญิงสาวรีบถอยตัวออกห่าง กลุ้มหนักกับคำถามก่อนหน้านี้ที่ไม่รู้จะตอบอย่างไรดี คำถามใหม่ดันเข้ามาทำให้ปวดหมองอีกแล้ว ก้มลงหยิบดอกไม้ที่หล่นลงบนพื้น

“เอ้า! เร็วสิ! หรือว่าเธอจะเบี้ยว! ฉันจะได้จำเอาไว้ว่า คำพูดของเธอเชื่อถือไม่ได้”

ปริมได้แต่นิ่งเงียบ สมองกำลังครุ่นคิดทำงานอย่างหนัก จะเลี่ยงเขาอย่างไรดีจึงจะไม่เสียคำพูด และเธอไม่เคยเสียคำพูดกับใคร

“ก็ได้…” เธอตัดสินใจ เอาไงเอากันวะ!

“หลับตาก่อนสิ”




ตอนที่ 11

ปฏิการหลับตาลงอย่างว่าง่าย ปริมจ้องมองใบหน้าคมเข้มของชายหนุ่มอยู่ครู่หนึ่ง ที่จริงเขาก็ออกจะหล่อเหลาเอาการไม่ใช่เล่น ตัดผมแล้วน่ารักขึ้นเป็นกองเลย ไม่นึกว่าเขาจะดูดีขนาดนี้ แถมตอนนี้ยังมาทำหน้ายิ้ม ๆ อีก แหม…มีความสุขจังเลยนะ มันน่าจะหยิกให้หายหมั่นไส้มากกว่า

ปริมตัดสินใจยื่นหน้าเข้าไปใกล้ ๆ แก้มของชายหนุ่ม ได้กลิ่นสบู่หอมสดชื่นอ่อน ๆ เธออึดอัดใจเหลือเกิน ทำยังไงก็ตัดใจไม่ลง ทำใจไม่ได้ ไม่คิดว่าจะต้องมาทำอะไรบ้า ๆ บอ ๆ แบบนี้ นึกโกรธตัวเองที่พูดอะไรไม่คิด ขนาดพ่อแม่ และพี่ชายที่แสนรัก เธอยังไม่เคยเข้าไปหอมแก้มเลย แล้วนี่เขาเป็นใครกัน? ที่จะต้องมาทำอะไรแบบนี้

แต่แล้วก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ทันควัน รีบทำตามความคิดนั้นทันที ค่อย ๆ ยกมือขึ้นอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ เกิดมาเคยตั้งใจถูกเนื้อต้องตัวผู้ชายคนอื่นนอกจากพ่อกับพี่ชายที่ไหนกัน แค่นี้ยังเป็นเรื่องยากสำหรับเธอเลย รู้สึกลำบากลำบนอะไรอย่างนี้นะ แต่ถ้าไม่ใช้วิธีนี้ก็ไม่รู้จะใช้วิธีไหนอีกแล้ว กลั้นใจเอาหลังมือสัมผัสแก้มของเขาเบา ๆ แทน แล้วรีบถอยออกมา

ชายหนุ่มลืมตาขึ้นมาพร้อมกับรอยยิ้ม

“ปริม…” เขาจับมือข้างหนึ่งของเธอขึ้นมากุมไว้เบา ๆ ด้วยความรักอย่างถนุถนอม

“ขอบใจปริมมากเลยนะ สำหรับทุก ๆ อย่าง เพราะเธอ ฉันถึงเป็นแบบนี้ได้ ได้กลับมาเป็นผู้เป็นคนกับเขาอีกครั้ง ฉันถึงอยากมีเธอไว้เคียงข้าง เพื่อที่เธอจะได้ช่วยเตือนสติฉันไงล่ะ”

ถ้อยคำของชายหนุ่มกับสายตาที่มองตรงมา ทำให้หญิงสาวนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ ทำอะไรไม่ถูก อยู่ดี ๆ เข้ามาจู่โจมแบบนี้ เป็นเหตุการณ์ที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อน หลังจากไล่ตามสติสตังค์กลับมาครบบริบูรณ์แล้ว รีบสะบัดมือออกจากการกุมไว้ของชายหนุ่ม รีบเอามืออีกข้างตีผวัะ!! ลงบนมือของเขาอย่างแรง เป็นการปราม และเริ่มร่ายกฎข้อบังคับ

“ห้ามมาถูกเนื้อต้องตัวฉันนะ เข้าใจมั้ย! ถึงแม้ฉันจะยอมรับนายเป็น….” คำสุดท้ายเสียงพาลขาดหายลงลำคอไปเสียเฉย ๆ

“แฟน!” เขาเน้นคำต่อให้ พลางยิ้มแย้มอย่างมีความสุข สิ่งนี้เองที่เขาต้องการจากเธอมานานแล้ว ต้องการให้เธอยอมรับเขานั่นเอง ยอมรับเขาในฐานะคนพิเศษของหัวใจ

“เออ…นั่นแหละ หากวันไหน นายกลับไปเป็นเหมือนเดิม สัญญาระหว่างเรา สัมพันธ์ทุกอย่างของเราเป็นอันจบสิ้นกัน นายห้ามทำผิดแม้แต่ข้อเดียว” น้ำเสียงนั้นขึงขังเอาจริงเอาจัง

“ฉันจะรักษาสัญญาทุกอย่างของเราไว้ พอ ๆ กับการรักหัวใจตัวเองที่จะได้มีปริมอยู่เคียงข้างฉันตลอดไป” เขายิ้มมองเธออย่างมีสุข ความรู้สึกอบอุ่นในหัวใจที่ขาดหายไปนานแล้ว ถูกเติมเต็มด้วยคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าคนนี้

“ต่อไปนี้นะ ถ้าใครมาถามปริมว่า มีแฟนรึยัง ต้องตอบว่า…”

ปริมขมวดคิ้วย่นยู่ยี่ แล้วตอบเลี่ยง ๆ ไป “รู้แล้วน่า…”

คิดในใจว่า…ตายล่ะ!! ต่อไปนี้เธอกลายเป็นคนมีเจ้าของไปซะแล้วหรือนี่!!

“ว่า…อะไร ตอบมาเร็วเข้า” เขาอมยิ้มกวน ๆ ยังไม่พอใจกับคำตอบ

“มีแล้ว!! พอใจรึยัง” แล้วเดินกลับไปตั้งหน้าตั้งตาจัดดอกไม้ต่อ

ปฏิการพยักหน้าอย่างพอใจ ยิ้มหน้าบาน ก่อนเดินตามเธอไป

“ปริม…จำได้มั้ย คืนที่เรานั่งดูดาวด้วยกัน แล้วมีดาวตก รู้มั้ยว่า…ฉันอธิษฐานว่าอะไร”
“ก็นายไม่บอก ฉันจะไปรู้หรอ”
“ฉันอธิษฐานว่า ขอให้คนที่ฉันต้องทำตามสัญญา คนที่ฉันจะทุ่มเทให้กับเขาเป็นคนดี”

ปริมยิ้ม อย่างไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่ได้ยินถ้อยคำจากเขา

“แล้วเธอล่ะ อธิษฐานว่าไง ฉันยอมบอกก่อนแล้วนะ”
“บังเอิญมากเลยรู้รึเปล่า…”

“ทำไมหรอ” เขาทำหน้าตาสนอกสนใจเป็นพิเศษ

“ก็อธิษฐานเหมือนกันน่ะสิ ฉันอธิษฐานว่า ขอให้คนที่ฉันต้องยอมรับ ทำตามสัญญาเป็นคนดี”

ปฏิการหัวเราะเบา ๆ อย่างไม่อยากจะเชื่อ แต่รู้สึกดีที่รู้ว่าเธอคิดเหมือนกัน สายตาเฝ้ามองเธอกำลังจัดดอกไม้อย่างไม่ยอมหันเหสายตามองไปทางไหนอีกเลย

ปริมพยายามไม่สนใจว่าเขากำลังมองเธออยู่ แต่มือไม้กลับหยิบจับดอกไม้อย่างเงอะ ๆ งะ ๆ ชอบกล ครุ่นคิดในใจจะมองอะไรกันนักกันหนานะ จะทำอะไรไม่ถูกอยู่แล้ว!!

“ปริม…ฉันมีอะไรจะบอกเธอ” เขาพูดขึ้นทำลายความเงียบงัน

ปริมก้มหน้าก้มตาจัดดอกไม้ ทำไม่รู้ไม่ชี้ แต่หัวใจกลับหวั่นไหว สายตาทำเป็นไม่สนใจ แต่หูกลับกำลังตั้งใจฟังเขาอย่างใจจดใจจ่อ

“อยากให้ปริมตั้งใจรับฟังนะ” เขาได้ยินเสียงหัวใจตัวเองมันเต้นแรงผิดปกติ พยายามเรียบเรียงคำพูดทุกคำเอาไว้ในใจ

เสียงเขาเงียบไปนาน จนเธอต้องเงยหน้ามองเขา และมองเห็นเงาของเธออยู่ในดวงตาคมเข้มคู่นั้น

ชายหนุ่มยิ้มบาง ๆ ที่เห็นเธอเงยหน้าขึ้นมามองหน้าเขาตามแผนอย่างหลงกล เขารู้…เธอไม่ใช่ไม่ใส่ใจฟัง เธอกำลังตั้งใจฟังเขาอยู่

“ฉันไม่ได้ชอบปริม”

คิ้วของหญิงสาวย่นเข้าหากัน จ้องหน้าฝ่ายตรงข้ามตาไม่กระพริบ เธอได้ยินผิดไปหรือเปล่า…???

อะไรนะ!! หมายความว่าไง? เธอไม่เข้าใจ

มันเกิดอะไรขึ้น? ทำไม? อย่างไร? เพราะอะไร?

คำถามประเดประดังเข้ามารอคิวในความคิดอย่างรู้สึกสับสน สมองกำลังตีความถ้อยคำความหมายที่ได้ยิน ความรู้สึกของเธอเปลี่ยนไปอย่างกระทันหัน!! เหมือนแก้น้ำที่ถูกเทน้ำเย็นจัดลงไปแล้วตามด้วยน้ำร้อนจัดทันที แก้วอาจจะเริ่มร้าว หรืออาจแตกโพละ!! กระจายเป็นเสี่ยง ๆ ทันที

นี่เธอสำคัญตัวเองผิดหรือ?? ที่เคยคิดว่าเธอมีความหมาย มีค่า มีความสำคัญสำหรับเขา คิดว่าเขาสนใจเธอ มันไม่ใช่เลย เธอเข้าใจผิด คิดไปเองตลอด ที่แท้เขาแค่ต้องการเอาชนะเธอเท่านั้น มาแกล้งทำดี เพื่อทำให้หัวใจของเธอไขว้เขว การกระทำที่ผ่านมาทุกอย่างของเขามันหลอกลวงทั้งเพ!!

“งั้นนายมาทวงคำสัญญากับฉันทำไม” เธอพูดสวนขึ้นมาทันที จ้องหน้าเขาอย่างไม่เข้าใจ ดวงตาร้อนผ่าว ใจเต้นแรงขึ้น ๆ

“ที่แท้นายแค่ต้องการเอาชนะฉันเท่านั้นเอง ใช่มั้ย?” เธอเน้นคำเสียงดัง ไม่หยุดให้เขาได้มีโอกาศพูดประโยคถัดไปได้เลย

“ฉันยอมแพ้นาย พอใจรึยัง” ปริมรัวคำพูดออกไปอย่างโมโหโทโส รู้สึกอับอายขายหน้าตัวเอง ทั้งเสียใจ ทั้งผิดหวัง ทั้งน้อยใจเหลือเกิน ไม่เคยเสียความรู้สึกกับใครมากมายเท่านี้มาก่อนเลยในชีวิต

“ฉันขอยกเลิกสัญญา”


ปฏิการนิ่งอึ้ง เขาพูดอะไรผิดไปเนี่ย มันจะไปกันใหญ่แล้ว!!

ทั้ง ๆ ที่เขาตั้งใจจะพูดถ้อยคำที่ทำให้เธอได้ฟังแล้วต้องเกิดแต่ความรู้สึกดีดี รู้สึกประทับใจ แต่นี่….!!! มัน…!!!

“ปริม…. ฟังฉันพูดให้จบก่อน ฉันยังพูดไม่จบนะ” ไม่คิดว่าคำพูดของเขาจะทำให้เธอโกรธขนาดนี้ เริ่มใจหายกลัวเหตุการณ์จะเลวร้ายบานปลายเข้าไปกันใหญ่ เขาพยายามจะอธิบายต่อ แต่ทำได้เพียงแต่อ้าปากค้างไว้เท่านั้น

“พี่ปฏิการ!!” เสียงใสของเด็กสาวรุ่นน้องดังเข้ามาก่อนจะมองเห็นตัวเธอเสียอีก
“นึกแล้วว่าพี่ต้องอยู่ที่นี่” เด็กสาวสวมชุดไทยเสื้อแขนกระบอกเดินเข้ามาในซุ้มดอกไม้ไทย

ทั้งสองหันไปมองต้นเสียงเป็นตาเดียวกัน

“อาจารย์และทุกคนรอพี่อยู่นะคะ ขบวนแห่พร้อมแล้ว”

ปฏิการมองดูเวลาที่ข้อมือ ตายล่ะหว่า!! ขณะนั้นบอกเวลา 7.30 น. เขาผิดนัดกับอาจารย์มา 30 นาทีแล้ว ลืมเสียสนิทเลย

“ว่าไงคะ พี่การ ทุกคนรอพี่อยู่คนเดียวนะคะ” สาวน้อยย้ำอีกครั้งหนึ่งเมื่อเห็นรุ่นพี่ยืนเป็นรูปปั้นอยู่อย่างเดิม

โอ๊ย!! มันอะไรกันเนี่ย…!! อยากจะบ้าตาย!!

เขาจะทำอย่างไรดี ยังไม่อยากไปไหนทั้งนั้น อยากอธิบายให้เธอเข้าใจเดี๋ยวนี้ ตอนนี้ อยากจะพูดกับเธอให้เข้าใจก่อน แต่จะไม่ไปก็ไม่ได้ เพราะได้รับปากทุกคนไว้แล้ว งานนี้เป็นงานใหญ่ของมหาวิทยาลัย เขาไม่ควรทำให้คนอื่นเดือดร้อนเพราะเขาคนเดียว และไม่อาจจะปฏิเสธความรับผิดชอบนั้นได้เลย ใจพะว้าพะวัง สับสนเหลือเกิน

แต่ในที่สุดเขาต้องตัดสินใจเลือก!!

“ปริม…ฉันต้องไปก่อนนะ รอฉันนะ เย็นนี้กลับพร้อมกันนะ นะครับ”

หญิงสาวไม่ตอบ ไม่สนใจ หน้าคว่ำจัดดอกไม้อย่างไม่พูดไม่จา ไม่รู้ว่ากลีบดอกไม้ช้ำไปบ้างหรือเปล่า ไม่มีคำตอบรับว่าจะคอยเขาเหมือนทุกครั้ง

ปฏิการตัดใจเดินจากมาทำหน้าที่ของตัวเองตามที่ได้รับมอบหมาย เขาไม่ควรทำให้งานที่เขาต้องรับผิดชอบเสียหาย พยายามข่มใจ ลืมเรื่องราวก่อนหน้านี้ชั่วคราว แต่…มันไม่ง่ายเอาเสียเลย

เมื่อเท้าก้าวออกจากซุ้มดอกไม้ไทย เขาสวนกับนายปกป้อง ที่กำลังจะเดินเข้าซุ้มดอกไม้ไทย คู่แข่งหัวใจของเขามาอีกแล้ว หนุ่มหล่อรถป้ายแดงคนนั้น เขาไม่เข้าใจ ทำไมหมอนี่! ต้องโผล่มาตอนนี้ด้วยนะ!! สถานการณ์ยิ่งไม่ค่อยดีอยู่ สร้างความกลัดกลุ้มกังวลใจมากขึ้นเป็นทวีคูณ ได้แต่ถอนหายใจครั้งแล้วครั้งเล่า

====================


เสียงหัวเราะคิกคักดังออกมาจากในครัว ปริมขมวดคิ้วอย่างสงสัย เสียงที่ได้ยินเป็นเสียงผู้หญิง และมีผู้หญิงคนเดียวเท่านั้นที่พี่ปรามของเธอจะพามาที่บ้าน ยังไม่ทันคิดอะไรต่อไป เพื่อนสาวของพี่ชายก็วิ่งออกมาที่ห้องรับแขก

“อ้าว! ปริมกลับมาแล้วหรอจ๊ะ มาเงียบเชียวนะ หิวมั้ย พวกพี่กำลังช่วยกันทำอาหารเย็นอยู่จ้ะ” ปิ่นขวัญทักทายด้วยน้ำเสียงแจ่มใส

“ค่ะพี่ปิ่น” ปริมรับคำสั้น ๆ ด้วยเสียงเนือย ๆ

“ปิ่นหายตัวไปไหน อย่าให้จับได้นะ!” เสียงพี่ชายตะโกนออกมาจากห้องครัว ก่อนที่จะพาร่างสูงก้าวตามเข้ามาทันที
“ปริมช่วยพี่ด้วยจ้ะ พี่ปรามของปริมจะรังแกพี่นะ” ปิ่นขวัญรีบวิ่งไปหลบอยู่ข้างหลังปริมด้วยใบหน้าแย้มยิ้ม

“ปริมขอตัวก่อนนะคะ” ปริมเดินเลี่ยงออกมาจากห้องรับแขก

ทั้งสองมองปริมอย่างรู้สึกงุนงง ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเธอ?

“ปิ่นตามไปดูปริมก่อนนะปราม” เธอรู้สึกถึงความผิดปกติของเด็กสาว

ปรามมองตามหลังไว ๆ ของน้องสาวด้วยสายตาห่วงใย

“ปล่อยให้ปริมเขาอยู่คนเดียวซักพัก ตอนนี้เขาอาจจะไม่อยากให้เราเข้าไปวุ่นวายนะ” ปรามพยักหน้าย้ำตามความหมายที่พูดไว้อีกครั้ง เพราะเขารู้นิสัยของน้องสาวดี

ทั้งคู่จึงกลับไปทำอาหารในครัวกันต่อ…คอยดูแลอยู่ห่าง ๆ และเฝ้ารอเวลาที่อาจจะทำให้เรื่องหม่นหมองในหัวใจของปริมดีขึ้นได้

ผิวน้ำกระเพื่อม เกิดคลื่นน้ำแผ่รัศมีกระจายตัวออกไปเป็นวงกว้างจากจุดศูนย์กลาง เมื่อปลาช่อนตัวโตโผล่ขึ้นมาฮุบเอาอากาศหายใจเหนือผิวน้ำ ก่อนมุดตัวหายลงไปใต้น้ำสีหยก กลีบดอกพลับพลึงสีขาวลอยไปตามน้ำในบึงที่เคลื่อนไหว ก้อนหินเล็ก ๆ ถูกขว้างไปกลางบึงก้อนแล้วก้อนเล่า คิ้วขมวดย่นอย่างกำลังใช้ความคิด ริมฝีปากเม้มสนิทราวกับกำลังตัดใจจากอะไรบ้างอย่าง ร่างของหญิงสาวที่สะท้อนเงาในน้ำไหวไปมาช้า ๆ

เรื่องราวเมื่อเช้านี้ยังวนเวียนอยู่ในสมอง บอกตัวเองให้ เลิกคิด! เลิกคิด! เลิกคิด! แต่ทำไม่ได้! ทำอย่างไรมันก็กลับมาคิดอีกอยู่ดี เบื่อตัวเองเหลือเกิน ที่ไม่อาจจะควบคุมความคิดของตัวเองได้ นี่เธอเผลอใจให้กับเขาแล้วหรือนี่!! ความหนักแน่น ความเข้มแข็ง มันหายไปไหนหมด

เธอถอนหายใจยาว ก่อนลุกขึ้นจากท่าน้ำ ปลาในบึงเคยเป็นที่สนอกสนใจของเธอเสมอ ตอนนี้ทำไมถึงไม่น่าสนใจอย่างเคย แล้วพาตัวเองไปเดินเล่นในสวนผลไม้ อาจจะทำให้รู้สึกดีขึ้นได้บ้าง พยายามดึงความสนใจให้อยู่กับสิ่งรอบตัว เอาใจจดจ่อกับสิ่งรอบข้าง

มะม่วงลูกโตกำลังห้อยเป็นพวงเล็กพวงน้อยดกเต็มต้นเชียว เป็นแต่ก่อนต้องรีบปีนป่ายไปเก็บมาทำน้ำปลาหวานจิ้มกินไปแล้ว แต่ตอนนี้…ทำไมรู้สึกเฉย ๆ ก็ไม่รู้ เงาะโรงเรียนสีแดงสดตัดใบสีเขียวเข้มห้อยระย้าเต็มต้นไปหมด มังคุดกำลังออกลูกสีม่วงอ่อน ๆ ผลไม้โปรดของเธอทีเดียว แต่ทว่าไม่ว่าจะเดินดูอะไร มันก็ไม่สดชื่นแจ่มใสเหมือนเคยเอาซะเลย แถมยังมีแต่เงาของเขาปรากฎอยู่ทุกหนทุกแห่ง ภาพที่เขาเคยวิ่งไล่จับตัวเธอมาหวดตีจนต้องกระโดดกระหยองกระแหยงหลบไม้เรียว เธอยังจำได้ติดตา เรื่องราวของเขามันกลับเข้ามารกสมองอีกแล้ว ยิ่งพยายามไม่คิด กลับยิ่งคิดมากขึ้น ทำไมถึงเป็นแบบนี้นะ เธอไม่เข้าใจตัวเองเลย

นึกถึงเหตุการณ์เมื่อเช้านี้ รู้สึกตำหนิตัวเองอย่างแรง ทำไมต้องแสดงกิริยาโวยวายโกรธขึงบึ้งตึงกับเขาขนาดนั้นด้วยนะ แบบนี้เขาคงรู้หมดว่าเธอเผลอใจให้เขาแล้ว

เฮ้อ….หมดกัน!!

อยากจะลืมเขาให้ได้เดี๋ยวนี้!! ทำไมทำไม่ได้นะ เฮ้อ…

เธอได้แต่ถอนหายใจครั้งแล้วครั้งเล่า

“ปริม…ฉันขอเวลาหน่อยนะ สักวันฉันจะต้องลืมเขาให้ได้” เธอบอกตัวเอง

ถ้าเขามาหาอีกจะทำอย่างไรดี ถ้าเจอหน้าเขาอีกจะทำอย่างไร ถ้า….ถ้า…ถ้าและถ้า…. ฯลฯ

เธอจะเป็นเพื่อนกับเขาต่อไปได้ไหม…เธอไม่รู้เลย รู้สึกแต่ว่า ตอนนี้ไม่อยากพบหน้าคนหลอกลวงคนนั้นอีกแล้ว…มันเจ็บที่หัวใจเหลือเกิน…

เสียงใบไม้แห้งบนพื้นดินเกิดเสียงดังกรอบแกรบ!! เหมือนมีคนกำลังเดินมา หญิงสาวรีบหันไปมอง

“ปฎิการ!!” เธออุทานอย่างตกใจ!!

“ปริม…”

เธอฉุนเฉียวเดินเลี่ยงไปทันที

“เดี๋ยวปริม!!”

ไม่มีถ้อยคำใด ๆ หลุดออกจากปากของเธอ เธอตอบเขาด้วยความเงียบ และสีหน้าบูดบึ้งแทนคำพูด รีบเดินหนีเขาไปอย่างรวดเร็ว

“อย่าเพิ่งไป ฟังฉันก่อน” เขาคว้าข้อมือเธอไว้ได้ทัน

“ฉันไม่มีอะไรจะพูดกับนาย!!” เธอเน้นคำ แล้วดึงมือตัวเองออกมา

แต่ทว่ากลับถูกชายหนุ่มดึงรั้งไว้

“ปริม!! ฟังฉันก่อน”

ปริมพยายามยื้อข้อมือตัวเองกลับคืนมา

เขามองเธอที่ไม่สนใจจะรับฟังอะไรทั้งนั้น พยามยามดื้อดึงจะเดินหนีไปอยู่ท่าเดียว เขาไม่มีวันปล่อยเธอเดินจากเขาไปอีกแล้ว….

ชายหนุ่มตัดสินใจก้าวซวบเข้าไปหาแล้วดึงเธอเข้ามาสวมกอดไว้ เขาไม่รู้จะทำอย่างไร จะให้เธออยู่เพื่อรับฟังเหตุผล ไม่ได้คิดจะล่วงเกินเธอแบบนี้เลย

“เธอกำลังเข้าใจผิดนะ ฉันมาเพื่ออธิบาย เธอยังฟังไม่จบ ฉันมาเพื่อตอบคำถามของเธอทุกคำถามที่เธอถามไว้เมื่อเช้านี้”

“นายกล้าดียังไงที่ทำแบบนี้!”

ปริมจ้องหน้าเขาด้วยดวงตาเบิกกว้าง และฉายแววโกรธอยู่ในดวงตาคู่นั้น

“นายทำแบบนี้กับฉันไม่ได้นะ!! ไปทำแบบนี้กับผู้หญิงของนาย! แฟนคลับของนายโน่น!” เธอพยายามผลักไสไล่ส่งเขาออกไปอย่างสุดแรง แต่ยิ่งพยายามออกห่าง กลับยิ่งถูกเขากอดเอาไว้แน่นขึ้นด้วยกำลังของคนหนุ่ม ไม่อาจจะหลีกหนีหลุดพ้นออกไปได้เลย

“ฟังนะ!! ฉันไม่เคยทำแบบนี้กับใคร!! และไม่เคยคิดจะใช้วิธีนี้ล่วงเกินใครด้วย” เขาตะโกนเสียงดัง

“แต่ฉันจะไม่ยอมให้เธอเดินจากฉันไปแบบนี้อีกแล้ว จากไปอย่างไม่เคยเข้าใจอะไรเลย จากไปอย่างเข้าใจผิดแบบนี้ ฉันไม่ให้เธอไป จนกว่าเธอจะฟังฉันจบ ได้ยินมั้ย!! ปริม!! เธอบอกฉันสิ! ว่าถ้าฉันไม่ทำแบบนี้เธอจะอยู่ฟังฉัน เธอจะไม่เดินหนีจากฉันไป” เขารัวพูดใส่เธอเสียงดังลั่น ราวกลับว่ากลัวเธอจะไม่ยอมรับฟังอะไรอีกเลย

ปริมนิ่งอึ้ง ไม่รู้จะทำอย่างไร สมองหยุดสั่งการชั่วคราว

เขากอดเธอไว้ในความเงียบงัน เหมือนโลกทั้งใบหยุดการเคลื่อนไหวชั่วคราว

“ปริมฟังนะ” เขาทำลายความเงียบขึ้นเมื่อเห็นเธอพร้อมที่จะรับฟังมากขึ้น

“ฉันไม่ได้ชอบเธอจริง ๆ แต่…มันเป็นความรู้สึกที่มากกว่านั้นนะ” เขาหยุดไปชั่วขณะก่อนบอกความหมายสำคัญของหัวใจกับคนที่อยู่ในอ้อมแขน

“ฉันรักเธอนะ ปริม” เขาพูดเน้นหนักอย่างชัดเจนทีละคำ

“ฉันรักเธอ ไม่เคยรู้สึกแบบนี้กับใคร นอกจากเธอคนเดียว”

ปริมนิ่งอึ้ง!! มันอะไรกันแน่ เขาต้องการเล่นตลกอะไรกับเธออีก เธอรู้สึกสับสน!

เขาค่อย ๆ ปล่อยเธอออกจากอ้อมแขน

“รักกับชอบมันไม่เหมือนกันนะ เธอเข้าใจมั้ย” เขาย่อตัวลงเล็กน้อย มองหน้าเธออย่างขอร้องให้เธอเชื่อและเข้าใจในสิ่งที่เขากำลังพูด

“ความชอบเป็นแค่ความสนใจเท่านั้น รู้สึกอยากรู้จักมากขึ้น แต่ความรักคือ การอยากทำให้คนที่เรารักมีความสุข และเธอเป็นคน ๆ นั้นที่ฉันไม่ใช่แค่สนใจ หรืออยากรู้จักมากขึ้นเท่านั้น แต่เธอคือคนที่ฉันไม่อาจจะทนเห็นเธอมีความทุกข์ได้” เขาพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงอ่อนลง พยายามค่อย ๆ อธิบายอย่างช้า ๆ และชัดเจน

ปริมได้แต่นิ่งเงียบฟังเขาพูด ความโกรธ ความไม่เข้าใจทั้งหลายทั้งปวงเริ่มคลี่คลายลง

“เชื่อฉันนะ” เขาจับมือของเธอขึ้นมากุมไว้เบา ๆ

“บ้า!!! นายมันบ้า!!”

เธอเข้าใจสิ่งที่เขาต้องการจะบอกเธอแล้ว

“นายแกล้งฉัน นาย…นายหลอกดูความรู้สึกของฉันเหรอ” เธอเข้าไปกระหน่ำรัวทั้งตีทั้งทุบเขาไม่หยุด

ปฏิการยึดมือเธอเอาไว้ รอยยิ้มแต้มอยู่ในสีหน้า

“ปริมกลัวฉันจะไม่รักหรอ”

เขาหัวเราะอย่างได้ที ความรู้สึกค่อยผ่อนคลายลงหลังจากตึงเครียดมาทั้งวัน ที่ต้องจมอยู่กับความกลัว ความกังวลใจตลอดเวลา

“บ้า!!!” สีหน้าเริ่มแดงระเรื่อขึ้นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

“นี่!! ปล่อยมือฉันนะ นายผิดกฎแล้ว”

“ก็มารัวทุบตีทำร้ายร่างกายเค้าก่อนทำไมล่ะ เค้าแค่ป้องกันตัวเองนะ แล้วก็ไม่ได้ให้สาว ๆ คนไหนก็ได้นะ มาถูกเนื้อต้องตัวเค้าได้แบบนี้” เขายิ้ม สายตามองปฏิกิริยาของเธอตลอดเวลา

“มีปริมคนเดียวนะ ที่ยอม…” ไม่รู้เหมือนกันว่าพูดอะไรแบบนี้ออกไปได้ยังไง แต่มันก็พูดออกไปเอง พูดออกไปแล้ว

“แล้วปริมล่ะ รู้สึกยังไงกับฉัน บอกมาซะดีดี” เขาหันกลับมาถามคำถามที่อยากรู้เหลือเกิน อยากรู้มานานว่าเธอคิดอย่างไร

“ฉันไม่ได้ชอบนายเหมือนกัน!!” เธอกระแทกเสียงใส่เขา

ชายหนุ่มใจหาย!! แม้อาจจะเดาว่าเธอน่าจะล้อเล่นก็ตาม

“พูดเล่นน่า…เอาคืนหรือไง”

ปริมไม่ตอบพยายามดึงมือตัวเองออกมา

“ไม่ตอบก็ได้นะ แต่ต้อง…” เขาไม่คืนมือให้เธอแถมดึงเธอเข้ามาใกล้

“ตอบ ๆๆๆๆ “ เธอตกใจ! รีบพูดรัวเร็วปรื๋อ เหมือนจะรู้ว่าเขาจะดึงเธอเข้าไปกอดเอาไว้อีกครั้ง

ชายหนุ่มยิ้ม “ว่าไงล่ะ รีบพูดมา เดี๋ยวเปลี่ยนใจนะ”

“ก็…ก็…” เธอพูดตะกุกตะกัก คอมันเริ่มตีบตันชอบกล

“ก็…รู้สึกเหมือนนายน่ะ นายรู้สึกยังไง ฉันก็รู้สึกอย่างนั้น” กว่าจะหลุดคำพูดนั้นออกไปได้ แล้วรีบดึงมือตัวเองออกมา ถอยตัวเองออกไปยืนห่าง ๆ ในระยะที่คิดว่าวิ่งหนีได้ทันแน่นอน

ปฏิการฟังคำตอบของเธออย่างนึกขำ เขารู้ว่าเธอพยายามเลี่ยงตอบอย่างอ้อม ๆ ไม่ยอมบอกออกมาตรง ๆ ด้วยคำ ๆ เดียว คำนั้น

“ปริม…ขอกอดทีหนึ่งได้ไหม…”

“บ้า!! ห้ามนะ!! บอกแล้วไงว่าห้ามมาถูกเนื้อต้องตัวฉันนะ แล้ว…นาย…ก็…กอดฉันไปตั้งหลายทีแล้วด้วย” ประโยคสุดท้ายพูดอ้อมแอ้มไม่ค่อยเต็มเสียง ความรู้สึกอายมันขึ้นมาเกาะกุมจิตใจอีกแล้ว

“ที่ผ่านมาฉันกอดเธอด้วยความเป็นห่วง เต็มไปด้วยความกังวลใจ เป็นทุกข์ใจทุกครั้งเลย อยากกอดเธอด้วยความสบายใจ มีความสุขสักครั้งไม่ได้หรอ” เขาพยายามอ้อน เท้าค่อย ๆ ก้าวเข้าไปหาเธออย่างช้า ๆ

“ไม่ได้!! ไปกอดคนอื่นดิ ฉันอนุญาต” เธอตอบเสียงเข้ม ใจคอรู้สึกไม่ค่อยดี

“บ้าดิ ฉันไม่ได้อยากกอดคนอื่นซักหน่อย” ชายหนุ่มทำหน้างอที่เธอไล่เขาไปกอดคนอื่นแบบนี้

“อยากกอดปริมคนเดียวนะ”

แต่ทว่าหลังจากมองดูสีหน้าตึง ๆ ของฝ่ายตรงข้ามแล้ว รู้ดีว่าคงไม่มีทาง เขาไม่ควรดันทุรังที่จะเห็นแก่ตัวต่อไป และกลัวที่สุดคือ กลัวเธอจะไม่ยอมให้เขาเข้าใกล้เธออีก

“เฮ้อ…ช่างเถอะ ไม่กอดก็ได้ ฉันล้อเล่นนะปริม งั้นนั่งคุยกันนะ ขอแค่ได้อยู่ใกล้ ๆ ปริมก็พอ ไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว จริง ๆ นะ”

“โอ๊ย!! “ ปริมตะโกนลั่นพร้อมกับกระโดดโหยง ราวกับถูกอะไรกัดเข้าที่เท้า

“เป็นอะไรหรอ!!” เขามีสีหน้าตกอกตกใจ

“มดกัด…ด!!“

ปริมหัวเราะ “ก็พูดซะหวานขนาดนี้ มดมันขึ้นแล้ว เดี๋ยวฉันไล่มดไม่ทันนะ มาเป็นโขยงเลย”

ปฏิการอดหัวเราะตามไปด้วยไม่ได้

“ปฏิการ…นายไม่เบื่อฉันบ้างหรอ ฉันทำไม่ดีกับนาย ทำตัวไม่น่ารักกับนายไว้ตั้งเยอะนะ”

“อืม…ฉันคิดว่าการที่เราจะรักใครซักคนเราต้องยอมรับในความไม่ดี และจุดบกพร่องของคนที่เรารักด้วย ต้องรักความไม่ดีของเขาด้วย ฉันรู้ว่า ปริมกำลังทดสอบความเพียรพยายาม ความหนักแน่นมั่นคงของจิตใจของฉันอยู่ ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน บอกตรง ๆ ว่า เคยพยายามจะลืมเธอหลายครั้งแล้ว แต่…ฉันไม่เคยทำได้เลย เธอยังอยู่ในใจฉันเสมอ”

ปริมยิ้ม รู้สึกอบอุ่นหัวใจ ที่มีคน ๆ หนึ่งพร้อมจะดีกับเธอ พร้อมจะยอมรับสิ่งที่เธอเป็น พร้อมจะให้อภัยเธอเสมอ และไม่เคยโกรธเธอเลย เขาเป็นคนที่แสนดีสำหรับเธอเสมอ เป็นคนที่เธอควรจะ “รัก”

“ขอบใจนายมากนะ ที่ดีกับฉันมาตลอด ขอโทษกับทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยทำไม่ดีกับนายด้วยนะ” เป็นครั้งแรกที่เธอกล้าสบสายตาของเขาที่มองมาตรง ๆ แบบนี้

ปฏิการมองเธอด้วยหัวใจที่เปี่ยมล้นด้วยความสุข เกือบสามปี นับจากวันเริ่มคำสัญญา ความเพียรพยายาม ความอดทนของเขาไม่ได้ไร้ความหมาย หรือสูญเปล่าเลย หากแม้วันนี้มันอาจจะไม่มีความหมายกับเธอเลย เขาก็ไม่เสียใจ เพราะการได้อยู่ใกล้ ๆ เธอตลอดมา เป็นสิ่งที่มีค่าสำหรับเขาที่สุดแล้ว

วันนี้…เขามองเห็นเงาของตัวเองอยู่ในดวงตาสวยคู่นั้นของเธอแล้ว…

ตุลาคม-พฤศจิกายน 2538
ปรับปรุงใหม่ 27-5-47


โดย: ริเศรษฐ์ วันที่: 10 ตุลาคม 2548 เวลา:21:04:12 น.
  
จะดูการทำน้ำปลา นี่ มันคืออะไร
โดย: easy_boy IP: 119.42.72.178 วันที่: 13 มกราคม 2552 เวลา:13:34:07 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Smile-of-friendship.BlogGang.com

ริเศรษฐ์
Location :
กรุงเทพ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]