(บันทึกสิ้นปี) Official Journal: What I learn from 2016 ความรัก ความสัมพันธ์ ในช่วงต้นปี 2016 การใช้ชีวิตอย่างอิสระ "โสด" โดยที่ไม่คิดจะผูกมัดกับใครนั้นถือเป็นเรื่องที่ดีและมันทำให้เรามีความสุข แม้บางครั้งจะมีบางช่วงบางเวลาที่เหงา รู้สึกโดดเดี่ยวไปบ้าง แต่ก็ไม่มีปัญหาอะไร ยังคงรู้สึกสบายดีที่ยังมีเพื่อนๆที่สามารถคุยกันได้ทุกเรื่อง และยังมีครอบครัวที่ยังอยู่พร้อมหน้าแบบนี้ แต่ใครจะฝืนกฏธรรมชาติได้ล่ะ "ความแน่นอนคือความไม่แน่นอน" "ทุกสื่งทุกอย่างย่อมเปลี่ยนแปลงเสมอ" เพราะงั้นมันจึงได้เกิดขึ้น เมื่อเราได้เจอและรู้จักกับคนคนหนึ่ง เขาดูเป็นคนจริงจัง มีความคิดอ่านเป็นผู้ใหญ่ และน่าค้นหา เราจึงตัดสินใจคุยและติดต่อคบกันตั้งแต่นั้นมา ในแต่ละวันที่ผ่านไปมีทั้งดีใจ เสียใจ สุขและเศร้าปนเปกันไป กับเรื่องของความรู้สึกเอาแน่เอานอนกับมันไม่ได้วันนี้หัวเราะ วันพรุ่งนี้อาจร้องไห้ วันนี้ถอดใจและหมดหวัง พรุ่งนี้อาจมีหวังและรู้สึกเติมเต็มก็ได้ จากเป็นคนที่คิดต่อต้านและฝืนกฎธรรมชาติ เพราะมัวคิดแต่จะยึดมั่นและไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง ทำให้เราเริ่มมองจากความเป็นจริง ยอมที่จะเปิดตาและเปิดใจ เรียนรู้ที่จะมองทุกอย่างจากสิ่งที่เกิดขึ้นจริง พยายามมองมันด้วยจิตและความคิดที่ไม่ปรุงแต่งใดๆ คิดทบทวนและพิจารณาจากความเป็นจริงมากขึ้น พยายามมีสติและควบคุมอารมณ์และไม่คิดฟุ้งซ่าน แม้ว่าตอนนี้จะพบว่ามันยากที่จะทำได้100% แต่เชื่อว่าถ้าหากเราทำได้เช่นนั้นแล้ว เราก็จะปล่อยวางและสบายตัวมากขึ้น ลดความรู้สึกทุกข์และความไม่สบายใจลงได้ ส่วนหนึ่งที่มีอิทธิพลต่อความคิดความอ่านของเราได้มากมายขนาดนี้ก็เพราะ ธรรมะและเซ็น ในปัจจุบันนี้วัยรุ่นหนุ่มสาวน้อยคนนักที่หันมาให้ความสนใจการศึกษาธรรมะเพื่อนำไปประยุกต์ใช้กับชีวิตประจำวันของเราน้อยลงทุกที เพราะมัวแต่ให้ความสำคัญกับวัตถุ ค่านิยมหรือกระแสโซเชียลต่างๆที่ล้วนเกิดขึ้นและไปอย่างรวดเร็ว การศึกษาหลักคำสอนและธรรมะเพื่อการดำรงชีวิตอย่างเข้าใจได้ง่ายและไม่ซับซ้อนเพียงวันละนิด ช่วยจัดระบบความคิดและขัดเกลาให้กระจกที่ขุ่นมัวอยู่ในใจนั้นค่อยกลับมาใสและมองทุกอย่างชัดเจนขึ้นได้ วันเวลาที่นับวันผ่านพ้นไปสามารถพิสูจน์อะไรได้หลายอย่าง นั่นรวมไปถึงความคิด พฤติกรรมและการกระทำของคนทุกคน เมื่อแรกเจอคนเราส่วนใหญ่มักจะปฏิบัติตนในสิ่งที่เราต้องการให้อีกฝ่ายเห็นว่าเป็นไปเช่นนี้ แต่กลับไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริงของเราซะทีเดียว กลับเลือกที่จะซ่อนนิสัยเสียหรือข้อบกพร่องของตนเองไว้ข้างใน และแสดงออกแต่ในแต่ด้านที่ดีงาม ที่ต้องการทำให้ผู้อื่นประทับใจเท่านั้น แต่ทุกสิ่งบนโลกนี้มีทั้งขาวกับดำ และเทา เหมือนเหรียญที่มีสองด้าน เหมือนปลาทองที่มีจุดด่างสีดำ หากมองสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องธรรมชาติ ไม่ผิดแปลกอะไร เราก็จะมองเห็นอะไรได้กว้างมากยิ่งขึ้น สำหรับเราแล้ว ความรักคือการเรียนรู้ เรียนรู้เพื่อเติบโตและพัฒนากันทั้งสองฝ่าย หากเขายังมองไม่เห็นความจริงข้อนี้หรือหากเขากำลังหลงทาง จงชี้ทางและปฏิบัติให้เขาได้เห็น เขาอาจจะยังมองไม่เห็นหรือเห็นแล้วแต่ไม่เข้าใจในตอนนี้ เดี๋ยวนี้ แต่หากเราเชื่อและหวังว่าสักวันเขาจะเห็น นึกขึ้นได้และเข้าใจ นั่นก็เท่ากับเรามีส่วนช่วยให้ตัวเขาจะได้เติบโตและพัฒนาให้ดีกว่าที่ตัวเขาเป็นอยู่ ให้เขาได้เห็นอีกมุมหนึ่งของชีวิตของใครอีกคน ให้เขาได้เปิดใจและมองโลกได้กว้างขึ้นเหมือนกับที่ตัวเราเองก็กำลังทำและเป็นอยู่ ความรักคือความเข้าใจซึ่งกันและกัน คนรักที่เอาแต่ใจและเห็นแก่ตัวเองนั่นเป็นความรักที่เห็นแก่ตัว จงอย่ายึดถือว่าตัวเราเป็นจุดศูนย์กลางของทุกสิ่ง จงทำความเข้าใจถึงทุกสิ่งทุกอย่างของอีกฝ่าย เรียนรู้ ศึกษา และพิจารณา ไตร่ตรองถึงเหตุและผลของสิ่งที่เป็นและเกิดขึ้นในตัวเขาคนนั้น จงอย่ามองหรือตัดสินเรื่องราวเพียงด้านเดียวมุมเดียว หากเราทำเช่นนี้ได้จะบังเกิดความเข้าใจและการยอมรับในตัวตน การยอมรับความจริง ใจเราก็จะไร้ข้อกังขา ไร้กังวล และผ่อนคลายในที่สุด เพราะมันเป็นของมันเช่นนั้น ความรักคือการให้ ในทุกวันนี้ คนที่มีความรักหรืออยู่ในความสัมพันธ์ส่วนมากมักคอยถามตัวเองอยู่เสมอว่า "ฉันต้องการอะไร? หรือฉันอยากได้อะไร?" เราคอยจะนึกถึงแต่ผลประโยชน์ กำไรขาดทุน สิ่งนี้นะหรือคือความรักความสัมพันธ์ที่บริสุทธิ์และจริงใจ หากยังไม่เข้าใจ ขอจงมองตัวอย่างความรักที่มีแต่ให้จากความรักของพ่อและแม่ที่มีให้กับลูก หรือหากจะยิ่งใหญ่กว่านั้นก็คงจะเป็นความรักของพระพุทธเจ้าหรือพระเจ้าที่มีให้กับทุกสรรพสิ่งบนโลกนี้ หากเราเรียนรู้ที่จะให้มากกว่ารับซะบ้าง เราจะพบว่าเรามีความสุขมากกว่าการนั่งรอรับการให้ของใครบางคนซะอีก เราจะรู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่าและนี่อาจจะเป็นเหตุผลสำคัญอีกข้อหนึ่งของความหมายของชีวิต |
บทความทั้งหมด
|