O สองฝั่งฟ้า ๑ ...O






เจียรนัย - จันทร์



.. อารัมภบท ..


๑. ล่องลอยเอย ..
ชะลอเผย .. ภาคลงสู่สงสาร
สืบเยื่อใยผูกพันแห่งวันวาน
ร่วมโอบกล่อมทรมาน .. ให้ลาญรอย

๒. กระแสเสียงสังคีตประณีตเสนาะ
ก็รินเซาะโสตแล้ว .. เพียงแผ่วค่อย
ก่อนจำหลักรูปนิมิต .. สู่จิตคอย
จนเกินคล้อยคิดล้างให้จางเลือน

๓. วิเวกพร้อมน้ำค้าง .. ผุดพร่างหยด
ลมตอบบท .. ดาวพร้อยแขคล้อยเคลื่อน
หอมโกสุมกำจรกลิ่นย้อนเยือน
แผ่วผ่านเตือนสำทับ .. ให้รับรู้

๔. ลอออ่อนหอมพรม-ผ่านลมร่ำ
ให้ดื่มด่ำอาวรณ์ที่ย้อนสู่
แฝงม่านหม่นมืดดำ .. ความดำรู
คล้ายรออยู่ .. ผูกพันตามสัญญา

๕. คำนึงฝ่าช่วงภพ, พระลบคร่อม
ผ่านทะเลดาวล้อมแสงห้อมหา
เผยร่องรอยเพรงกาลแต่นานมา
กลางนิทราลึกล้ำแห่งค่ำนี้

๖. กระแจะจันทน์ห้อมห่มร่ำลมโบก
ราวจะโกรกกล้ำร้ายให้ถ่ายหนี
ก่อนรื่นหอมกุสุมา..ดอกราตรี
จักคลายคลี่คลุมฆาน แต่กาลนั้น


....โฉมสะคราญสุดแดนดิน....


๗. พลิ้วพรายแห่งเศวตพัสตร์สะบัดผืน
พร้อมกลิ่นรื่นห้อมให้...ห้วงใจสั่น
ชดช้อยร่างแอบแฝงใต้แสงจันทร์
เพื่อแต่งฝันแอบ-ออ..ผู้รอคอย

๘. เสมือนร่างนิ่งหลับ..ใจกลับตื่น
เมื่อหอมรื่นลงเคล้า-เงียบ, เหงา, หงอย
หลังเพรียวร่างแทรกสงัดลงหยัดรอย
กระซิบถ้อยก็รุมเร้ากระเซ้าทรวง

๙. ในท่ามกลางรัตติภพ-พระลบล้อม
ก็ถึงพร้อมรูปแหนจากแดนสรวง
ลำดับนั้นจันทร์แจ่ม..ยอมแรมดวง
และงามปวง..ศิโรราบ ณ คาบนั้น

๑๐. จวบตาผู้หลับใหลเริ่มไหวตื่น
เมื่อใครยืนตรงหน้า..รูปพร่าสั่น
ร่างทะลึ่งผลุนนั่ง...ขนตั้งชัน
นี่ใครกัน..มายืน-ยิ้มรื่นตา

๑๑. ภูษิตขาวลมส่ายปัดป่ายริ้ว
เกศาปลิวเส้นส่ายปัดป่ายหน้า
แล้วราตรีหอมละมุนก็กรุ่นมา
แต่งรูปรอยปริศนา..ติดคาใจ

๑๒. งามขนง-วงพักตร์เลิศลักษณ์ล้ำ
ประกายน้ำเนตรพรับวับวับไหว
นาสิกโอษฐ์นลาตปรางดั่งนางใน-
ดุสิดาฟ้าไกล..มาให้ชม

๑๓. ขยี้ตาเกรงว่า..จะตาฝาด
แม้นหวั่นหวาด -กล้ำกลืนต้องฝืนข่ม
รำงับความวุ่นว้าในอารมณ์
เมื่อเนตรคมวาบแวว..พลิ้วแผ่วมา

๑๔. เป็นอัปสรทิพสุรางค์ หรือนางไม้
เพียงคิดไป..แว่วดังตอบกังขา
เป็นคนสิ...เคลื่อนขยับเห็นกับตา
รูปร่าง-หน้า...ฤๅเห็นไม่เป็นคน

๑๕. โอษฐ์ขยับยั่วล้อ..พูดต่อคำ
ราวตอกย้ำรำงับความสับสน
แล้วชดช้อยย่างยกอยู่วกวน
เฝ้าชวนสนทนาอยู่..อย่างรู้ใจ

๑๖. คนผู้นอนดึกดื่น..ย่อมตื่น-ช้า
ยากรู้ว่าตรู่สาง..เป็นอย่างไหน
หากวันนี้รอบร่าง..นั้นต่างไป
มีความงามผ่องใส..เดินไหววน

๑๗. ในห้องหับชายหนุ่ม..มาซุ่มซ่อน
คำจักค่อนติฉิน..ทั่วถิ่นหน
ใช่แห่งที่ให้สนุกเที่ยวซุกซน
แต่ไว้ค้นตำราวิชาการ

๑๘. กลางค่ำคืนเงียบสนิท..เหมาะคิดนึก
จดจารึกถ้อยคำ..ไว้ย้ำอ่าน
จวบแสงสางเบิกฟ้า..ทิวากาล
จักสำราญห้วงจิต..ในนิทรา

๑๙. ค่ำคืนนี้หลับฝันไม่ทันจบ
ต้องพลันพบใครหนึ่ง..อยู่ซึ่งหน้า
ขอนอนเถิด..สว่างแล้วแม่แก้วตา
แล้วค่อยย้อนกลับมาร่วมพาที





....มหาบัณฑิตนครหลวง....


๒๐. ย่างสิบเก้าโดยวัยของชายชาติ
เฝ้ามุ่งมาดปรารถนาทำหน้าที่
ของลูกโทนวรรณะคหบดี
ให้สองบุพการี..ได้ปรีดา

๒๑. จบโทยังไม่พอจะต่อเอก
ด้วยปัจเจกนิยมลึกในศึกษา
มีจิตใจตั้งมั่นทางปัญญา
ส่วนการค้าการขาย..กลับคล้ายเมิน

๒๒. เรียนเร็วกว่ามิตรสหายอยู่หลายปี
จนสุดที่สุดทางจักย่างเหิน
จำต้องเพิ่มเติมทางให้ย่างเดิน
ใช่เพื่อความเพลิดเพลินผลาญเงินทอง

๒๓. เฝ้าศึกษาสมาธิ..ทอนวิตก
คอยหยิบยกข่มคิดยามจิตล่อง
อีกเมตตาการุณละมุนมอง
ในครรลองปิยะบุตร..มีจุดยืน

๒๔. มารดาใฝ่ธรรมะ..แห่งพระพุทธ
จิตพิสุทธิ์ปรากฎแต่สดชื่น
เยือกเย็นสง่างามเช่นยามคืน
อันฟ้าผืนอร่ามเย็นแสงเพ็ญจันทร์

๒๕. อีกคืนค่ำ..ตรองตรึกเฝ้าศึกษา
อ่านตำราอำรุงความมุ่งมั่น
เหตุผลยกโยงมาสารพัน
จดจารบันทึกไว้อยู่ในคืน

๒๖. จะผ่านพ้นมืดค่ำอยู่รำไร
กลับร้างไร้โอษฐ์อิ่มมายิ้มยื่น
เหมือนเหงาเงียบสาปซ้ำให้กล้ำกลืน
เพื่อตาตื่น..คอยรับใครกลับมา

๒๗. แล้ว-ราตรีรวยริน..กรุ่นกลิ่นล้อม
แต่เมื่อความรื่นหอม, ละม่อมหน้า
ได้ผ่าวผ่านกำจาย, สู่สายตา
ทอนเงียบเหงาเหว่ว้า..จากราตรี

๒๘. ยืนกอดอก..เอียงคอมองล้ออยู่
จนอีกผู้เหลียวเห็น..ใจเต้นถี่
ยืนแอบเสามืดมัว..แม่ตัวดี
เถิดวันนี้จะถามไถ่..เอาให้รู้

๒๙. เอนหลังพิงเก้าอี้..ตาหรี่เพ่ง
มองคนเก่ง..เคลื่อนร่างเยื้องย่างอยู่
ฤๅอัปสรพรากโพยมเป็นโฉมตรู
เที่ยวเล่นอยู่ให้ดินได้ยินดี

๓๐. รูปพักตร์นั้นเมียงเมิน..แล้วเดินหา
หยิบตำราหนังสือ..พ่อฤๅษี
เปิดผ่านผ่าน..พักตร์นวลทำยวนยี
คล้ายเต็มทีกับวิถีของชีวิต..!

๓๑. อ้อนี่..!..จิตวิทยา, ปรัชญาพุทธ
หมายวิมุติหรือสวรรค์..ท่านบัณฑิต
ฤๅจะเป็นฤาษี..ผู้มีฤทธิ์
เอื้อมเหนี่ยวดึงพรหมลิขิตเอาลิดรอน..!

๓๒. ย่อมอยากเป็น..วาสี -ผู้มีฤทธิ์
เหาะขึ้นชิดที่ประทับหมู่อัปสร
แล้วไล่โลมโฉมล้ำกลางอัมพร
พาสู่เรือนให้อ้อนตะบอนตะบึง..!

๓๓. คนอยากเหาะขึ้นฟ้า..ปาก-ตายิ้ม
จนอีกรูปโอษฐ์อิ่ม..คลายยิ้ม - บึ้ง
เหมือนแววเนตรคมปลาบอยากสาปตรึง
ด้วยหมั่นไส้ใครหนึ่ง...จนถึงทรวง

๓๔. เจ้าบ้านหันมองฟ้านอกหน้าต่าง
ยังพราวพร่างดาวเดือนไม่เลือนล่วง
อีกหน้าหนึ่งก้มเรียวเห็นเสี้ยวดวง
หยิบจับปวงหนังสือ-เปิด-ถือ-วาง

๓๕. เอื้อมกรคว้ากระดาษมาวาดเล่น
ขีดเขียนเส้นหยาบหยาบเป็นภาพร่าง
รูปฤๅษีวาดลงอยู่ตรงกลาง
มีนวลนางรอบล้อม..คอยน้อมนบ..!

๓๖. จวบสุรีย์เยี่ยมภพ..พระลบลับ
คนยืน-กลับหลังหัน..ก็พลันสบ
ความว่างเปล่าเปลี่ยวนั้น..ช่างครันครบ
เงียบสงบแฝงเร้นดั่งเช่นเคย

๓๗. บนโต๊ะมีกระดาษ..ใครวาด-เห็น
ช่างล้อเล่น..ดีแท้..แม่คุณเอ๋ย
แล้วก็มาหายวับจนลับเลย
ไม่แม้เอ่ยสักคำก่อนอำลา..



....ปฏิสัมพันธ์....







๓๘. บ้านเก่าแถบบางกระบือ..แม่ซื้อไว้
เงียบสงัดสมใจดังใฝ่หา
เหมาะสมช่วงคืนค่ำ..อ่านตำรา
และพักนอนผ่อนล้า..เวลาเช้า

๓๙. เอนกายลงเตียงนอน..หนุนหมอนนึก
มาตอนดึก..เดินพล่านในบ้านเก่า
พอใกล้สาง..หายเร้น..ไม่เห็นเงา
เถิดจะเย้ายั่วให้...เมื่อได้เจอ

๔๐. “ตาฤๅษี”...ผลอยหลับลงกับหมอน
หลังจากนอนใจคล้อยตาลอยเหม่อ
หลับ-นึกหอมอบร่ำ...ใจพร่ำเพ้อ
คล้ายว่าคนหลับเผลอ..ละเมอคำ

๔๑. ตื่นขึ้นกลับบ้านแม่ตั้งแต่บ่าย
ด้วยนัดหมายร่วมงานอาหารค่ำ
งานสังคมโก้หรู..เหล่าผู้นำ
จึงคลาคล่ำปวงดรุณละมุนละไม

๔๒. ในงาน-มากสาวคอย..ชม้อยเนตร
ฤๅรู้เจตจำนง...ยังสงสัย
เห็นหัวร่อต่อกระซิกระริกไป
มองทางไหน..ลดาวัลย์พร้อมกันบาน

๔๓. บ้าง-พูดคุยกระซิบทราบ..ห่วงภาพพจน์
บ้าง-เลี้ยวลดพรมพร่ำ..ถ้อยคำหวาน
บ้าง-อวดยศใหญ่โตศักดิ์โอฬาร
บ้าง-เบื่อหน่ายรำคาญ..เลี่ยงผ่านไป

๔๔. ยืนมุมห้องพูดคุยกับคุณป้า
สำรวมท่าทีรับ..ดี-ครับ-ใช่
ป้าคุยเรื่องการเมืองแล้วเคืองใจ
เลยอาศัยหลานชายระบายความ

๔๕. จนห้าทุ่มส่งแม่กลับถึงบ้าน
เจ้าที่-ท่าน..ลอบเพ่งเหมือนเกรงขาม
ผายมือให้มองพิศ..ผู้ติดตาม
ก็เห็นงามพักตร์นั่ง..อยู่หลังรถ..!

๔๖. มารดาล่วงพ้นผ่านเข้าบ้านแล้ว
เสียงเจื้อยแจ้วเจรจา..ก็ปรากฏ
ท่านฤๅษี..จรจรัลจากบรรพต
มาสวมบทเข้มคม-อารมณ์เย็น

๔๗. สาวในงานมองอยู่ไม่รู้หรือ ?
มัวทึ่มทื่ออยู่ไหนถึงไม่เห็น
มัวขลุกอยู่กับป้า..ทำหน้าเป็น
คง-ลำเค็ญใจอยู่..ต้องสู้ทน

๔๘. แล้วลุกจาก..เบาะหลังไปนั่งคู่
เจ้าที่-ผู้..เมียงมองก็ล่องหน
หลังสบเนตรชายวาบ...ก็ทราบกล
ว่าภพภูมิเบื้องบน..ปะปนมา

๔๙. รถเลี้ยวกลางวิกาล..มุ่งบ้านเก่า
เงียบเสียงเย้า..ครู่เดียวก็เหลียวหา
เห็นคนช่างพูดเล่น..เขม้นตา
กับบรรดาเงาร่างที่ข้างทาง

๕๐. รถผ่านถึง..ภาพหายกับสายลม
แว่วรันทมโหยหอบ..อยู่รอบข้าง
คล้ายเสียงล้อครูดกรีดคนหวีดคราง
ก่อนเสียงรถพลิกขวางเส้นทางจร

๕๑. เหมือนว่าเหตุพ้นผ่านไม่นานนัก
แขนขาหักขาดเห็นอยู่เป็นท่อน
ขื่นคาวเลือดโลมพลอด..ผู้มอดมรณ์
ให้พักผ่อนตราบนิรันดร์ในวันนี้...

๕๒. รถผ่านโค้งเบื้องหลัง..ก็ดังคาด
ร่างปีศาจคืนห้อมเข้าล้อมที่
โบกรถผ่านไปมา..กลางราตรี
ร่างเหล่านั้นริบหรี่...เห็นสีเดียว

๕๓. หอมราตรีกรุ่นกลิ่นรวยรินสู่
ให้คนรู้อยู่เคล้าความเปล่าเปลี่ยว
คืนนี้ฟ้าหม่นครัน..ท่ามจันทร์เรียว
และส่วนเสี้ยวใจคน...วกวนคิด

๕๔. ใกล้กาลต้องจำพรากไปจากที่
เรียนดุษฎีอีกขั้นของบัณฑิต
ครั้งนี้..จะมีใคร..มาใกล้ชิด
ให้เพ่งพิศ..เนตรคม..คารม-กวน..?

๕๕. ถึงห้องอ่านหนังสือ..ตาปรือ-ง่วง
ชั่วคิดห่วง-รูปใครกลับไม่หวน
ช่างหายตัวเร็วเหลือ..แม่เนื้อนวล
ตราบเจียนจวนตาหลับ..รูปกลับย้อน..!


....จ้าวถนน....







๕๖. คล้ายยินเอื้อนเพลงล้อมเข้ากล่อมโสต
ดาลปราโมทย์กุมกัก..ผู้-พักผ่อน
คล้ายเผยออกเงื่อนเงา..ความเง้างอน
ให้คนมัวแต่นอน - แอบซ่อนยิ้ม...

๕๗. พลัน.!..หมอนอิงใครคว้า..แล้วปาใส่
จนอกใครกำเริบ..ความเอิบอิ่ม
จนสุดแสร้งบังคับตาหลับพริ้ม
เมื่อรูปพิมพ์พักตร์ยั่ว..จนหัวเราะ

๕๘. มีเด็กซนรอท่าที่หน้าบ้าน
น่ารำคาญ..อยู่มาก..เด็กปากเปราะ
เห็นไม่ว่า..เออหนอ..ทำออเซาะ
กระโดดเกาะรถได้..อาศัยมา

๕๙. เที่ยววิ่งเล่นแปะโป้ง..อยู่โค้งนั่น
พอเห็นพลันทำเหนียม..พลอยเยี่ยมหน้า
คงสัมผัสถึงเจตอันเมตตา
ของท่านวาสีหนุ่ม..ว่าชุ่มเย็น

๖๐. อ้อ..ใครกันขับผ่านไม่ทันมอง
แต่เหล่าผองคร่ำครวญ..นั่นล้วนเห็น
ที่รวมภพภูมิต่ำ..เหล่าลำเค็ญ
หลังถูกเข่นชีพวาง..ถมทางรถ

๖๑. ดุ่มเดินผ่านลานหญ้าสู่หน้ารั้ว
ท่ามมืดมัวไม้ทะมื่น..ลมตื่นบท
เงาร่างสูงใหญ่ครัน...ดั่งบรรพต
ทำหัวหดแอบสลัว..เหมือนกลัวใคร

๖๒. บัดนั้นร่างย่อลงที่ตรงหน้า
เดินกลัวกลัวกล้ากล้าเข้ามาใกล้
ผมผูกจุกรวบเกล้า..ด้วยเยาว์วัย
เค้าหน้าดูแจ่มใส...ลูกใครกัน

๖๓. น้า..อยู่บ้านนี้เหรอ..เอ้อเหอ-ใหญ่
พี่คนสวยน่ะใคร..ดุไหมนั่น ?
เกาะแขนพูดเจรจาสารพัน
และจากนั้น..พี่คนงาม..ก็ตามมา

๖๔. แอบชายหนุ่มโดยไว..ทันใดนั้น
ดูหวั่นหวั่นเนตรคม...จนก้มหน้า
งันเงียบอยู่ก่อนค่อยค่อยชม้อยตา
มือวันทา...รูปเห็น..หวังเอ็นดู

๖๕. ไยเที่ยวเล่นซุกซน..แกล้งคนเขา
นั่น..พวกเหล่าลำเค็ญ..ก็เห็นอยู่
คอยบาปร้อน..หยุดรุม..บุญอุ้มชู
ก่อนผ่านสู่..บริบท..ต้องชดใช้

๖๖. เห็นพ่อเที่ยวหาอยู่..ไม่รู้หรือ
เห็นในมือ..หวาดเสียว-ไม้เรียวใหญ่
อาจกำลัง..เมียงมอง..ก้นของใคร
แล้วหวดให้..รู้ทราบ..เข็ดหลาบ-จำ

๖๗. ไม่ทันจบคำขู่..ก็รู้หลบ
วิ่งฝ่าพลบหน้าตื่นกลางคืนค่ำ
คนช่างขู่..ข่มยิ้ม..เอมอิ่ม-อำ
เอ็นดู-ขำ..คนเก่งวิ่งเร่งไป

๖๘. ก่อน-รถผ่านโค้งนั่น..เห็นทันอยู่
เด็กนี่วิ่งเสียงอู้..ตีคู่ใกล้
เอามือป่ายปัดผ่าน..ในทันใด
รถเลื่อนไหลหลุดโค้ง..คว่ำตรงนั้น

๖๙. ทายาทผู้ลงทัณฑ์..โลกันต์ล่าง
ผู้คอยวางบริบท..กำหนด-บั่น
ชีพบรรดาชั่วโฉด..ลงโทษทัณฑ์
ตราบรอบกัลป์กัปเวียน..ปลิดเปลี่ยนใจ


....คำมั่นสัญญา....


๗๐. ราตรีหอมกรุ่นอยู่ไม่รู้ผ่อน
ราวจักซ้อนแทรกบทเพิ่มสดใส
แทนจันทร์ภาส, วาวน้ำเนตรอำไพ
นั้นวาบไหวเต้นผกาย..ให้ชาย-มอง

๗๑. มองเหม่อท่าม..กลิ่นหอม, ละม่อมหน้า
คล้ายกับว่าจันทร์บน-ถึงหม่นหมอง
แววในตาพิมพ์ประทับ..รูปจับจอง
ประทับแรงหมายปอง..ลงห้องใจ

๗๒. อีกไม่กี่คืนค่ำ..จะบำราศ
จากพิลาสรูปนิมิต..เคยชิดใกล้
ห้วงอรรณพเวิ้งว้าง..เส้นทางไกล
จักช่วยให้ใจมั่น..ฤๅบั่นทอน ?

๗๓. คล้ายใครหนึ่งคร่ำครวญ-ในส่วนอก
โดยวิตก-เลือนลับรูปอัปสร
ต่อนี้ใครจักเฝ้า-ยั่วเย้า, งอน
ใครจะอ้อนเสียงให้..โสตใครยิน

๗๔. ล่องลอยจากฟ้าไกล..มาใกล้ชิด
เพื่อคนพิศ-รูปพักตร์..สุดหักถวิล
มาอยู่ล้อต่อคำ..ถ้อยร่ำริน
แตะตื่นจินตนาการ..สะท้านสะเทือน

๗๕. ฤๅเยื่อใยร่วมสร้างแต่ปางหลัง
ช่วยเหนี่ยวรั้งใจฉุด..พารุดเคลื่อน
ดั้นด้นผ่านห้วงหาว..แสงดาวเดือน
ลงมาเยือนหล้าต่ำ..ในค่ำคืน

๗๖. คงด้วยแรงผูกพันร่วมบรรสาร
พาอ่อนหวานซ่านระบัดเกินขัดขืน
รอเพียงโน้มเหนี่ยว-รั้ง..ให้ยั่งยืน
เพื่อทรวงหนึ่งรมย์รื่น..ใต้ผืนดาว

๗๗. โอษฐ์เคยยั่วเย้านั่น..กลับงัน-เงียบ
ใต้เย็นเยียบพลิ้วพรม-คลื่นลมหนาว
ฟากฟ้าพู้นงามระยับแสงวับวาว
เช่นครั้งคราวระยับเนตร..วามเลศนัย

๗๘. เอื้อมมือจับ..กรเรียว..เดินเกี่ยวก้อย
ก้าวย่างคล้อยค่อยผ่าน ณ กาฬสมัย
ราศีสรวงรูปปองเกรงหมองไป
อด-ออมเถิดหัวใจ..เพียงไว้ชม

๗๙. แตกต่างในระหว่างสถานภาพ
จากบุญบาปปางหลังเคยสั่งสม
พาหนึ่งสู่ทิพสถานพิมานพรหม
หนึ่งจ่อมจม..ต่ำหล้า-ตั้งตารอ

๘๐. เมื่อความสัตย์มุ่งประพฤติเฝ้ายึดถือ
จึงเช่นไฟโหมกระพือเป็นสื่อล่อ
คำอธิษฐานเร่งเสียงจนเพียงพอ
ความก็คลอโสตใครจนได้ยิน

๘๑. ไต่โค้งรุ้งล่วงมา..สู่หล้าต่ำ
สู่ครวญคร่ำ..รอคอยรูปรอยถวิล
สัมผัสด้วยดุษฎี..ธุลีดิน
ร่วมเหนี่ยวจินตนาการ-ประสานนัย

๘๒. อีกสามปีย้อนกลับ..หมายรับรู้
จักมีใคร..คอยอยู่..รอสู่-ไฉน ?
จักมีฤๅ..ผกายน้ำ..เนตรอำไพ
ทอดทอความห่วงใย..อยู่ในดวง

๘๓. เหมือนล่วงรู้ความคิด, อีกจิตหนึ่ง
ที่คำนึงรูปแถน..ด้วยแหนหวง
ดาลระลอกซาบซึ้ง..อีกหนึ่งทรวง
เกินอาจหน่วงเหนี่ยวภพ..เลี่ยงหลบพ้น

๘๔. จิตกระหวัดผูกพัน..ยิ่งมั่นคง
ราศีองค์รูปรอง..ยิ่งหมองหม่น
จักรอขึ้นบรรจบ..ที่ภพบน
เกรงจิตใครอีกคน...เฝ้าวนเวียน

๘๕. ห่วงแต่เมื่อ..คำนึงส่งถึงอยู่
จะเกินกู้กลับให้ห้วงใจเปลี่ยน
หวังให้ผ่านนัยธรรมที่ร่ำเรียน
ช่วยกร่อนเกรียนเกลศกลบ..ร่วมภพกัน

๘๖. ถึงเวลาคงรู้และดูเห็น
หากครุ่นเค้นอธิษฐานบรรสารฝัน
ยังส่งแรงเร้ารัว..มาพัวพัน
รูปแถนนั้น..จักกลับมารับรอง







๘๗. พิศหน้า..ตรงหน้าสายตาสบ
ก็ครันครบ-พิสมัยแห่งใจสอง
เนตรงามสื่อตอบรับ...การจับจอง
สุดปัดป้องแรงถวิลในวิญญาณ

๘๘. ท่ามบุหลันโรจน์ดวงปลายช่วงพลบ
สองภูมิภพจิตมั่นร่วมบรรสาร-
ผูกสายใยสัมพันธ์แห่งวันวาน
จนมั่นคงยืนนาน..เกินบั่นทอน

๘๙. ถึงกาลต้องจำพรากไปจากหน้า
อกใจกลับเหว่ว้าเกินกว่าซ่อน
อกแห่งรูปนิรมิต-สุดลิดรอน-
แรงอาวรณ์...ที่เร่งรัวมาชั่วกัลป์

๙๐. จะรอคอยในสถานพิมานแมน
ก็สุดแสน-อกใจ..ช่างไหวหวั่น
ไหวเวียนท่ามอโนดาตพิลาสพรรณ
จนสุดบั่นอาวรณ์..ให้รอนรา


....อัสดงคตประเทศ....
ดินแดนพระอาทิตย์เที่ยงคืน






๙๑. ปีกเครื่องบินแผ่กางอยู่กลางหาว
เห็นเมฆขาวลอยเฟื่องอยู่เบื้องหน้า
เพ่งจับจ้องใจล่วง..ผ่านดวงตา
เป็นพัสตราขาวพลิ้ว..ออริ้วลม

๙๒. สะบัดโบกจนใจ..หนึ่งไหววุ่น
นึก..หอมกรุ่นแฝงเร้นในเส้นผม
เหินอยู่ใกล้ขอบฟ้า..ก็ปรารมภ์
จะตัดข่มคะนึงหา...เกินกว่าคิด

๙๓. คำนึงลอยล่องไปสู่ใครหนึ่ง
หวาม-ซาบซึ้งหนักหน่วงทั้งดวงจิต
รอเถิดรอ..ดวงใจ..รอใกล้ชิด
จะทวงสิทธิ์รูปสุรางค์ไว้ข้างกาย

๙๔. รูปเอย...รูปแถนในแดนสรวง
เกินหักห่วงอาวรณ์ให้ผ่อนหาย
ทิพลักษณ์จะยอมทอด..ลงวอดวาย
ก็แต่สายเยื่อใยแห่งใครนั้น

๙๕. จึงจำนงอุบัติภพ..คำรบใหม่
ด้วยแรงใจมุ่งมาด..ทั้งหวาดหวั่น-
เกรงพลัดร้างวงกัป..จนลับกัน
ยอมลดชั้น..ภูมิภพ..บรรจบรอย

๙๖. ร่างหนึ่งร่าง..เหินฝ่าเวหาห้วง
และรูปแถนหนึ่งดวง..ยอมร่วงผลอย
อุบัติท่ามประจิมทิศ..นิมิตคอย
เริ่มร่างน้อยลอยล่อง..ครรลองวัฏฏ์

๙๗. เนตรเขียวผ่องผกายเช่นฝ่ายพ่อ
งามลออเนียนนวลทุกส่วนสัด
อยู่แดนดินถิ่นหนาว..ลมผ่าวพัด
ฟากฝั่งอัสดงคต...กำหนดรู้

๙๘. ส่วนเทือกเถาเชื้อสายทางฝ่ายแม่
ก็ล้วนแต่ไกลห่างเกินย่างสู่
จากดินแดนยิ้มระรื่น..คนชื่นชู
หนึ่งในบูรพาแคว้น..ดินแดนไท

๙๙. บิดาเชี่ยวชาญลึกการศึกษา
เรียกศาสตราจารย์ผู้..รอบรู้ได้
ลูกศิษย์จากทั่วแดน..ทั้งแคว้นไกล
และเมืองใกล้..ใฝ่เฝ้ามาเล่าเรียน

๑๐๐. เข้าปีหนึ่ง..ใครหนึ่งคำนึงหนัก
แปลกใหม่อักขราผ่านให้อ่าน-เขียน
คนหนึ่งยอมลำบากคอยพากเพียร
คร่ำเคร่งเวียนวนตรองทำนองนัย

๑๐๑. ขวบปีหนึ่ง...ร่างน้อยค่อยค่อยย่าง
ตากลมโต, นวลปรางกระจ่างใส
ละก้าวยกย่างล่วง..ความห่วงใย-
ก็ขับไขเต็มตา..มารดานั้น

๑๐๒. ขึ้นปีสอง..งานวิจัย-เขาให้สิทธิ์
ให้เลือกคิด -หลายหลาก…ต้องบากบั่น-
แยกหมวดหมู่คอยวิเคราะห์ให้เหมาะกัน
โยงใยความสัมพันธ์...ให้ครันครบ

๑๐๓. ขวบปีสอง...ร่างน้อยเริ่มลอยหน้า-
จำนรรจา..แจ้วอยู่ไม่รู้จบ
ยามยิ้มราว-แจ้งล่วงทั้งห้วงพลบ
จะเกลี่ยกลบ..เพลิดเพลินก็เกินคิด

๑๐๔. ร่ำเรียนขั้นดุษฎี..ถึงปีสาม
สำเร็จตามฝันปวงในห้วงจิต
งามเอยหลายหลากวัย..เคยใกล้ชิด
มาจะบิดเบือนร้างไปห่างกัน

๑๐๕. ผมทองตาฟ้าห้อม..อยู่พร้อมหน้า
เพื่อนเพื่อนนักศึกษา..ผู้ก๋ากั่น
ขาวผุดผ่องแต่ล้วน..ผิวนวลพรรณ
รูปหน้านั้นก็สะคราญละลานนัยน์

๑๐๖. สูงเพรียวล้วนแบบบาง..ยามย่างก้าว
ก็เหยียดยาวทอดระยะ..จังหวะไหว
หมากฝรั่งเคี้ยวหยับหยับ...เดินฉับไว-
ผ่านผองเพื่อนปราศรัย..ยักไหล่ล้อ

๑๐๗. เรียนจบแล้วอาจารย์ให้ช่วยสอน
ในต่างตอนต่างบท .. จนจดจ่อ-
ด้วยลูกศิษย์ .. จึงเหมือนมีใจรีรอ-
อยู่ต่อล้อ .. รูปนิมิตในจิตตน

๑๐๘. แวะเยียมบ้านอาจารย์และภรรยา
"ใคร"...ก็มาเหนี่ยวรั้ง-ทุกครั้งหน
ด้วยมือน้อยแก้มอิ่ม..รอยยิ้มซน
ให้อีกคนอุ้มหอม-แก้มหอม"ใคร"

๑๐๙. ลูกสาวตัวน้อยน้อยของอาจารย์
เดินทั่วบ้านปากแก้ม-ยิ้มแจ่มใส
มาคอยแอบเมียงมองเหมือนข้องใจ
กับรูปลักษณ์คนไทย...ผู้ใจดี


....คิดถึงบ้าน....


๑๑๐. จนคิดถึงพ่อแม่ที่แก่เฒ่า
จะคอยเฝ้ารอรับ...คืนกลับที่
มาเล่าเรียน, ทำงาน..เนิ่นนานปี
กลับ-ให้สองบุพการีได้ปรีดา

๑๑๑. เก้าขวบปีผ่านไป..เร็วไวนัก
"ใคร"...หนึ่งจักยังคอยละห้อยหา
หรือจำพรากเลือนลับไม่กลับมา
ปรารถนาสบพักตร์อีกสักครั้ง

๑๑๒. เด็ก..ตัวน้อยเติบใหญ่สู่วัยรุ่น
ละม่อมละมุนสะท้อน-แม่สอน, สั่ง
เนตรเขียวนั้นลึกล้ำ..เป็นกำลัง
สงบเงียบขรึมขลัง...เกินหยั่งรู้

๑๑๓. เห็นพูดคุยถูกคอกับมารดา
ในทุกครั้งย้อนมาแวะหา-สู่
รอยยิ้ม-คำหยอกเล่น..แฝงเอ็นดู
ก็ตราอยู่..กลางใจของ"ใคร"นี้

๑๑๔. แว่วยินเสียงตอบรับ..ต้องกลับบ้าน-
เป็นอาจารย์..ปักหลักอยู่สักที่
เชื้อเชิญไว้ล่วงหน้า...ด้วยท่าที-
เต็มเปี่ยมความยินดี..ให้ไปเยือน







๑๑๕. หิมะหนาวปลิวผ่านถมลานหญ้า
เมื่อร่างนั้นเดินมา...ปากตาเปื้อน-
รอยยิ้มแย้มแจ่มใส...จนใครเบือน-
สีหน้าเจื่อนรับคำ...กล่าวอำลา

๑๑๖. ไม่รู้หรอกถ้อยคำ...ที่ย้ำสู่
กระทบโสตแว่วอยู่, แต่รู้ว่า-
ต่อแต่นี้หนึ่งใคร-จะไกลตา
ไม่แวะมาหยอกเล่น...ให้เห็นแล้ว



....กรุงรัตนโกสินทร์....









๑๑๗. เข้มครามหมู่เมฆขาวใต้ราวฟ้า
สกุณาส่งเสียงอยู่เพียงแผ่ว
ลำตะวันสาดสรวงทุกช่วงแนว
ส่งพราวแพรวโลมอาบทุกบาปบุญ

๑๑๘. เพียงครั้งคราวห้วงฝันชีวันหนึ่ง
ความตราตรึงบรรจบแสนอบอุ่น
กระแสธารเสน่หาได้การุญ
เอื้อละมุนละไมหวาน...วาบผ่านใจ

๑๑๙. จึงครั้งนั้นไพจิตรนิมิตช่วง
โลกทั้งปวงปรากฏความสดใส
ถ้วนรสหวานกลิ่นหอมพะยอมใด
เหมือนหลั่งให้อบร่ำทุกค่ำคืน

๑๒๐. บางกระบือ-บ้านเก่า..แสนเหงาเงียบ
อกก็เยียบเย็นอยู่..สุดรู้ขืน
เผยภาพผ่านตอกย้ำให้กล้ำกลืน
ใจก็ตื่นรอรับการกลับมา

๑๒๑. ปานฉะนี้ดวงสุดาอยู่ฟ้าไหน
จะรู้ไหมใครคอยละห้อยหา
ถวิลรอโอษฐ์นั้นจำนรรจา
รอสบตาผ่องผกาย..เมื่อชายค้อน

๑๒๒. งามเอยเนตรระยับ..ยังวับอยู่
ให้ปรารมภ์ด้วยตรู..สุดรู้ผ่อน
ขณะ..แววเขียวขาบกลับวาบ-วอน
ลงทับซ้อนสอดแทรก..ให้แปลกใจ

๑๒๓. คลับคล้ายจะผ่านเผย...ให้เคยเห็น
และคล้ายเร้นลอบระยะ..จังหวะไหว
นึกหลากหลายเนตรตรู...เคยรู้นัย
แต่กลับไม่เฉลียวนึก..แวว-ลึกล้ำ

๑๒๔. ไร้สิ้นร่องรอย..ที่คอยเฝ้า
รอรูปเงา..ย้อนมาสู่หล้าต่ำ
เนิ่นนานที่กาลล่วง...และช่วงกรรม-
เคลื่อนรอบนำโน้มภพบรรจบรอย

๑๒๕. ลมลูบตัวอ่อนพลิ้ว..โลมริ้วแก้ว
อ่อนเอนไหวเจ้าแล้ว..เพียงแผ่วค่อย
น้ำค้างหยาดหยดรอ, ผู้รอคอย-
คล้ายอารมณ์เงียบหงอย..ด้วยน้อยใจ

๑๒๖. สะท้านขั้วหัวใจ..อยู่ในรุ่ง
แต่หมายมุ่งคืนวัน..เคยหวั่นไหว
สะท้อนนั้นร้อยบ่วง..ความห่วงใย
ผูกสองใจไว้มั่น..เป็นพันธนา

๑๒๗. ระเหยห่างหายไปน้ำใสหยาด
บริสุทธิ์และสะอาดก็ปราศค่า
แต่ผกายเนตรหวาน..ไหวผ่านตา
รับรู้ว่า..เกินคิดจักปลิดปลง

๑๒๘. เป็นอาจารย์คนใหม่..ด้วยวัยหนุ่ม
หลักการรุมจับจูงจนสูงส่ง
มีจุดยืนหยัดยัน..อย่างมั่นคง
มีจำนงหยัดย้ำชี้..นำทาง

๑๒๙. ลูกศิษย์สาวสาวพลอยชม้อยชม้าย
ตาคอยชายชำเลือง..ทุกเยื้องย่าง
เอ็นดูก็แต่นัย..น้ำใจนาง
แต่ขวากขวางในอก..สุดยกย้าย

๑๓๐. เจ็ดขวบปีผ่านล่วงอีกช่วงคาบ
ก็รับทราบรูปปอง..ว่าล่องหาย-
ร้างไร้รูปนิรมิต..เคยชิดกาย
เลือนล่วงสายใยลับ..ไม่กลับย้อน



....กรุงสตอร์คโฮม....
ราชอาณาจักรสวีเดน







๑๓๑. วัยสิบเจ็ดสาวสะพรั่งกำลังแย้ม
วงพักตร์แกมแววระยับ..เนตรอัปสร
เขียวขาบผกายนัยน์..คล้ายไฟฟอน
ที่สุมซ่อน..สำนึกอันลึกล้ำ

๑๓๒. ประหนึ่งสร้อยสุวคนธ์โกมลมาศ
พวงพิลาสย้อยระย้า..เพื่อหล้าต่ำ-
รับหวานหอมน้อมแนบ..คอยแอบอำ
คอยเสพซ้ำรสประทิ่น...ที่รินรวย

๑๓๓. และประดุจพวงผกากลางป่าหนาว
ออกดอกขาวโพลนถิ่น..หอมกลิ่น-สวย
ทอตะวันสาดซ้ำก็อำนวย-
กำลังช่วยแต่งพิจิตรให้พิศชม







๑๓๔. เติบเต็มรูปงดงาม..แห่งยามแรก
และเหมือนแทรกรหัสฤทธิ์เกินปลิด-ข่ม
ถ้วนรูปชายบรรดา..ไร้ปรารมภ์-
จะบาลบ่มจิตปลูก..ความผูกพัน

๑๓๕. มองไปบนท้องฟ้า..เหมือนฟ้าเศร้า
ร้างรูปเงาอำไพ..ที่ใฝ่ฝัน
คืนนี้ฟ้ามืดมิด..ไม่ผิดกัน
กับทรวงหนึ่งมืดครัน..จากหวั่นคอย

๑๓๖. มองที่ขอบฟ้าไกล..จิตไหลล่อง
ที่หล่นฟ่องฟ้าแล้ว..คงแผ่วค่อย
เกล็ดขาวคงคว้างปลิว..เป็นริ้วปอย
เคว้งคว้างเอยใจละห้อย…ดั่งปอยนั้น

๑๓๗. คล้ายสัญญาเบื้องก่อน..คอยย้อนหา
เป็นรูปรอยปริศนา..ที่พร่าสั่น
วูบไหวภาพเผยผ่านจากวานวัน
ประโลมขวัญแอบออ..ให้รอคอย

๑๓๘. คอยจะพบเจอกันในวันหน้า-
ที่น้ำ, ฟ้า-คลอเคล้าความเศร้าสร้อย
ผืนแผ่นมหาอุทก..จะยกลอย
และจุลชีพตัวน้อยจะผล็อย...จม

๑๓๙. เมื่อลมร่ำ-ค่ำหนาว..จึงหนาวยิ่ง
พร้อมใจหญิงตื่นอยู่...สุดรู้ข่ม
ด้วยแรงฤทธิ์ปริศนา, รอบปรารมภ์-
ผูกเงื่อนปมในจิต..เกินคิดคลาย

๑๔๐. ให้สงสัยฉงนอยู่แต่ผู้เดียว
ท่ามมืดค่ำเปล่าเปลี่ยว, ส่วนเสี้ยวสาย-
ใยหนึ่งเฝ้าลอบเร้นไม่เว้น, วาย
จนสุดถ่ายสุดถอน...อาวรณ์นี้

๑๔๑. ท่ามสังคมรอบทิศ..กลับผิดแปลก
และความแตกต่างเริ่ม-จะเพิ่มถี่
ในกริยาทั้งปวง...ในท่วงที
แช่มช้อยงดงามมี..ในลีลา

๑๔๒. คล้ายร่องรอยเงาร่าง..แต่ปางก่อน
คอยสุมซ้อนเพิ่มแรง..แสวงหา
และคล้ายครั้งเยาว์วัย...ผู้ไกลตา-
ประทับรอยตรึงตรา..ความอารี

๑๔๓. นานแล้วที่...หายลับไม่กลับย้อน
พาใจหนึ่งทอดถอนสะท้อนถี่
นานแล้ว...ไม่เห็นหน้าและวาที
จะอยู่ดี..หรือไฉน..คนไกลตา

๑๔๔. จนแว่วเสียงหัวร่อ...ของพ่อแม่
จึงเยี่ยมหน้าไปชะแง้..ชะเง้อหา
คล้ายคล้ายคนจากกัน..แลกพรรณนา
ถ้อยเหมือนว่ายามเอ่ย...คล้ายเคยยิน

๑๔๕. คงผองเพื่อนพ่อแม่..ที่แวะมา
วางแผนลาเที่ยวไป..ที่ไกลถิ่น
ที่ที่ฟ้าครามใส..น้ำไหลริน
ตอบโจทย์จินตนาการ..แห่งวานวัน

๑๔๖. จะผ่านห้องมุ่งหน้าไปหาเพื่อน
ใครก็เบือนมามอง...จนต้องหัน-
หน้า, หยุดสบตา..จ้องตากัน
คือคนนั้น...คนไทยผู้ไกลตา...

๑๔๗. ธรรมเนียมไทยรู้แค่-ที่แม่สอน
กระพุ่มกรน้อมคอ..ลงต่อหน้า
นึก..รูปลักษณ์ยังเช่นที่เป็นมา
ยิ้มอ่อนโยนหนักหนา...กอปรท่าที

๑๔๘. ดูเถิด..เมื่อวันก่อนยังอ้อนแม่
คอยชะแง้ตัวเบี่ยงหลบเลี่ยงหนี
มาเติบเต็มงามสง่ารูปนารี
ให้คนที่นึกถึง...ตะลึงมอง

๑๔๙. ก่อนค่อยค่อยเลี่ยงผ่านมาบ้านเพื่อน
รูปเอยรูปกลับเหมือนยากเลือนล่อง
กระทันหันเกินปรับใจรับรอง-
การจับจ้องมองเห็นแสน..เอ็นดู

๑๕๐. แว่วพ่อถามวาระการประชุม
เสียงเนิบนุ่มใครหนึ่งก็ถึงหู
เส้นทางรถพอดีผ่าน..ใกล้บ้านครู
คิดถึงอยู่..จึงตระเตรียมมาเยี่ยมเยือน

๑๕๑. ยังไม่แก่สักนิด..ยามพิศเพ่ง
หน้ายังเปล่งราศียากมีเหมือน
แววอ่อนโยนในตา...เกินกว่าเลือน
ยังตามเตือนต่อให้..ห้วงใจจำ

๑๕๒. เสียงแม่ถาม..ตอบล้อ..ยังคลอโสต
ว่ายังโสดสดพอ..หัวร่อขำ
เสียงห่างหาย..ตามเท้าที่ก้าวนำ
กลับหยั่งย้ำใจคนให้วนคิด







๑๕๓. ที่สงสัยไม่วายก็คลายสิ้น
ที่เคยจินตนาแท้..ล้วนแต่ผิด
เถิด-ใช่ว่าอยากรู้นัก-แม้สักนิด
มันก็สิทธิ์ของใคร..ของคนนั้น

๑๕๔. อยู่บ้านเพื่อนเนิ่นนาน..จวบกาลคล้อย
หากเรื่องร้อยสารพัด...เกินตัด-บั่น
พูดคุยร่วมร้องเพลง..ครื้นเครงกัน
ล้วนภาพฝัน..ลอยล่องราวต้องมนต์

๑๕๕. กลับถึงบ้านมารดาเหลียวมาเห็น
ก็สุดเร้นปรากฎ .. เลี่ยงบทบ่น
เมื่อฝีเท้าแผ่วดังด้านหลังตน-
พร้อมสีหน้าแปลกพิกล .. ให้ยล-ยิน

๑๕๖. ปิดเทอมแม่จะกลับไปเมืองไทย
เยี่ยมยาย, ญาติผู้ใหญ่เสียให้สิ้น
มาอยู่ไกลเหลือแสนจากแผ่นดิน-
บ้านเกิด-ถิ่นเมืองนอน..จักย้อนเยือน

๑๕๗. รื่นรมย์เหลือกระไรจะได้เที่ยว
และส่วนเสี้ยวหัวใจ..กระไรเหมือน-
สุขลอบเร้นลุกลาม..คอยตามเตือน
เกินบิดเบือนระยับช่วงสองดวงดาว

๑๕๘. ระยิบเอยแววตา..ใต้ฟ้าต่ำ
ผ่องผกายร่ายรำในค่ำหนาว
ระบัดเรื้องเบื้องหลังแต่ครั้งคราว-
เมื่อใจสาวเริ่มละห้อย..คล้ายคอยใคร

๑๕๙. ไต่ขอบฟ้าโค้งรุ้งมาปรุงเปลื้อง-
ความเรื่อเรื้องสำหรับขึ้นขับไข
ทอดทอส่องแรงสว่าง ณ ข้างใน-
แห่งห้วงของหัวใจ...ของใครนั้น

๑๖๐. ราวแผ่นพื้นธารอุทก..ลมวกไหว
ย่อมกระเพื่อมเลื่อมไหล-วงไหวสั่น
แรงคำนึงวนว่ายก็คล้ายกัน
จะวาบหวั่น..ความนัยขึ้นไหววน

๑๖๑. ระบัดงามท่ามฟ้า..ในคราค่ำ
เหมือนจะคอยตอกย้ำซ้ำซ้ำหน
ว่างามหนึ่งลามล่วงถึงดวงมน
อุบัติตนแต่เมื่อไร..ก็ไม่รู้

๑๖๒. คืนร่องรอยงดงาม..แห่งความฝัน
ครั้งสัมพันธ์วัยอ่อนให้ย้อนสู่
ครั้งนั้นล้วนแต่เป็น..ความเอ็นดู
หากครั้งนี้แปลกอยู่...ยากรู้แล้ว

๑๖๓. จะรู้ไหม..ใครหนึ่งคะนึงหา
แต่สบตาใจเจ้า..ถอน..เบาแผ่ว
เกรงนักเนตรผกายจะฉายแวว-
ปอกใจแก้วแจ่มจ้า..สู่ตาคน







๑๖๔. ค่ำนี้..หิมะขาว..ฟ่องราวฟ้า
ฤๅ..ฝั่งโลกไกลตาต้องห่าฝน
ค่ำนี้..ใจหนึ่งคำนึง..วน
ฤๅ..ผู้อยู่ไกลพ้น..จะดลใจ

๑๖๕. หนาวหิมะ..ห่มกาย..อาจถ่ายถอน
แต่ซาบซึ้งอาวรณ์สุดถอนไหว
อบอุ่นละมุนแสนจากแดนไกล
ฤๅอาจใช้ป้องสาว..จากหนาวนี้


....คำนึงแห่งชายชาญ....







๑๖๖. เพียงชั่วระยะคาบสบภาพนั้น..
คล้ายใจสั่นลอบเร้น..แล้วเต้นถี่
ถ้วน-แววเนตร, กิริยา, ทั้งท่าที
คล้ายรูปที่งามละมุน..เคยคุ้นตา

๑๖๗. ไม่เคยนึกเคยฝันจะพลันพบ
ร่วมบรรจบรูปรอย..ผู้คอยหา
สุดคาดคิดรูปนิมิตในนิทรา
จักย่ำช่วงมรคา..ผ่านมาเจอ

๑๖๘. จากรูปเงาในฝัน..แห่งวันก่อน
มาแทรกซ้อนห้วงใจ..ทุกไพล่เผลอ
แต่งรื่นรมย์ลึกล้ำเข้าบำเรอ
เร้าทุกช่วงคิดเหม่อ..ให้เพ้อครวญ

๑๖๙. คล้ายพิศรูป..พักตร์แก้มแล้วแจ่มจ้า-
แก่ใจว่า..ทิพลักษณ์เจ้าจักหวน-
กลับลงมา..ร่วมภพบรรจบจวน
ผ่านรูปนวล..ให้ถวิลได้ดิ้นรน

๑๗๐. ดวงใจเอย..ชั่วข้ามไปตามรับ
คือสิ้นช่วงลำดับใจสับสน
ลบเลือนช่วงหวั่นไหวของใจคน
พร้อมไหววนเยือนย้ำรอบคำนึง

๑๗๑. สุดขอบฟ้าดินแดนแห่งแคว้นไกล
ฝากลมหอบอาลัย..ส่งไปถึง
ร่วมพิรุณหยาดย้ำ..ถ้อยรำพึง
อันใจหนึ่งละห้อยเห็นยากเว้นวาย

๑๗๒. เริ่มเถิดหรือ..พิรุณพิลาปร่ำ
ให้ม่านแพรผืนน้ำครวญคร่ำสาย
แทนอกใครครวญคร่ำบอกรำบาย
ความมุ่งหมายฝันใฝ่..แห่งใจตน

๑๗๓. เสน่หาประหนึ่งฝนจะหล่นไหล
เข้าท่วมใจเติบเต็ม..อย่างเข้มข้น
จะแทรกซึมทุกช่วงของดวงมน
สุดเลี่ยงพ้นหลบได้..นะใจเอย

๑๗๔. กระซิบผ่านสุจริต..ในจิตหนึ่ง
รอซาบซึ้งใครนั้น..รำพันเผย
แสงวิชชุช่วงตระการ..รอผ่านเลย
เช่นช่วงความนัยเอ่ย..รอเชยชม

๑๗๕. ไม่เคยนึกเคยฝัน, กลับบรรจบ
ชะลอรูปผ่านภพ..บรรสบ-สม
ให้ใจหนึ่งแห่ห้อม..คอยจ่อมจม
มุ่งปรารมภ์ถวิลอยู่...ไม่รู้วัน...

๑๗๖. หากไกลห่างในระหว่างสถานภาพ
จึงทำใจรับทราบ-เพียงภาพฝัน
มาคำนึงหวั่นไหว...อยู่ไยกัน
ด้วยกีดกั้น...จากวัย...ยิ่งใหญ่นัก

๑๗๗. ฉงนใจไฉนอยู่...ความรู้สึก-
แสนอ่อนหวานตราผนึก...ล้ำลึกหนัก
มารู้สึกเฉกเช่น...ผู้เร้นพักตร์
ซ้ำซ้อนรูปทิพลักษณ์...จำหลักรอย

๑๗๘. เพียงสบเนตรเขียวขาบก็วาบหวิว
สัญญาก็ปลิดปลิว...ล่องลิ่วถอย
สู่ภาพหนึ่ง..นวลลออ..ผู้รอคอย-
เป็นภาพเจ้าชดช้อยชม้อยตา..

๑๗๙. บัดนี้ห่าง..เห็นกาย..คงหายลับ
เลือนไปกับอบอุ่นและคุณค่า
หากอีกหนึ่งความหมายก็คล้ายมา-
เติบตนจนแกร่งกล้า...ให้อาวรณ์


ต่อภาค ๒




Create Date : 19 กรกฎาคม 2554
Last Update : 2 ธันวาคม 2564 7:57:26 น.
Counter : 1682 Pageviews.

0 comments
แพ้เนื้อจากการโดนเห็บกัด alpha-gal allergy สวยสุดซอย
(17 เม.ย. 2567 14:07:10 น.)
เรื่อง รัก ลึก อุ่น (Omega Verse) - บทที่ 43 วัลยา
(16 เม.ย. 2567 16:34:37 น.)
ธี่หยด (2566) ไมเคิล คอร์เลโอเน
(15 เม.ย. 2567 12:42:37 น.)
: หยดน้ำในมหาสมุทร 36 : กะว่าก๋า
(14 เม.ย. 2567 06:17:30 น.)
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Sdayoo.BlogGang.com

สดายุ...
Location :
  France

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 151 คน [?]