ปฏิบัติธรรม มีความรักได้ไหม ธรรมสากัจฉา 2 ...ปฏิบัติธรรมยังมีความรักได้ไหม ได้ แต่ต้องปฏิบัติกันเป็นจริง ๆ ทั้งคู่ จะยิ่งรู้ว่ารักที่รุนแรงทั้งความรู้สึกทางกาย และทางใจเป็นอย่างไร สำคัญคือแต่ละฝ่ายไม่เป็นกันจริง กับแค่ถือศีลห้าก็ไม่เข้าใจแล้วว่าถืออย่างไร ถือไปทำไม อย่าพูดถึงนั่งสมาธิ เอาสมาธิมาเจริญปัญญากัน เมื่อทั้งคู่รู้จักอริยสัจสี่จริง ๆ เข้าใจว่าพุทธศาสนาสอนเรื่องทุกข์ และการดับทุกข์ เห็นซึ้งว่าจะปฏิบัติธรรมไปเพื่ออะไร ต่างฝ่ายต่างเป็นกำลังของกัน และกันเมื่ออีกฝ่ายอ่อนแรงลง ฝ่ายหนึ่งขี้เกียจ อีกฝ่ายก็เตือนให้ขยันตั้งสติ ตั้งสมาธิ ฝ่ายหนึ่งเผลอทำผิด อีกฝ่ายก็สะกิดให้ระลึกได้ว่าอย่างนี้เซแล้ว ต้องทรงตัวใหม่แล้ว การดึงกันปฏิบัติธรรมนั้นเป็นการสร้างแรงดึงดูด ที่เหนือแรงดึงดูดด้วยกรรมร่วมชนิดอื่นใดทั้งสิ้นทั้งปวง เป็นตัวสร้างความนับถือกัน และกันอย่างสูง เป็นตัวสร้างความสมานฉันท์กลมเกลียว ที่แนบแน่นลึกลงไปถึงส่วนลึกที่สุดของจิตใจ แค่คู่ที่ร่วมกันทำบุญใส่บาตร ร่วมกันช่วยเหลือคน และสัตว์ที่ตกทุกข์ได้ยากเป็นนิตย์ ก็ประจักษ์แล้วว่าความดีที่ทำร่วมกันเป็นสิ่งลึกลับ เป็นเชือกร้อยรัดที่เหนียวแน่น สร้างความรู้สึกระลึกถึงกันในทางดีงาม เห็นอีกฝ่ายแล้วเกิดความอ่อนโยนในใจ แต่คู่ที่ทำบุญในระดับตั้งใจถือศีลร่วมกัน ปวารณาตัวให้อีกฝ่ายตักเตือนได้เมื่อเห็นตนเขว ทำท่าจะด่างพร้อย จะยิ่งเกิดความคิดถึง ความผูกพันลึกซึ้ง ยิ่งกว่าคู่ที่แค่ทำบุญใส่บาตรร่วมกันไม่รู้กี่สิบกี่ร้อยเท่า ถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งสามารถสอนอีกฝ่ายให้ตั้งจิตเป็นสมาธิ สร้างตัวรู้ขึ้นมาได้ หรือเป็นสมาธิด้วยกันทั้งคู่มาก่อน เข้าที่ภาวนา นั่งสมาธิร่วมกันเสมอ จะเข้าใจความรักฉันหญิงชายอีกแบบที่ประหลาดมาก แค่อยู่ด้วยใกล้กันเฉย ๆโดยไม่ต้องทำอะไร ก็เหมือนเป็นแรงเสริมให้อีกฝ่ายเป็นสุขได้อย่างน่าแปลกใจ ยิ่งหากแต่ละฝ่ายรู้คิด รู้จักพูดจา ก็จะมีมิติของสัมพันธภาพที่หลากหลาย เวลาหนึ่งอาจคุยกันได้มากมายสารพัดเรื่อง อีกเวลาหนึ่งอาจรู้จักการอยู่ร่วมกันเงียบ ๆ เพื่อฟังเสียงของใจแต่ละฝ่าย เมื่อคิดอะไรก็เหมือนจะรู้กัน เมื่อขยับนิดหนึ่งก็เหมือนเดาถูกว่าจะทำอะไร มีคู่รักนักเขียนฝรั่งที่เข้าใจเรื่องการทำสมาธิร่วมกัน เขียนหนังสือเกี่ยวกับเรื่องทำนองนี้ออกมาเป็นคุ้งเป็นแคว เรื่องก็ไม่มีอะไรซับซ้อนมากมาย คนที่อยู่คู่กันนั้น เป็นแรงทำลาย แรงที่กดให้ใจอีกฝ่ายตกต่ำก็ได้ หรือจะเป็นแรงเสริมกันให้รู้สึกสูงส่ง ให้เกิดความสุขก็ได้ ยิ่งมีกำลังจิตมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งให้ผลบวกลบมากขึ้นเท่านั้น ทีนี้ถ้าทำสมาธิถึงระดับที่มีกำลังแรง แถมลากจูงกันไปดี นอกจากเสริมกันในทางบวกแล้ว ยังสื่อใจถึงกันได้ เพราะคลื่นจิตใต้สำนึก และเหนือสำนึกสานกันในที่ใกล้บ่อย ๆ นั่นเอง จึงไม่น่าแปลกใจถ้าฝ่ายหนึ่งพบเรื่องน่ายินดีมาก อีกฝ่ายที่อยู่ไกลออกไปก็สามารถสำเหนียกถนัด ถ้ามองในมุมของผู้ที่ต้องการพ้นทุกข์จากสังสารวัฏจริง ๆ การอยู่ร่วมกัน และปฏิบัติธรรมร่วมกัน ก็มีผลเสียร้ายกาจอยู่อย่าง นั่นคือถ้าปฏิบัติไปไม่ถึงขั้นปลดขอเกี่ยวให้จิตแยกจากอุปาทานได้แล้ว จะมีความติดเนื้อต้องใจกันชนิดแยกจากกันไม่ได้ เมื่อเย็นร่วมกันถึงที่สุด ก็ร้อนแรงตามครรลองโลกด้วยกันที่สุดเช่นกัน จะสลับขั้วร้อนเย็นเป็นช่วงเป็นพักเหมือนพายเรือในอ่าง หนีไปไหนไม่รอด เสียเวลาในช่วงก่อนแก่ตัวไปกับวิถีโลกเป็นสิบ ๆ ปี หรืออาจชวนกันอธิษฐานขอไปนิพพานกันในชาติอื่นไปเลย ในมุมมองของผู้เห็นรูปนามเป็นทุกข์ การอยู่ตัวคนเดียว ปฏิบัติธรรมโดยลำพัง เที่ยวไปอย่างสันโดษเอกา นับเป็นความสุขอันประเสริฐแท้ แต่เมื่อยังข้องอยู่ ยังสงสัยอยู่ ยังอยากในรสอยู่ จะเรียนรู้ชีวิตคู่ก็ไม่ใช่เรื่องเสียหาย แต่ตั้งใจไว้ดี ๆ มองหน้าคู่รักเราแล้วอธิษฐานไว้ว่า อยู่ด้วยกันแล้วจะมีทุกข์ใดปรากฏ ก็ขอใช้เป็นบทเรียน ผลักดันให้ปรารถนาดับทุกข์จนสนิท เมื่ออยู่ร่วมกันจริง ๆ แล้วเกิดเหตุการณ์เลวร้าย หรือพลาดพลั้งตกทุกข์สาหัสประการใด จะได้มีภาคหนึ่งระลึกว่าเราเคยเตรียมใจรับเรื่องนี้มาก่อน จะใช้ทุกข์นี้เป็นบทเรียนไปนิพพาน และพยายามแก้ปัญหาด้วยน้ำใจเมตตา ปรารถนาเกื้อกูลกัน ไม่แก้ปัญหาด้วยการเพิ่มปัญหา การได้คู่ครองที่ประเสริฐ ดึงกันไปดีนั้นยากแสนยาก แต่ถ้าหาได้ก็ควรหา อย่ายึดถือกันที่หน้าตา เพราะหน้าที่ฉาบบังความเลวไว้นั้นนานไปเหม็นได้ แต่ใบหน้าเรียบสงบ ที่อาบด้วยความดีงามนั้นหอมหวนไม่เปลี่ยนแปลงเลย จากคุณ : ดังตฤณ - [12 ก.พ. 2542 02:18:50] > สามีภรรยาในอุดมคติ ที่ครองเรือนด้วยกันและปฏิบัติธรรมไปด้วย พอถึงจุดที่อินทรีย์แก่กล้า ก็พากันออกบวชทำที่สุดแห่งทุกข์ มีตัวอย่างมาตั้งแต่ครั้งพุทธกาล คือท่านปิปผลิ (พระมหากัสสปะ) กับภรรยาของท่าน แม้ในยุคนี้ก็มีครับ ศิษย์พี่ของผมกับภรรยาของท่านพากันออกบวช เดินรอยเดียวกับพระมหากัสสปะเปี๊ยบเลย ผมกับภรรยาก็กำลังจะเดินรอยเดียวกันนั้นเหมือนกัน ผมเคยพิจารณาว่า เหตุใดสามีภรรยาจำนวนมาก ไม่สามารถไปนิพพานด้วยกันได้ ก็เห็นว่า เพราะ ศรัทธา ศีล และทิฏฐิ ไม่เสมอกัน หากมีคุณธรรมเหล่านี้เสมอกัน หรือใกล้เคียงกัน โอกาสที่จะประดับประคองกันไปนิพพานนั้น มีความเป็นไปได้สูง แรก ๆ ที่อินทรีย์ยังอ่อน หรือยังมีภาระ ก็อยู่ด้วยกันไปอย่างมีความสงบสุข เมื่อใดอินทรีย์แก่กล้า และเงื่อนไขพร้อม ก็พากันออกบวชทำที่สุดแห่งทุกข์ ผู้ใดที่ตั้งความปรารถนาจะเอามรรคผลให้ได้ หรืออยากออกบวช โดยระหว่างนี้ต้องการมีคู่ครอง ก็พิจารณาหาคนที่มีศรัทธา ศีล และทิฏฐิเสมอกันไว้ครับ หากคนหนึ่งมีศรัทธา คนหนึ่งไม่มี คนหนึ่งมีศีล คนหนึ่งไม่มี คนหนึ่งเป็นสัมมาทิฏฐิ คนหนึ่งเป็นมิจฉาทิฏฐิ ก็มักจะเป็นคู่กรรม มากกว่าคู่บุญบารมีกัน โดยคุณ : สันตินันท์ - [12 ก.พ. 2542 13:44:15] > เท่าที่ผมพบเห็นคู่ชีวิตมา ก็แบบพี่สันตินันท์กับพี่นุชนี่แหละครับประเสริฐสุด แต่กรณีของพี่สันตินันท์เป็นของหายาก นับแต่ความยากที่จะได้คนปฏิบัติธรรมจริงโคจรมาพบกัน มาถึงความยากที่ฝ่ายชายรู้แจ้งเห็นจริงระดับนี้ ใครสงสัยเรื่องการครองเรือนในอุดมคติของนักปฏิบัติ ก็ลองไถ่ถามพี่สันตินันท์ดูเถิด ถามดูว่าความสุขในชีวิตนั้นลดลงกว่าที่ควรไหม > ไหน ๆ คุณดังตฤณก็เอ่ยถึงผมกับภรรยาแล้ว ก็จะขอเป็นพยานกระทู้นี้ ให้คุณดังตฤณเสียเลย ผมกับภรรยานั้น ถ้าว่าในทางโลกก็นับว่าพอใช้ได้ ทั้งการศึกษาและอาชีพการงาน ในด้านชีวิตคู่นั้น ก็เป็นคู่หวานแหววที่คนบอกว่าอิจฉาอยู่เสมอ ๆ แต่น้อยคนที่จะทราบว่า สิ่งที่ดึงดูดเราไว้ด้วยกัน คือความปรารถนาดีต่อกันในทางธรรม เรามีความสุขอันเกิดจากความสงบ กิจกรรมยามว่างของผมคือการเขียนธรรมะ ส่วนภรรยาจะถักไหมพรมเป็นหมวกถวายพระถวายชีไปเรื่อย ๆ บางทีก็ช่วยกันพิมพ์ธรรมะของครูบาอาจารย์ ถอดเทปธรรมะ หรือเตรียมของไปทำบุญ ในแต่ละวัน จะแบ่งเวลาช่วงหัวค่ำไว้สำหรับการภาวนา ซึ่งผมจะคอยดูแลให้เธอเดินจงกรม นั่งสมาธิ เพราะเธอกลัวความเกิด และกลัวว่าหากจะต้องเกิดต่อไป จะไม่ได้พบกับผมอีกแล้ว จนตั้งความปรารถนาว่า ชาติหน้าจะขอเกิดเป็นผู้ชาย และขอให้ได้บวชตั้งแต่เด็กเลย ส่วนผมเองก็รู้สึกว่า จะต้องพาเธอไปให้ได้ ตามปณิธานที่ตั้งร่วมกันมานานนักหนาแล้ว ในช่วงวันหยุดยาว ๆ หรือช่วงปลายปี ก็จะพากันไปอยู่ตามวัดป่า แยกกันอยู่ ต่างคนต่างภาวนา ถือว่าเป็นเวลาที่มีความสุข และมีคุณค่ามากในชีวิตสมรส เพราะเป็นเวลาที่เรารู้ว่า คู่ของเรากำลังทำแก่นสารสาระให้กับตนเอง ทีแรกผมก็เฉย ๆ กับการบวชครับ เพราะเห็นว่าเป็นฆราวาสก็ปฏิบัติได้ แต่วันหนึ่งพาภรรยาไปนมัสการศิษย์พี่ของผม (ที่เล่าว่าท่านออกบวชทั้งคู่น่ะครับ) ท่านก็จวกผมเสียยับเยินต่อหน้าภรรยาว่า สิ่งนั้นก็เห็นอยู่ตรงหน้าใกล้ ๆ แค่เอื้อม เอาก็เอาได้ กลับไม่เอา จะรอถึงเมื่อใด แบบนี้เขาเรียกว่าคนประมาท เมื่อไหร่จะออกบวช มาทำที่สุด แล้วช่วยกันสั่งสอนพระเณรต่อไป พอออกจากที่อยู่ของท่าน ภรรยาของผมก็บอกผมว่า พี่บวชเถอะ น้องไม่ต้องการถ่วงพี่ไว้ และน้องก็จะบวชด้วย ผมก็พิจารณาดูว่า ถ้าไม่บวชก็คงเอาดีกว่านี้ยาก ส่วนภรรยานั้น จิตเธอก็หวุดหวิด ๆ มาหลายคราวแล้ว หากบวชก็คงผ่านไปได้ไม่ยาก ก็เลยกลับไปกราบเรียนหลวงพี่ว่า จะพากันออกบวช เมื่อสิ้นภาระในการเลี้ยงดูพ่อแม่ของผมที่แก่มากอายุ 90 ปีแล้ว ก็มีเท่านี้แหละครับ ทุกวันนี้ก็อยู่กันอย่างมีความสุขมาก แต่ก็พร้อมแล้ว ที่จะพากันออกบวชเมื่อสถานการณ์อำนวย ตอนนี้ก็ทะนุถนอมกันมาก เพราะรู้แล้วว่า นี้เป็นคราวสุดท้ายแล้วที่จะได้อยู่ด้วยกัน โดยคุณ : สันตินันท์ - [12 ก.พ. 2542 21:28:41] |
บทความทั้งหมด
|