ว่าด้วยเรื่อง marketing เนื่องจากตอนที่เปิดร้านเนี่ย ทำด้วยความเร่งรีบ คือได้ที่ทางปุ๊บก็ต้องเปิดเลย จึงไม่ได้มีแผนการตลาดไว้ล่วงหน้า เพื่อนคุณแม่แนะนำว่า เวลาจะเปิดร้านให้ติดป้ายชื่อร้านไว้ล่วงหน้านานๆ แล้วบอกว่าจะเปิดเมื่อนั้นเมื่อนี้ แต่กว่าเราจะได้แบบโลโก้ ไปจ้างเค้าทำป้ายร้าน ป้ายผ้า เลยได้ติดป้ายแค่ 2 อาทิตย์ก่อนเปิดร้าน หลังจากนั้น เราก็ไม่ได้ทำอะไรอีกเลย จนเปิดร้าน คนผ่านหน้าร้านเยอะ แต่ไม่เข้ามากิน เลยเดาว่าเค้าไม่รู้ว่าร้านนี้ขายอะไร ราคาเท่าไหร่ เลยไปทำป้ายผ้ามาบอกเมนูและราคาคร่าวๆ ป้ายต่างๆ ก็ค่อนข้างแพง เราจึงขอกับบริษัทสิงห์ และเป็ปซี่ ซึ่งทั้งหมดใช้เวลาประมาณ 2 เดือน กว่าจะได้ป้าย เนื่องจากเค้าต้องทำเรื่องไปที่บริษัท พอเปิดแล้ว ลูกค้ายังไม่ค่อยมี เราเลยทำโบว์ชัวร์ง่ายๆ ใช้ซีล็อกซ์เอาเพราะเร็ว และประหยัดถ้าทำจำนวนน้อย แล้วก็เริ่มแจกตามบ้าน หน้าบริษัทการบินไทย หน้าโรงเรียนแย้มสอาด ซึ่งเป็นลูกค้าหลักของเรา แต่แจกเองจะเสียเวลาเพราะไม่เชี่ยวชาญ พอทำโบว์ชัวร์สั่งกลับบ้าน เลยจ้างบริษัทรับจ้างแจกเอกสาร เสียค่าแจกใบละ 50 สต. เคยได้ยินว่าคุณบุรุษไปรษณีย์ก็รับแจก อยู่ที่ใบละ 75 สต. เนื่องจากร้านอยู่ในซอย เลยไปทำป้ายฟิวเจอร์บอร์ดมาติดบอกทางตลอดทั้งซอย ติดได้แป๊บเดียวเทศกิจถอดออกหมด พร้อมเรียกค่าปรับ เลยเพิ่งถึงบางอ้อว่าเราจะแปะมั่วๆ ไม่ได้นะคะ ต้องขออนุญาติและเสียเงินให้เรียบร้อยก่อน เราไม่มีเงิน เลยต้องเลิกติดป้ายไปโดยปริยาย หลังจากร้านเปิดไปซักพัก ก็จะมีลูกค้าทานแล้วติดใจ ไปบอกเพื่อนที่ทำรายการโทรทัศน์หรือหนังสือต่างๆ ก็เริ่มลงหนังสือพิมพ์ นิตยสาร รายการอาหาร (ซึ่งต้องขอขอบคุณลูกค้าผู้มีอุปการะคุณเพราะฟรีทั้งนั้นค่ะ) สุดท้ายก็เล็งที่ดีๆ เอาป้ายไวนิลไปแปะที่ที่ลูกค้าเราผ่านเยอะๆ ของเราแปะในซอยหมู่บ้านนี่หละ แต่เป็นซอยทางลัด คนผ่านบ่อย ก็ค่อนข้างเวิร์คทีเดียวค่ะ ที่ทำไปทั้งหมด อาศัยหลักการเดียวคือ ต้องประหยัดแต่ตรง target ค่ะ ร้านเล็กๆ ก็ขอของฟรีก่อนนะคะ ของเสียตังค์คิดนาน |
บทความทั้งหมด
|
ภาษีป้ายก้อแบบนั้นล่ะค่ะ
อิอิ ว่าแต่เมนูหมูคำหวานน่าอร่อยจังนะคะ