ก. เอ๋ย ก.ไก่ ลูกรักจะไปโรงเรียนทำไงดี…
เผลอแป๊บๆ เจ้าตัวเล็กก็จวนจะต้องไปโรงเรียนกับเค้าแล้ว นับเป็นเรื่องใหญ่ที่เล่นเอาวุ่นวายกันไปทั้งบ้าน บทสนทนาวนเวียนอยู่แต่ว่า “จะให้ลูกไปเรียนที่ไหนดี จะสอบเมื่อไหร่ ต้องวิ่งเต้นยังไง แป๊ะเจี๊ยะเท่าไหร่ กวดวิชาที่ไหนดี ถ้าสอบไม่ได้จะไปเรียนที่ไหน ฯลฯ” ซึ่งแน่นอนว่า ที่นั่นจะต้องเป็นโรงเรียนที่ดีที่สุดที่คุณพ่อ คุณแม่จะจัดหาได้
แต่ที่สำคัญไม่แพ้กันกับการหาโรงเรียนให้เจ้าตัวเล็กก็คือ การเตรียมความพร้อมให้กับลูกนั่นเอง วันนี้ คุณหมอเกศินี โอวาสิทธิ์ กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการ และพฤติกรรม ศูนย์พัฒนาการและการเรียนรู้รพ.สมิติเวช ศรีนครินทร์ มีคำแนะนำดีๆ มาฝากคุณพ่อคุณแม่ที่มีลูกน้อยก่อนวัยเรียนค่ะ


ลูกอายุเท่าไหร่จึงควรส่งไปโรงเรียน?
อันนี้ขึ้นอยู่กับความพร้อมของตัวลูกเองซึ่งเด็กแต่ละคนอาจเร็วหรือช้าต่างกัน บางคนสองขวบครึ่ง บางคนสามขวบก็ไปเตรียมอนุบาลได้แล้ว แต่ขอยํ้าว่า เรื่องความพร้อมนี่ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ในชั่วข้ามคืน ดังนั้นจึงต้องเตรียมกันมาตั้งแต่ขวบปีแรกเลยทีเดียวเรียกว่าในช่วง 3 ขวบปีแรกก่อนที่จะเข้าเรียนเราต้องเตรียมความพร้อมให้ลูกอย่างต่อเนื่อง และอาจเริ่มก่อนที่คุณพ่อคุณแม่จะคิดหาโรงเรียนให้ลูกซะด้วยซํ้า

ติวเข้มเจ้าตัวเล็ก
จะส่งเจ้าตัวเล็ก ไปเผชิญโลกกว้างตามลำพังเป็นครั้งแรก ก็ต้องเตรียมการณ์ล่วงหน้ากันยกใหญ่ จัดได้ว่าเป็น “วาระแห่งบ้าน”ได้เลยทีเดียว เพราะเป็นพันธกิจที่ต้องอาศัยความร่วมมือร่วมใจของคนทั้งครอบครัว ที่จะช่วยกันเปลี่ยนแปลงเทวดาหรือนางฟ้า ที่มีผู้ที่คุ้นเคยห้อมล้อมดูแล ให้กลายเป็นสุภาพบุรุษ สุภาพสตรีตัวน้อย ที่พร้อมจะเข้าสู่สังคมตามลำพังเป็นครั้งแรก
ที่สำคัญอันดับแรกคือ เตรียมความพร้อมทางร่างกาย ดูแลให้ลูกรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ควบคู่ไปกับการออกกำลังกายที่เหมาะสมเพื่อความแข็งแรงและมีพัฒนาการด้านกล้ามเนื้อสมวัย หากลูกเดินยังไม่แข็ง มีปัญหากล้ามเนื้อไม่แข็งแรง นั่งไม่ได้ หรือว่าลูกค่อนข้างอ่อนแอ ป่วยบ่อย มีโรคประจำตัวบางอย่าง เช่น โรคลมชัก ที่ควบคุมตัวเองไม่ได้ แม้อายุจะถึงเกณฑ์แล้วก็อย่าเร่งรีบส่งลูกไปเรียนเลย เพราะลูกอาจมีปัญหาเมื่ออยู่ร่วมกับเด็กอื่น พาลจะทำให้ลูกเบื่อ หรือไม่อยากไปโรงเรียนได้

ถัดไปคงเป็นเรื่องของการสื่อสาร สอนให้ลูกมีความเข้าใจภาษา รู้จักสิ่งต่างๆ ในชีวิตประจำวันบ้าง เช่น รู้ว่านี่คือแม่ นี่คือครู นี่คือเพื่อน นี่คือโต๊ะ สามารถสื่อสารกับคนอื่นได้บ้าง เช่น บอกความต้องการ ของตัวเองได้ว่าหิวนํ้า ปวดปัสสาวะบางคนพูดยังไม่คล่องดี แต่สามารถใช้ภาษากายทดแทนได้ ก็ไปโรงเรียนได้แล้ว เมื่อเวลาผ่านไป ลูกก็จะค่อยๆ มีพัฒนาการด้านการสื่อสารเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ นอกจากนี้ควรที่จะฝึกให้ลูกสามารถช่วยตัวเองได้ระดับหนึ่งเรื่องที่หนักอกหนักใจคุณพ่อคุณแม่คงหนีไม่พ้นการฝึกให้ลูกทานอาหารเอง เพราะนอกจากจะเลอะเทอะแล้ว ลูกมักจะไม่ให้ความร่วมมือในการฝึกอีกต่างหากเพราะห่วงแต่เล่น กว่าจะหมดแต่ละมื้อก็ต้องตื้อไล่ป้อนกันนานทีเดียว งานนี้คุณพ่อคุณแม่ ต้องเริ่มเปลี่ยนพฤติกรรมตัวเองก่อน ใจเย็นซักนิดหยุดการป้อนแล้วฝึกให้ลูกนั่งทานอาหารที่โต๊ะของลูก ให้ตักอาหารทานเอง หกเลอะก็เช็ดไป แล้วคิดใหม่ว่า ถ้าเรามัวแต่ป้อน ลูกก็จะมีพัฒนาการด้านนี้ช้าลง ช่วยตัวเองไม่ได้ซักที ควรสอนให้ลูกรู้จักใช้ห้องนํ้า และรู้จักการทำในสิ่งที่ตัวเองต้องการด้วยตัวเอง เช่น เมื่อหิวนํ้าก็เดินไปที่ตู้กดนํ้า หรือ อยากเล่นก็เดินไปที่กองของเล่น

สอนให้ลูกรู้จักการขอ การรอ และการแบ่งปันผู้อื่น เรื่องใหญ่ล่ะทีนี้ จากที่เคยได้ทุกอย่างดังใจ ไม่เคยต้องขอ ไม่เคยต้องรอไม่เคยต้องแบ่งใคร งานนี้ก็ต้องใช้เวลาฝึกต้องสอนกันไปขณะที่เล่นกับลูกตั้งแต่ยังเล็กๆเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาในการเข้าสังคมกับเด็กอื่นที่โรงเรียนอนุบาล กับญาติพี่น้อง หรือแม้แต่กับเพื่อนใหม่ๆ

การปรับตัวก็สำคัญ เด็กเล็กส่วนใหญ่จะกลัวการแยกจากคุณพ่อคุณแม่ จากครอบครัว จากพี่เลี้ยง กลัวการถูกทอดทิ้งมีอาการกังวลและคิดถึง รวมถึงมีอาการตื่นกลัวสถานที่ และผู้คนที่ไม่คุ้นเคย ซึ่งหากไม่มีการเตรียมลูกให้พร้อม ภาพที่เห็นคุ้นตาก็คือ ภาพเด็กน้อยร้องกระจองอแงไม่ยอมไปโรงเรียน อาละวาดกันตั้งแต่เช้า ใครโอ๋ยังไงก็ไม่ฟัง ไม่ยอมแต่งตัว ไม่ยอมทานข้าวไม่ยอมลงจากรถ กอดคุณพ่อคุณแม่ไม่ยอมปล่อย ขออย่าให้ลูกมีความประทับใจแรกกับโรงเรียนในทางลบเลย ให้เวลาลูกค่อยๆปรับตัวดีกว่า เล่าให้ลูกฟังถึงเรื่องดีๆ สนุกๆที่ลูกจะเจอที่โรงเรียน พาลูกไปเที่ยวเล่นและพูดคุยทำความคุ้นเคยกับคุณครูบ่อยๆ ตั้งแต่ก่อนโรงเรียนเปิด ให้ลูกมีส่วนร่วมด้วยการพาไปเลือกซื้อชุดนักเรียน กระเป๋า รองเท้า รวมไปถึงช่วยให้ลูกเป็นเพื่อนกับเด็กอื่นๆ ที่โรงเรียน

เตรียมโรงเรียนให้ลูกรัก ดูด้วยตาเลือกด้วยใจ รับรู้ได้ด้วยสิ่งที่ลูกเล่า
คงทราบกันดีอยู่แล้วว่า ทุกวันนี้โรงเรียนอนุบาล มี 2 แนว คือ แนวเน้นวิชาการ กับแนวเตรียมความพร้อม จะเลือกแนวไหนคุณพ่อคุณแม่ต้องดูว่าวางแผนอนาคตลูกไว้แบบไหน พฤติกรรมการเรียนรู้ของลูกเป็นอย่างไร สอดคล้องกับแผนที่เราวางไว้หรือไม่เช่น เราวางแผนว่า ลูกจะต้องมาดำเนินธุรกิจค้าขายของครอบครัว และด้วยพฤติกรรมการเรียนรู้ ลูกชอบตัวเลข ชอบเขียนหนังสือ ดังนั้นการที่คุณพ่อคุณแม่เลือกหลักสูตรแนววิชาการก็น่าจะลงตัว แต่ก็ต้องดูต่อไปอีกซักพักว่า ลูกมีความสุขกับการเรียนมั้ย แล้วลูกเรียนไหวมั้ย

แต่ถ้าหากลูกชอบดนตรี ชอบวาดรูปชอบเดินสำรวจสิ่งต่างๆ รอบตัว แล้วคุณพ่อคุณแม่จัดให้เรียนแนววิชาการ ลูกคงไม่มีความสุข การส่งเสริมให้ลูกเรียนแนวเตรียมความพร้อมน่าจะเหมาะกว่า ทั้งนี้เพราะกระบวนการเรียนรู้จะเกิดก็ต่อเมื่อลูกมีความสุขในการเรียน แต่คุณพ่อคุณแม่ก็อย่าให้ลูกมุ่งไปทางไดทางหนึ่งเพียงอย่างเดียว ควรจัดให้ได้เรียนควบคู่กันไปทั้ง 2 แนว เพื่อให้ลูกมีพัฒนาการรอบด้าน

เป็นธรรมดาที่คุณพ่อคุณแม่ทั้งหลายต่างอยากได้สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับลูก อาจยึดติดกับค่านิยมของสังคม จึงมีความคาดหวังในตัวลูกสูง บางครั้งก็ต้องเพลาๆ ลงมาบ้าง ไม่งั้นลูกจะตึงเครียดเกินไป และอาจแสดงออกทางพฤติกรรมที่ก้าวร้าวได้

เลือกแนวได้แล้ว ไปหาโรงเรียนกันดีกว่าพาลูกไปดูสิ่งแวดล้อมของโรงเรียนหลายๆช่วงเวลา เช่น ตอนเช้าก่อนเข้าเรียน ตอนหลังเลิกเรียนสำรวจโรงเรียนเรื่องความสะอาด ความปลอดภัย เมนูอาหาร นโยบายการดูแลเด็กป่วย ดูอัตราเด็กต่อครู หากมีโอกาสควรพูดคุยกับครู หรือผู้ปกครองท่านอื่นๆ อย่าลืมพิจารณาเรื่องระยะทางจากบ้านไปโรงเรียน และเรื่องการรับ-ส่งลูกประกอบด้วย อย่าให้ลูกต้องเหนื่อยกับการเดินทางซะจนหมดแรงจะเรียน
เมื่อลูกเริ่มไปโรงเรียน คุณพ่อคุณแม่ควรหมั่นสังเกตลูกว่า มีความสุขดีมั้ย พยายามหาเวลาพูดคุยกับคุณครูบ่อยๆ เพื่อสอบถามเรื่องพฤติกรรมของลูกที่โรงเรียน หลายครั้งที่เคยได้ยินว่า ลูกเชื่อฟังคุณครูมากกว่าพ่อแม่ลูกอยู่ที่โรงเรียนเรียบร้อยยังกะผ้าพับไว้

แต่อยู่ที่บ้านออกฤทธิ์เต็มเหนี่ยว เรื่องแบบนี้ถ้าคุณพ่อคุณแม่ลองปรึกษาคุณครูอาจจะทราบเทคนิคที่คุณครูใช้ก็ได้ บางครั้งคุณพ่อคุณแม่อาจจะต้องเล่าถึงสถานการณ์บางอย่างที่บ้านให้คุณครูฟังบ้าง เพื่อที่คุณครูก็จะเข้าใจลูกได้มากขึ้น ซึ่งจะทำให้การดูแลลูกของเราเป็นไปได้ง่ายมากขึ้น คุณพ่อคุณแม่เองก็ควรหมั่นพูดคุยกับลูกเป็นประจำ ถามไถ่เรื่องที่เกิดขึ้นที่โรงเรียน ทั้งเรื่องสนุกและไม่สนุกในความรู้สึกของลูก แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน เป็นโอกาสดีที่ได้สร้างความผูกพันระหว่างพ่อแม่ลูก ได้โอกาสสอดแทรกคำสอนลูก ลูกจะรู้สึกมั่นใจและอุ่นใจ ในตัวคุณพ่อคุณแม่มากยิ่งขึ้น หากมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นก็จะนึกถึงพ่อแม่ก่อน ไม่ว่าในวันนี้วันไหน จึงจัดได้ว่าเป็นเวลาคุณภาพของครอบครัวที่ดีเยี่ยม

IQ และ EQ เริ่มที่บ้านสานต่อที่โรงเรียน
แม้ลูกจะไปโรงเรียนแล้ว ผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการกระตุ้นพัฒนาการของลูก ยังเป็นคุณพ่อคุณแม่ และจะเป็นอยู่ตลอดไป การที่จะพัฒนา IQ และ EQ ของลูกให้เข้มแข็งคุณพ่อคุณแม่ต้องเสิร์ฟอาหารแก่ลูก 3 ชนิดได้แก่
อาหารกาย อันได้แก่ อาหารทั้ง 5 หมู่นํ้าอากาศ เพียงพอกับความต้องการตามวัย

อาหารใจ คือ เวลาคุณภาพที่คุณพ่อคุณแม่มีให้ลูก ไม่ว่าจะเป็น การพูดคุย และการมีกิจกรรมร่วมกัน อย่างสมํ่าเสมอ
อาหารอารมณ์ คือการที่พ่อแม่ลูกเติมใจให้กัน ด้วยคำพูดดีๆ การสัมผัสที่อบอุ่น เมื่อลูกมีความสุขก็จะมีความพร้อม มีสมาธิ มีสติในการเรียนรู้สิ่งต่างๆ เมื่อลูกเศร้าคุณพ่อคุณแม่ปลอบใจ คอยเป็นกำลังใจและอยู่เคียงข้าง ไม่ใช่ซ้ำเติม

แต่ความรักที่ท่วมท้นแบบไร้กรอบนั้น จะทำร้ายลูก ทำให้ลูกกลายเป็นเด็กเอาแต่ใจ เป็นเด็กร้ายที่ก้าวร้าว ตรงกันข้าม เมื่อลูกได้รับความรักจากพ่อแม่อย่างถูกวิธี ถูกจังหวะ อยู่ใน “กรอบ” ที่พอเหมาะลูกจะมีการพัฒนาการและพฤติกรรมในทางที่ดี มีความมั่นใจ ประพฤติตัวดี และเป็น model ให้เด็กอื่น นอกจากจะเป็นผู้ที่ถูกรักแล้ว เราต้องสอนลูกให้รู้จักรักคนอื่นและทำสิ่งดีๆ ให้คนอื่นมีความสุข และระลึกไว้เสมอว่า คุณพ่อคุณแม่ต้องวางตัวเป็น Role Model ที่ดีให้กับลูกตลอดกาล

โรงรียนทั่วไปสามารถให้ความรู้และพัฒนาสมองให้ลูกน้อยได้ดีขึ้น แต่โรงเรียนที่ดีที่สุดของลูกคุณแล้วก็คือ โรงเรียนพ่อแม่นั่นเอง เตรียมลูกให้พร้อมอย่างถูกวิธีด้วยตัวคุณเอง แล้วลูกจะวิ่งฉิวอย่างมีความสุข แซงหน้าไปก่อนใคร


แพทย์หญิงเกศินี โอวาสิทธิ์
กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ด้านพัฒนาการ และพฤติกรรม
โรงพยาบาลสมิติเวช ศรีนครินทร์

“นิตยสารไอเกิลขอแนะนำ คุณหมอคนเก่งของเราในฉบับนี้ค่ะ
คุณหมอเกศินี สำเร็จการศึกษาด้านกุมารแพทย์จาก มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และด้านพัฒนาการและพฤติกรรมจาก จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย
คุณหมอได้มีโอกาสดูงานด้าน Child Development ในต่างประเทศหลายแห่ง อาทิ Royal Children Hospital, Melbourne, Australia และ Kennedy Krieger Institute, Baltimore, Maryland, U.S.A. นอกจากงานประจำแล้ว ยามว่าง คุณหมอยังมีงานอดิเรกคือ งานแปล ซึ่งปลายปีนี้ คุณหมอจะมีผลงานการแปลหนังสือเกี่ยวกับ การเลี้ยงดูลูกออกสู่สายตาผู้ชม ต้องคอยติดตามกันนะคะ”




Create Date : 20 มกราคม 2555
Last Update : 20 มกราคม 2555 21:30:55 น.
Counter : 779 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Samitivejhospitals.BlogGang.com

samitivej
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]

บทความทั้งหมด