จีน-อินเดีย เกิด อินโดจีน-อินโดนีเซีย อินโดจีน ย้อนอดีต เคียงคู่ อินโดนีเซีย ในหนังสือนี้ https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=samathijit&month=11-2021&date=24&group=29&gblog=13 ได้ปรารภเรื่องทัพมุสลิมเตอร์ก ที่ยกมาตีชมพูทวีป และตั้งรัฐสุลต่านขึ้นที่เดลี เมื่อ ค.ศ. 1206/ พ.ศ.๑๗๔๙ โดยบอกให้ทราบว่า การทำลายล้างครั้งนั้น เป็นจุดกำหนดแห่งการสูญสิ้นไปของพระพุทธศาสนาจากประเทศอินเดีย และได้เล่าความเป็นมาของชาวมุสลิมเตอร์กนั้นไว้ อันสืบเนื่องจากการเกิดขึ้นของศาสนาอิสลาม ที่นับตามฮิจเราะฮ์ศักราช เริ่มแต่ ค.ศ.622/ พ.ศ.๑๑๖๕ ทั้งนี้ ได้เล่าไว้เพียงเท่าที่เกี่ยวกับชมพูทวีป เนื่องจากประวัติศาสตร์ของชมพูทวีปในอดีต เชื่อมโยงเกี่ยวข้องกับประเทศไทย และดินแดนข้างเคียงโดยรอบมาช้านาน จึงเห็นควรเล่าเรื่องของดินแดนแถบนี้ไว้ด้วย เพื่อเป็นส่วนประกอบเสริมความรู้ แต่ในที่นี้จะเน้นเฉพาะดินแดนที่ได้รับอิทธิพลจากชมพูทวีปนั้นตลอดมาจนถึงยุคที่เปลี่ยนเข้าสู่ศาสนาอิสลาม ได้แก่ มาเลเซีย และอินโดนีเซีย ทั้งนี้ จะพูดไว้เพียงคร่าวๆก่อน จีน–อินเดีย แล้วเกิดมีอินโดจีน–อินโดนีเซีย จีน และอินเดีย เป็นอู่อารยธรรมใหญ่ ที่เจริญต่อเนื่องมายาวนานหลายพันปี อีกทั้งสองประเทศนี้ก็ตั้งอยู่ไม่ห่างไกลกันนัก จึงมีการเดินทางติดต่อค้าขายถึงกันมาแต่โบราณ ในช่วงที่ตะวันตกเริ่มต้นคริสต์ศักราช พระพุทธศาสนากำลังเจริญรุ่งเรืองมากในชมพูทวีป และแผ่มาถึงประเทศจีน ดังที่พระเจ้ามิ่งตี่แห่งราชวงศ์ฮั่นได้ทรงรับนับถือพระพุทธศาสนาเมื่อ ค.ศ.65/พ.ศ.๖๐๘ และในอินเดียเอง ไม่กี่ปีหลังจากนั้น คือใน ค.ศ.78/พ.ศ.๖๒๑ ก็เข้าสู่ราชสมัยของพระเจ้ากนิษกมหาราช (มีนครหลวงชื่อปุรุษปุระ คือ Peshawar) องค์พุทธศาสนูปถัมภกที่ถือกันว่ายิ่งใหญ่มาก ถัดจากพระเจ้าอโศกมหาราช ในยุคแห่งความรุ่งเรืองนี้ ผู้เดินทางระหว่างจีน กับ อินเดีย นอกจากพวกพ่อค้าวาณิชแล้ว ก็มีพระภิกษุที่เป็นธรรมาจารย์ และหลวงจีน ที่จาริกไปเผยแผ่ มาศึกษาและสืบพระพุทธศาสนา มากขึ้นตามลำดับ จีน กับ อินเดียนั้น แม้จะดินแดนจะไม่ห่างไกลกันนัก แต่มีภูเขาหิมาลัยขวางอยู่ การเดินทางบกไปมาระหว่าง ๒ ประเทศนี้ จึงต้องอ้อมไกลไปโดยทางที่เรียกกันมาว่าทางสายไหม (Silk Road; เส้นทางนี้ขยายไปเชื่อมกับถนนของจักรวรรดิโรมัน /Roman roads ด้วย) ผ่านแผ่นดินที่แห้งแล้งกันดารแห่งเอเชียกลาง ข้ามภูเขา และทะเลทราย ยากลำบากอย่างยิ่ง ทั้งยังมีภัยจากโจรผู้ร้าย ตลอดจนบางกาลบางสมัยมีสงครามและการสู้รบระหว่างคนต่างถิ่นต่างเผ่า เป็นอุปสรรคมาก ด้วยเหตุนี้ จึงมีการค้นหาทางเดินเรือขึ้นมาเป็นทางเลือก และการจาริกทางทะเลก็ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นตามลำดับ ทางบกนั้น ถ้าจากจีนมาอินเดีย ก็ผ่านเอเชียกลาง อ้อมวกเข้ามาทางแคว้นโยนก และหรือแคว้นคันธาระ (คืออัฟกานิสถานและปากีสถานในปัจจุบัน) โดยเฉพาะผ่านเมืองตักศิลาแล้วลงมาทางตะวันออกตามลำดับ แต่ทางทะเล มีแผ่นดินเป็นแหลมใหญ่ หรือ คาบสมุทรคั่นกลางระหว่างจีน กับ อินเดียนั้น (ดูแผนที่จะเห็นชัด) ซึ่งสมัยก่อนถอยหลังไปประมาณครึ่งศตวรรษนี้เอง ยังมีคำเรียกรวมๆ ว่า “อินโดจีน” หรือ คาบสมุทรอินโดจีน (Indochina/Indochinese peninsula) ซึ่งแปลว่า ผืนแผ่นดินหรือคาบสมุทรที่อยู่ระหว่างอินเดีย กับ จีน อินโดจีน นี้ประกอบด้วย (เรียงต่อจากจีนลงมา) เวียดนาม ลาว กัมพูชา ไทย พม่า มลายู (ต่อมาขยายเป็นมาเลเซีย) จากผืนแผ่นดินนี้ มองลงไปในทะเล มีหมู่เกาะที่อยู่ในเส้นทางผ่านหรือใกล้ทางผ่าน อันชวนให้แวะอีกมาก เช่น สุมาตรา ชวา เป็นต้น ซึ่งส่วนใหญ่รวมอยู่ในอาณาจักรที่ปัจจุบันเรียกชื่อตามสายตาของฝรั่ง ว่าประเทศอินโดนีเซีย (Indonesia) ซึ่งแปลว่า“แดนหมู่เกาะอินเดีย” (มาจากคำกรีก-ละติน: Indo–(อินเดีย)+nes (เกาะ)+ - ia (ดินแดน,ประเทศ) นอกจากค้าขายแล้ว พ่อค้าวาณิช เป็นต้น ที่เดินทางผ่านไปมานั้น บางทีก็แวะพำนักอยู่นานๆ ตลอดจนตั้งถิ่นฐานอยู่เป็นหลักแหล่ง กลายเป็นเจ้าถิ่นเสียเอง จึงปรากฏว่า ต่อมา ได้เกิดมีบ้านเมือง ตลอดจนอาณาจักรต่างๆขึ้นมา ตามชายฝั่งทะเล และใกล้ทะเล บนเส้นทางพาณิชย์เหล่านี้ ผู้ที่สร้างบ้านตั้งเมืองเหล่านี้ มีทั้งชาวชมพูทวีปที่เป็นผู้นำตั้งตัวขึ้นเป็นใหญ่ ที่ถือว่าเป็นผู้เจริญ ดังที่ตำราฝ่ายตะวันตกเรียกแว่นแคว้นเหล่านี้ว่า Indianized kingdoms คือเป็นอาณาจักรเยี่ยงอย่างอินเดีย |
บทความทั้งหมด
|