ข) พุทธบัญญัติห้ามภิกษุอวดอุตริมนุสสธรรม


ข) พุทธบัญญัติห้ามภิกษุอวดอุตริมนุสสธรรม

 
     บทบัญญัติในวินัย  ซึ่งแสดงถึงเจตนารมณ์ที่มุ่งเพื่อประโยชน์ของส่วนรวม   ให้ความสำคัญแก่สงฆ์  ที่ควรกล่าวไว้ในที่นี้อีกอย่างหนึ่ง ได้แก่  พุทธบัญญัติไม่ให้ภิกษุอวดอุตริมนุสสธรรม  คือ คุณวิเศษ หรือการบรรลุธรรมอย่างสูงที่เกินปกติของมนุษย์สามัญ  เช่น  สมาธิ  ฌาน  สมาบัติ  มรรคผล  ถ้าอวดโดยที่ตนไม่มีคุณวิเศษนั้นจริง คือ หลอกเขา  ย่อมต้องอาบัติปาราชิก   ขาดจากความเป็นภิกษุ (วินย.2/227-231/165-171)  แต่ถึงแม้ว่าจะได้บรรลุคุณวิเศษนั้นจริง  ถ้าพูดอวดหรือบอกกล่าวแก่ชาวบ้าน  หรือผู้อื่นใดที่มิใช่ภิกษุ หรือภิกษุณี  ก็ไม่พ้นเป็นความผิด  เพียงแต่เบาลงมา เป็นอาบัติปาจิตตีย์  (วินย.2/304-5/208-211)
 
     ต้นเหตุที่จะให้มีพุทธบัญญัตินี้   เกิดจากในคราวทุพภิกขภัย  ภิกษุพวกหนึ่ง  คิดหาอุบายจะให้พวกตนมีอาหารฉันโดยไม่ลำบาก   จึงกล่าวสรรเสริญกันและกันให้ชาวบ้านฟังตามที่เป็นจริงบ้าง  ไม่จริงบ้าง  ว่าท่านรูปนั้นได้ฌาน  ท่านรูปนั้นเป็นโสดาบัน  ท่านรูปนั้นเป็นพระอรหันต์  ท่านรูปนั้นได้อภิญญา ๖  เป็นต้น  ชาวบ้านเลื่อมใส  พากันบำรุงเลี้ยงภิกษุกลุ่มนั้นอย่างบริบูรณ์  เมื่อพระพุทธเจ้าทรงทราบ  จึงทรงบัญญัติสิกขาบทขึ้นห้าม  โดยทรงติเตียนว่าไม่สมควรที่จะอวดอ้างคุณความดีพิเศษกันเพราะเห็นแก่ท้อง  และสำหรับผู้ที่อวดอ้างโดยไม่เป็นจริง  ทรงติเตียนอย่างรุนแรงว่าเป็นมหาโจรที่เลวร้ายที่สุดในโลก   เพราะบริโภคอาหารของชาวบ้านชาวเมืองโดยฐานขโมย
 
     พุทธบัญญัติอีกข้อหนึ่ง   ในจำพวกห้ามอวดอุตริมนุสสธรรม  คือ  สิกขาบทที่มิให้ภิกษุแสดงอิทธิปาฏิหาริย์แก่ชาวบ้าน   ภิกษุใดแสดง   ภิกษุนั้นมีความผิด  ต้องอาบัติทุกกฎ (วินย.7/29-33/12-16) ต้นเหตุเกิดจากเศรษฐีท่านหนึ่งเอาบาตรไม้จันทร์แขวนไว้ที่ปลายไม้ไผ่  แล้วประกาศท้าพิสูจน์ว่า ใครเป็นพระอรหันต์  มีฤทธิ์จริง  ก็ขอถวายบาตรนั้น   แต่ให้เหาะไปเอาลงมาเอง  พระปิณโฑลภารัทวาชะได้ยินคำท้า   ประสงค์จะรักษาเกียรติของพระศาสนาจึงเหาะขึ้นไปเอาบาตรลงมา   ทำให้ชาวเมืองตื่นเต้นเลื่อมใสกันมาก  พระพุทธเจ้าทรงทราบ จึงทรงบัญญัติสิกขาบทห้าม  โดยทรงตำหนิว่า  ไม่สมควรแสดงอิทธิปาฏิหาริย์  ซึ่งเป็นธรรมล้ำสามัญมนุษย์  เพราะเห็นแก่บาตรที่เป็นของมีค่าต่ำ   ทรงเปรียบการทำเช่นนั้นว่า เป็นเหมือนสตรีที่เผยอวัยวะพึงสงวนให้เขาดูเพราะเห็นแก่เงินทองของต่ำค่า
 
     ตามเรื่องที่เกิดขึ้นนั้น  เหตุผลส่วนที่ปรากฏชัด  ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงปรารภก่อนที่จะทรงบัญญัติสิกขาบทเหล่านี้   ก็คือ  เป็นการไม่สมควร  ที่จะอวดคุณความดี  และความเก่งกล้าสามารถพิเศษของตน  เพราะเห็นแก่ลาภสักการะ หรือผลประโยชน์ต่างๆ แต่ในเวลาที่ทรงบัญญัติจริง  ปรากฏว่า  ทรงเปิดกว้างให้สิกขาบทนั้นมีขอบเขตครอบคลุมเหตุจูงใจทุกอย่าง  ไม่เฉพาะการอวด หรือแสดงเพราะเห็นแก่ลาภสักการะ และผลประโยชน์ที่จะได้เท่านั้น
 
     ในเรื่องนี้  เพื่อเสริมความเข้าใจให้กว้างขึ้น สมควรที่จะพิจารณาถึงเจตนารมณ์ที่ลึกซึ้งลงไปอีกด้วย  เช่น  การที่ไม่ทรงประสงค์ให้ประชาชนตื่นเต้นหลงใหลกับสิ่งที่เข้าใจว่าสูงส่งเกิดวิสัยของตน  แล้วหันไปคิดพึ่งพาฝากความหวังไว้กับผู้อื่น  สิ่งอื่น  จนละเลยการเพียรพยายามทำตามเหตุผลที่เป็นวิสัยของตน  ดังนี้เป็นต้น
 
     แต่สิ่งที่ควรพูดถึงในที่นี้  ก็คือ  เจตนารมณ์คำนึงถึงสงฆ์  ตามหลักการของพระพุทธศาสนา  การดำรงอยู่แห่งธรรมวินัยเพื่อประโยชน์สุขของโลกนั้น   ขึ้นอยู่กับสงฆ์ที่เป็นส่วนรวม   การที่จะสืบต่อพระศาสนา หรือรักษาธรรมวินัย   จึงต้องทำให้สงฆ์คงอยู่ยั่งยืน  พูดอย่างชาวบ้านว่า  พระพุทธเจ้าทรงฝากธรรมวินัยไว้กับสงฆ์  มิใช่ไว้กับบุคคลผู้ใดผู้หนึ่ง  ซึ่งมิอาจอยู่ได้นาน
 
    พระพุทธเจ้าทรงมุ่งหมายให้ประชาชนทำนุบำรุงภิกษุทั้งหลาย  และสัมพันธ์กับภิกษุทั้งหลายในฐานะที่เป็นสงฆ์  ให้ทาน  บำรุง  และสัมพันธ์กับภิกษุ  ในฐานะที่ท่านเป็นภิกษุรูปหนึ่ง   หรือเป็นตัวแทนผู้หนึ่งของสงฆ์  มิใช่ในฐานะของบุคคลชื่อ ก.  ชื่อ ข. ชื่อ ค.  แม้ว่าภิกษุรูปใดรูปหนึ่งหรือบางรูปเก่งกล้าสามารถ  หรือบรรลุธรรมวิเศษ  ความสัมพันธ์ของท่านกับประชาชน  ก็จะแสดงออกทางสงฆ์หรือผ่านสงฆ์   ให้สงฆ์มีส่วนร่วมในผลสำเร็จของท่านด้วย
 
     คำที่พูดนี้พอจะมองเห็นไม่ยาก  ในกรณีที่ภิกษุรูปหนึ่งมีความดีงามความสามารถพิเศษ  ถ้าความดีงามความสามารถนั้นเป็นไปในฐานะที่ท่านเป็นภิกษุรูปหนึ่ง  ผลได้ที่มีมาถึงภิกษุรูปนั้น  จะมีมาถึงสงฆ์ด้วย  หรือสงฆ์จะมีส่วนได้รับผลด้วย  สงฆ์จะเจริญงอกงามไปกับภิกษุรูปนั้น   แต่ในทางตรงข้าม  ถ้าความดีงามความสามารถของภิกษุนั้น  แสดงออกในฐานะบุคคลผู้มีชื่อนี้โดยเฉพาะ   เป็นพวกกลุ่มนั้นกลุ่มนี้โดยเฉพาะ  ภิกษุนั้นจะเจริญเติบโตขึ้น  แต่เป็นความเจริญเติบโตส่วนตัวหรือเฉพาะกลุ่มของตัว   ที่บั่นรอนให้สงฆ์ซูบโทรมอ่อนแอลง
 
     การอวดคุณวิเศษของภิกษุ  ย่อมทำให้ประชาชนรวมจุดความสนใจไปที่ภิกษุนั้น  และหันไปทุ่มเทความอุปถัมภ์บำรุงให้  แต่ในเวลาเดียวกัน  สงฆ์จะด้อยความสำคัญลง  ภิกษุส่วนใหญ่ไม่ได้รับความเอาใจใส่  ขาดผลได้และสงฆ์ส่วนรวมก็จะอ่อนกำลังลง
 
     ด้วยเหตุนี้   จึงมีตัวอย่างพระอรหันต์บางท่านในสมัยพุทธกาล  เมื่อความดีเด่น และความสามารถพิเศษของท่านปรากฏเป็นที่รู้ขึ้น  และในเมื่อความสนใจต่อตัวท่าน  เปลี่ยนจากความสนใจในฐานะภิกษุรูปหนึ่ง   กลายไปเป็นความผูกพันในตัวบุคคล  พร้อมกับมีลาภผลติดตามมา  ตัวท่านกลายเป็นที่รวมความสนใจแทนสงฆ์  หรือเป็นเหตุให้ความสนใจต่อภิกษุส่วนมาก และความสำคัญของสงฆ์ลดลง  ท่านก็หลีกออกไปเสียจากที่นั้น   (พึงพิจารณาเรื่อง พระอิสิทัตตะ  และพระมหกะ  ใน สํ.สฬ.18/546-557 ฯลฯ)
 

     กล่าวโดยสรุป  การอวด  หรือบอกกล่าวอุตริมนุสสธรรมคือคุณวิเศษของตน   แก่ชาวบ้าน  แม้จะเป็นจริง  ก็มีผลเสียหายที่สำคัญแก่ส่วนรวม  ดังนี้
 
      ๑. ทำให้ชาวบ้านตื่นเต้นระดมความสนใจมารวมที่บุคคลผู้เดียว  หรือกลุ่มเดียว  แทนสนใจสงฆ์ ดังได้กล่าวแล้ว   และชาวบ้านผู้ไม่รู้ไม่เข้าใจ  ก็จะคิดเปรียบคิดเทียบ  เกิดความรู้สึกดูถูกดูแคลนท่านอื่น  กลุ่มอื่น  อย่างถูกต้องบ้าง  ผิดพลาดบ้าง  เป็นโทษแก่ตนเอง   และแก่พระศาสนาโดยส่วนรวม   ความข้อนี้สัมพันธ์กับข้อต่อไปด้วย
 
      ๒. เมื่อมีการอวดกันได้  ไม่เฉพาะท่านที่รู้จริงได้จริงเท่านั้นที่จะอวด   ท่านที่สำคัญตนผิดก็จะอวด  แต่ที่ร้ายแรงยิ่งก็คือ  เป็นช่องทางให้ผู้ไม่ละอายทั้งหลายพากันฉวยโอกาสอวดกันวุ่นวาย  ชาวบ้านซึ่งไม่รู้ไม่มีประสบการณ์เอง  ก็แยกไม่ถูกว่าอย่างไหนจริงอย่างไหนเท็จ  บางคราวที่เท็จ   มองในสายตาชาวบ้าน  กลับเห็นเป็นอัศจรรย์น่าเชื่อถือกว่า  ดังที่ผู้เชียวชาญการหลอกหรือเล่นกลลวงชาวบ้านได้สำเร็จกันมาก   ข้อนี้   สัมพันธ์กับข้อต่อไปอีก
 
      ๓. ชาวบ้านระดับโลกียปุถุชนทั้งหลาย   มีความพอใจนิยมชมชอบต่างๆกัน  ตื่นเต้นในต่างสิ่งต่างระดับกัน   และผู้ที่บรรลุธรรมวิเศษ  มีบุคลิกลักษณะคุณสมบัติและความสามารถด้านอื่นๆ ต่างๆกันไป   มิใช่จะมีคุณสมบัติที่พร้อมจะเป็นผู้นำตามรอยบาทพระศาสดาได้เหมือนกัน  บางท่านบรรลุธรรมวิเศษแล้ว   พูดสอนอธิบายไม่เป็น   คล้ายกับพระปัจเจกพุทธ  สู้แต่พระพหูสูตที่ยังไม่บรรลุก็ไม่ได้  เปรียบได้กับคนที่ได้ไปเที่ยวถิ่นห่างไกลเห็นมาด้วยตนเอง  กลับมาแล้ว  บางคนพูดคุยเล่าให้คนอื่นฟัง  ไม่จับจิตจูงใจ  ส่วนบางคน  ไม่เคยไปจริงเลย  แต่เล่าได้เป็นคุ้งเป็นแคว   น่าตื่นเต้น   เหมือนอย่างคุณครูบางท่าน  สอนวิชาภูมิศาสตร์เมืองฝรั่งเก่ง  ทั้งที่ตนเองไม่เคยไป  หรือในด้านบุคลิกลักษณะ  บางท่านสำเร็จอริยผลแล้วก็จริง   แต่รูปร่างไม่ชวนเลื่อมใส  เช่นอย่างพระอรหันต์ชื่อลกุณฎกภัททิยะ  ผู้มีร่างเตี้ยค่อม  ถูกพระหนุ่มเณรน้อยคอยล้อเลียนเย้าแหย่อยู่เสมอ  จนพระพุทธเจ้าต้องช่วยอนุเคราะห์ (สํ.นิ.16/704/325 ฯลฯ)  ในกรณีเช่นนี้   ท่านที่บรรลุจริงนั่นแหละ  เมื่อบอกเขา  กลับจะทำให้คนไม่เชื่อ  หรือถ้าเชื่อเข้า  ก็เลยหมดหรือคลายความเลื่อมใสในพระศาสนาลงไป  ส่วนคนที่ไม่ได้จริง  แต่พูดคล่อง  หลอกเก่ง ลักษณะดี  กลับนำฝูงชนสู่ทางผิดไปได้จำนวนมาก
 
      ๔. เมื่อท่านที่บรรลุจริง  อวดด้วย   สอนเก่งด้วย บ้าง   ท่านที่บรรลุจริง  สอนไม่เป็น  แต่อวดเขา บ้าง  ท่านที่ไม่รู้จริง   สำคัญตนผิดคิดว่าบรรลุแล้ว   เที่ยวบอกเล่าไปบ้าง  ท่านที่ไม่บรรลุ  แต่ชอบหลอก  พูดลวงเขาไปบ้าง  ต่อไปหลักพระศาสนาก็จะสับสนปนเปฟั่นเฟือน   ไม่รู้ว่าอันใดแท้อันใดเทียม  บางท่านมีส่วนรู้จริงในประสบการณ์บางแง่บางอย่าง   แต่ทำอรรถกับพยัญชนะให้เคลื่อนคลาดจากกัน   เพราะหย่อนความรู้ทางปริยัติ  ก็ทำให้หลักธรรมสับสน  พาคนเข้าใจเขว   และเสียเอกภาพแห่งคำสอนของพระศาสนา
 
     ความจริงนั้น   การยืนยันความตรัสรู้  เป็นภารกิจของพระศาสดา  ซึ่งเป็นผู้นำ  จำเป็นต้องประกาศหรือยืนยัน  ในเมื่อจะทำหน้าที่ตั้งพระศาสนา  และปกป้องพระศาสนานั้นพร้อมทั้งหมู่สาวก   ส่วนหมู่สาวกภายหลัง  เมื่อสมัครเข้ามา   ก็คือยอมรับคำสอนของพระศาสดาแล้ว  การยืนยันหรืออ้างอิงจึงไปอยู่ที่องค์พระศาสดาและคำสอนของพระองค์  ความรับผิดชอบในการสอน  ไม่อยู่ที่อ้างการบรรลุของตน  แต่อยู่ที่สอนให้ตรงกับคำสอนของพระศาสดา  หรือสอนตัวพระพุทธศาสนาแท้ๆ
 
     ดังนั้น   สาวกทั้งหลายจึงมุ่งว่าจะสอนให้ถูกต้องตามคำสอนของพระพุทธเจ้า   เอาความซื่อตรงต่อคำสอนของพระศาสดา  เป็นเกณฑ์พื้นฐานที่จะวัดความถูกต้องของการสอนพระพุทธศาสนา  ไม่จำเป็นต้องอ้างการบรรลุของตนเป็นหลักเกณฑ์ตัดสิน  ก็จะดำรงเอกภาพแห่งคำสอน  และเอกภาพแห่งพระพุทธศาสนาทั้งหมดเอาไว้ได้
 
     อนึ่ง  เมื่ออวดคุณวิเศษออกไปแล้ว  มีผู้เลื่อมใส  เอาลาภสักการะมาถวาย  ของถวายนั้นกลายเป็นของที่ได้มาเพราะการพูดอวดนั้นเอง  ทางพระวินัยถือว่าเป็นลาภไม่บริสุทธิ์
 
     พูดให้ลึกลงไปอีก  ท่านว่า  ไม่ต้องกลัวว่าผู้บรรลุอริยผลแล้วจะมาพูดอวดอ้างหรือป่าวประกาศ  เพราะเป็นธรรมดาของพระอริยะทั้งหลายเองที่ว่าท่านไม่อวด  หรือพูดอีกอย่างหนึ่งว่า  ผู้ที่อวดว่าตนเป็นพระอริยะ  ก็คืออวดว่าไม่ได้เป็นอริยะนั่นเอง   ผู้ที่อวดคุณวิเศษที่มีจริง  จะมีก็แต่ปุถุชนซึ่งได้คุณวิเศษขั้นโลกีย์   เช่น  ฌานสมาบัติเป็นต้น  (วินย.อ.2/304)



133 ...................

มิจฉาชีพแสบ ปลอมเป็นเจ้าอาวาส หลอกแม่ค้าสะเดาะเคราะห์ร่วมแสน ก่อนถอดจีวรหนี (amarintv.com)


 



Create Date : 01 มิถุนายน 2567
Last Update : 1 มิถุนายน 2567 8:03:29 น.
Counter : 57 Pageviews.

0 comments
(โหวต blog นี้) 
: แสงลอดเมฆ 15 : กะว่าก๋า
(26 ก.ย. 2567 05:16:34 น.)
: แสงลอดเมฆ 14 : กะว่าก๋า
(25 ก.ย. 2567 04:54:57 น.)
ธรรมะหลวงปู่ฝั้น นาฬิกาสีชมพู
(22 ก.ย. 2567 11:24:34 น.)
ศีลแท้ นาฬิกาสีชมพู
(21 ก.ย. 2567 16:17:19 น.)
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

Samathijit.BlogGang.com

BlogGang Popular Award#20



สมาชิกหมายเลข 6393385
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 9 คน [?]

บทความทั้งหมด