สัพเพเหระ ตอนที่ 32 ชีวิตนักเรียนนอก (อีกเสี้ยวนึง) มีเสียงถาม ๆ มาว่าแล้วตัวผมล่ะ ในฐานะนัำกเรียนนอก ทำอะไรมั่งนอกจากไปเรียน ตำตอบก็คือ เรียนอย่างเดียวเลยครับ หลาย ๆ คนอาจจะอิจฉา ประมาณว่า โหววว ได้เรียนอย่างเดียวเลย ไม่ต้องทำงานอะไรเลยเหรอเนี่ย มันก็ใช่ครับ ไม่้ต้องทำงาน แต่ผมก็มีเหตุผลว่าทำไมถึงไม่ทำงาน คือว่า ผมรู้ตัวครับว่า 1. ผมไม่่ใช่คนเรียนเก่ง 2. ประสบการณ์ทำงานค่อนข้างจำำกัด และไม่ค่อยเกี่ยวข้องกับที่เรียน 3. ภาษาห่วย พี่ที่เรียนด้วยกันบางคนก็บอกว่า "เฮ้ย พี่ก็เรียนไม่เก่งเหมือนกัน ยังไปทำงานเลย" ใช่ครับพี่ เรียนไม่เก่งของพี่เนี่ยนะ แต่ละเทอมเห็นแล้วก็แบบว่า ผมมิอาจเอื้อม ประสบการณ์ทำงานที่ผมมี ณ เวลานั้นก็คือเป็น translator ซึ่งงานที่ทำก็ไม่ค่อยจริงจังอะไรมากมายนัก ไม่ค่อยได้มีการพัฒนาตัวเองซักเท่าไหร่ เรื่องของภาษา อันนี้แน่นอนครับ ถึงผมจะทำงานเกี่ยวข้องกับภาษาอังกฤษมาตลอด แต่ ณ เวลานั้นภาษาของผมอยู่ในขั้นห่วยลงจากตอนเรียนจบใหม่ ๆ พอสมควร หลังจากวิเคราะห์จุดอ่อนของตัวเองได้แล้วสามจุด ผมต้องขยันมากกว่าคนอื่นสามเท่า ก็เลยตั้งใจเรียนเต็มที่ ผมเข้าไปมหาวิทยาลัยทุกวัน วันที่ผมไม่มีเรียน ผมก็จะเข้าห้องสมุดหรือไม่ก็ research center อยู่ในนั้นทั้งวันตั้งแต่เที่ยง (ตื่นสาย) จนถึงห้าทุ่มทุก ๆ วัน ยกเว้นช่วงปลาย ๆ เทอมที่งานส่วนใหญ่เริ่มเสร็จหมดแล้ว ก็จะเพลา ๆ ลงบ้าง เพื่อน ๆ ที่เรียนด้วยกันก็จะพูดทำนองล้อผมว่า "you เบา ๆ ลงมั่ง เด๋วตายคาคอม" "you นี่เข้าห้องสมุด 8 วันต่อสัปดาห์เลยมั้งเนี่ย" ฯลฯ จริง ๆ แล้วอีกเหตุผลนึงที่ผมต้องทำแบบนี้ก็เพราะว่ากฏของ immigration ในประเทศออสเตรเลียอด้วยแหละครับ นักเรียนต่างชาติจะต้องเป็นนักเรียนเต็มเวลา full-time student หมายความว่าต้องลงเรียนอย่างน้อย 3 วิชาต่อเทอม ผมต้องเรียน 8 วิชา ก็อาจจะใช้วิธีแบ่งเป็นเทอมละ 3 วิชา แล้วลงซัมเมอร์อีก 2 วิชาก็ทำได้ แต่ผมใช้วิธีลงไปเลยเทอมละ 4 วิชา ทำแบบนี้ด้วยเหตุผลสองข้อครับ เหตุผลแรกก็คือช่วงซัมเมอร์ส่วนใหญ่แล้่วพวกอาจารย์เค้าก็อยากจะพักผ่อนกัน อาจารย์บางท่านก็ไปทำวิจัยนอกสถานที่ บางท่านก็นอกประเทศไปเลย ก็เลยทำให้วิชาที่อยากจะเรียนอาจจะลงเรียนไม่ได้ช่วงนี้ หรือถ้าอาจารย์อยู่ แต่ถ้านักเรียนมีน้อยเกิน ก็ไม่เปิดสอนอีก ก็เลยเลือกที่จะเรียนในเทอมปกติ เหตุผลที่สองก็สั้น ๆ ง่าย ๆ ผมขี้เกียจครับ ชีวิตผม ณ ตอนนั้นก็ไม่เชิงว่าเรียนอย่างเดียวหรอกนะครับ คณะที่ผมเรียนส่วนใหญ่คนที่เรียนด้วยก็จะอายุีรุ่นแม่รุ่นป้าผมได้เลย ดังนั้นแล้วเรื่องของเทคโนโลยีที่เสริมการเรียนต่าง ๆ เช่นโปรแกรมคอมพิวเตอร์ต่าง ๆ การใช้อินเตอร์เนท การใช้บริการทางด้าน IT ของมหาวิทยาลัยก็จะต้องได้ผมเป็นผู้ช่วย กลายเป็นว่าผมก็เลยกลายเป็นที่ปรึกษาทางด้าน IT (จำเป็น) ให้กับบรรดาป้า ๆ ทั้งหลายที่เรียนด้วยกันไปครับ แต่ก็เป็นในลักษณะพึ่งพาอาศัยกัน เพราะว่าผมก็เรียนรอดมาได้ส่วนนึงก็ต้องขอขอบคุณเหล่าแม่ ๆ ป้า ๆ กลุ่มนี้ด้วย พวกนี้เค้าประสบการณ์ทำงานเยอะครับ ผมก็เลยได้รู้อะไรต่อมิอะไรเพิ่มขึ้นเยอะเลยทีเดียว สรุปครับ จากวิธีการที่ผมใช้ในการเรียนแบบนี้ มันก็เลยทำให้ผมเรียนจบได้ใน 2 เทอม ถึงจะไม่จบแบบคะแนนดีเลิศ แต่ก็รอดมาได้แบบไม่ถลอกปอกเปิก ก็ต้องขอบคุณพี่ ๆ แม่ ๆ ป้า ๆ ทั้งหลายไว้ ณ ที่นี้อีกครั้งขอรับกระผม เรื่องเรียนนี่มันมีหลายๆ เรื่องน่าจดจำจริงๆ ครับ บางครั้งมันก็ต้องพึ่งเขาพึ่งเราอะนะ
โดย: คุณต่อ (toor36 ) วันที่: 20 มิถุนายน 2554 เวลา:11:10:24 น.
อาจเป็นวัฒนธรรมไปแล้วก็ได้ เพราะผมไปงานวันเกิดของคนเกาหลีมันเล่นหนักกว่านี้จริง (เจอทุกครั้งด้วย) เคยฟังจากหลายๆ คน ก็เห็นหลายๆ คนเจอแบบนี้เหมือนกัน คงคล้ายๆ ประเพณีรับน้องนี่แหละ ผมก็ไม่อยากจะเชื่อว่ามันเป็นประเพณีอะไรนั่นเหมือนกัน
โดย: คุณต่อ (toor36 ) วันที่: 25 มิถุนายน 2554 เวลา:23:38:12 น.
โดย: คุณต่อ (toor36 ) วันที่: 28 มิถุนายน 2554 เวลา:16:57:11 น.
โดย: คุณต่อ (toor36 ) วันที่: 1 สิงหาคม 2554 เวลา:11:07:17 น.
|
บทความทั้งหมด
|