ปัญหาที่ถกเถียงของพระมหาเทวะ
ปัญหาที่ถกเถียงของพระมหาเทวะ

    พระมหาเทวะ เป็นพระภิกษุในประเทศอินเดียหลังพุทธเจ้าปรินิพพาน พ.ศ. ๑๐๐ เศษ ช่วงสังคายนาครั้งที่ ๒ มีปัญหาเป็นที่ถกเถียงกัน ๕ ข้อ ดังนี้

    ๑. คืนหนึ่งพระมหาเทวะเกิดการวิตก หลับไปฝันว่าได้เสพเมถุนธรรมจนน้ำอสุจิเคลื่อนเปื้อนผ้าสบง ตื่นขึ้นมาใช้ให้ศิษย์นำไปซัก ฝ่ายศิษย์ซักเมื่อเห็นรอยเปื้อนก็สงสัยถามว่า พระอรหันต์เป็นผู้ไม่มีอาสวะแล้ว ไฉนอาจารย์จึงยังมีสิ่งๆ นี้อีกเล่า มหาเทวะแก้ว่า พระอรหันต์อาจถูกมารรบกวนยั่วยวนในความฝันจนอสุจิเคลื่อน (พระอรหันต์อาจถูกมารยั่วยวนในความฝันได้)

    อธิบายว่า พระอรหันต์มี ๑๒ ขั้น สุดแล้วแต่ว่ามหาเทวะอยู่ขั้นไหน มีตบะแข็งกล้าขนาดไหน แต่ถ้าตบะไม่แข็งกล้า ไปเจอมารตัวใหญ่ก็ต้องแพ้ ท่านอาจจะเป็นอรหันต์ที่กำลังเข้าเรียนมหาวิทยาลัย แต่ปี ๑ จะจบหรือเปล่าก็ไม่รู้ ในปีหนึ่งจะต้องมีการผ่านบททดสอบกี่ข้อก็ว่ากันไปก็เหมือนกับมารมาทดสอบ

    การเป็นพระอรหันต์ก็คือ ไม่ให้กิเลสมาครอบงำจิตใจเราได้ คือ เรารู้ว่ากิเลสตัวไหน เราไม่เอากิเลสตัวไหนรู้แล้ว แต่เราทนได้แค่ไหนนั่นก็เป็นอีกขั้นหนึ่ง ตบะขั้นไหนๆ พระอรหันต์จะรู้เส้นทางว่าจะเป็นยังไง แต่เราจะทนได้แค่ไหน ก็เหมือนกันเราเป็นนักมวยก็รู้ว่าจะชกยังไง กติกายังไง แต่ว่าเราอยู่ในรุ่นไหน เจอกับใคร ขนาดไหน ยกตัวอย่าง

    เช่น รุ่น Heavyweight - เฮฟวี่เวท( WBA WBC IBF WBO BoxRec ) รุ่น Super middleweight - ซุปเปอร์ มิดเดิลเวท( WBA WBC IBF WBO BoxRec ) รุ่น Super lightweight - ซุปเปอร์ ไลทเวท( WBA WBC ) รุ่น Super featherweight - ซุปเปอร์ เฟเธอร์เวท( WBA WBC ) รุ่น Light flyweight - ไลท์ ฟลายเวท ( WBA WBC BoxRec ) รุ่น pin weight -พินเวท เป็นต้น

    หรือถ้าเขา ๑๐๐ ปอนด์ เราก็ ๑๐๐ ปอนด์เหมือนกัน แต่ถ้าเขามีทักษะชำนาญกว่า เราก็ต้องแพ้เขาก็ต้องยอม แม้ว่าเป็นพระอรหันต์ก็ต้องไปเรียนรู้

    ถ้าเราเป็นจอมยุทธ์เราเป็นจอมยุทธ์ชั้นไหนล่ะ แต่คุณก็ใช้ดาบเป็น ใช้กระบี่เป็น

    ๒. พระมหาเทวะปรารถนาจักเอาอกเอาใจบริวาร จึงแกล้งพยากรณ์มรรค ๔ ผล ๔ ให้ลูกศิษย์ว่า ผู้นั้นๆ สำเร็จโสดาบัน ผู้นั้นสำเร็จอรหันต์ ศิษย์บางคนที่ถูกพยากรณ์ว่าเป็นอรหันต์ เกิดความสงสัยถามขึ้นว่า อาจารย์! พระอรหันต์ท่านย่อมมีความรอบรู้ในตนเองว่าเป็นอรหันต์มิใช่ฤา ไฉนข้าพเจ้าจึงไม่มีญาณรู้เฉพาะตนเองเล่า? พระมหาเทวะแก้ว่า พระอรหันต์อาจมีอัญญาณได้ (พระอรหันต์ยังมีอัญญาณ)

    ที่เกิดปัญหาอย่างนี้ คนทั่วไปคิดว่าอรหันต์ก็คืออรหันต์ จบล่ะ ไม่คิดว่าอรหันต์ยังมี ๑๒ ชั้น ถ้าเราเข้าใจพระอรหันต์ ๑๒ ชั้น เรื่องพวกนี้ไม่มีปัญหาเลย ตอบได้หมดเลย

    ๓. พวกศิษย์ก็ถามว่า ธรรมดาพระอรหันต์ท่านย่อมไม่มีความกังขาในธรรมิใช่ฤา ก็เหตุไรข้าพเจ้าทั้งหลายจึงยังรู้สึกไม่แจ่มแจ้งในธรรมมีอริยสัจ ๔ เป็นต้นเล่า? พระมหาเทวะแก้ว่า พระอรหันต์อาจมีกังขาได้ (พระอรหันต์ยังมีความสงสัย)

    ๔. ศิษย์ก็ยังสงสัยตนเองถามว่า ธรรมดาผู้บรรลุอรหันต์ย่อมทราบชัดด้วยใจตนเองว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์เราได้อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำเราได้ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นอีกเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี ดังปรากฏในพระสูตรต่างๆ เป็นต้น ไฉนพวกข้าพเจ้าจึงจำต้องอาศัยอาจารย์พยากรณ์จึงรู้เล่า? พระมหาเทวะแก้ว่า อย่าว่าแต่พวกเธอไม่รู้เลย แม้พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะก็ยังต้องอาศัยพุทธพยากรณ์ จึงรู้ว่าตนบรรลุอรหันตผล ฉะนั้น ผู้จะรู้ว่าตนบรรลุอรหันตผลก็โดยการแนะนำพยากรณ์ของผู้อื่น (พระอรหันต์จะต้องรู้ว่าตนได้มรรคผลต้องอาศัยผู้อื่นอีก)

    ถ้าใช้คำว่า "พยากรณ์" จะไม่ถูก คนทั่วไปจะคิดว่าเลื่อนลอย ควรจะใช้คำว่า "ตรวจสอบ" จากครูบาอาจารย์ที่สูงกว่า เป็นความจำเป็นที่จะต้องมีการตรวจสอบ เพราะว่าเรารู้แต่ว่าไม่แน่ชัด แม้ว่าจะเป็นพระอรหันต์แล้วก็ตาม เพียงแต่บางครั้งรู้แต่ไม่แน่ชัด อย่าลืมว่า พระอรหันต์ ๑๒ ชั้น 

    ยกตัวอย่าง คนที่เรียนจบปริญญาโท ก็จะมาสอนระดับปริญญาตรี ปริญญาเอก สอนปริญญาโท-ตรี ถ้าเราเข้าใจระบบเช่นนี้ เราจะเข้าใจอย่างถ่องแท้ ในระบบธรรมเป็นเช่นนี้ อยู่ดีๆ แล้วยกไปเลยแล้วให้เป็นไปตามนั้นไม่ได้

    ถ้าเราไม่ยอมรับระบบในธรรมเช่นนี้ เราก็จะปั่นป่วน จะฆ่ากันเอง จะขัดแย้งรบรากันเอง เพราะว่าตัวมิจฉาทิฏฐินำไปอยู่เรื่อย ถ้าเราไม่รู้จักการบริหารมิจฉาทิฏฐิ ก็จะเสร็จเขาแน่ ไม่เป็นเรื่องหนึ่งก็จะปั่นให้เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ถ้าเรารู้ทันมิจฉาทิฏฐิ เราก็จะจัดการด้วยสัมมาทิฏฐิ

    ๕. เมื่อพระมหาเทวะสร้างกรรมชั่วๆ มากเข้า ก็เกิดกลัวบาปว่าจักชักนำตนไปเกิดในนิรบาย จึงราตรีมัชฌิมยามหนึ่ง เธอนอนครุ่นคิดในอกุศลกรรมนั้น เกิดความทุกข์ใจ อุทานวาจาออกมาว่า ทุกข์หนอๆ บังเอิญพวกศิษย์ที่อยู่ใกล้เคียงได้ยินเข้า รุ่งเช้าพากันไปถามว่า อาจารย์เกิดความไม่สบายอันใดฤา? พระมหาเทวะแก้ว่า มรรคผลจะปรากฏต่อเมื่อบุคคลผู้บำเพ็ญเปล่งคำว่า ทุกข์หนอ (มรรคผลเกิดขึ้นต้องอาศัยเปล่งคำว่า ทุกข์หนอ ๆ) (เสถียร โพธินันทะ.  ๒๕๒๒.  ประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา.  กรุงเทพฯ : บรรณาคาร, ๒๐๖-๒๐๙.)

    มรรคผลจะปรากฏต่อเมื่อบุคคลผู้บำเพ็ญเปล่งคำว่า ทุกข์หนอ ข้อนี้ไม่จริง เพราะบางคนเปล่งเก๊ก็มี เยอะแยะไป อย่ามักง่ายเกินไป ต้องดูพฤติกรรม ไม่ใช่ดูที่เขาเปล่งวาจา


 



Create Date : 21 กุมภาพันธ์ 2563
Last Update : 21 กุมภาพันธ์ 2563 15:42:29 น.
Counter : 486 Pageviews.

0 comments
: รูปแบบของชีวิต : กะว่าก๋า
(17 เม.ย. 2567 04:37:20 น.)
หลักของสติ **mp5**
(16 เม.ย. 2567 12:14:57 น.)
: หยดน้ำในมหาสมุทร 36 : กะว่าก๋า
(14 เม.ย. 2567 06:17:30 น.)
Day..10 โฮมสเตย์ริมน้ำ
(11 เม.ย. 2567 08:25:45 น.)
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Prommasit.BlogGang.com

พรหมสิทธิ์
Location :
เชียงราย  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]

บทความทั้งหมด