ทั้งเจตนาและไม่เจตนาก็เป็นกรรม
ทั้งเจตนาและไม่เจตนาก็เป็นกรรม
ตอบว่า คำกล่าวที่ว่า "เจตนานั่นคือกรรม ถ้าทำไม่มีเจตนาก็ไม่เป็นกรรม" นั้นไม่ถูกต้อง เพราะว่าการกระทำทุกสิ่งย่อมต้องมีเหตุและผล เรากระทำสิ่งใดไปแล้วย่อมต้องมีผล แม้ว่าเราจะกระทำแบบมีเจตนาหรือไม่เจตนาก็ย่อมต้องมีผล เราก็ต้องรับผลกรรมนั้น เราจะต้องรับกรรมนั้น ดังพุทธพจน์ที่ว่า
"ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวเจตนาว่าเป็นกรรม บุคคลคิดแล้วจึงกระทำกรรมด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ ก็เหตุเกิดแห่งกรรมเป็นไฉน คือ ผัสสะเป็นเหตุเกิดแห่งกรรม (เจตนาหํ ภิกฺขเว กมฺมํ วทามิ เจตยิตฺวา กมฺมํ กโรติ กาเยน วาจาย มนสา ฯ กตโม จ ภิกฺขเว กมฺมานํ นิทานสมฺภโว ผสฺโส ภิกฺขเว กมฺมานํ นิทานสมฺภโวฯ; มาในพระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๔ สุตฺต. องฺ. (๓): ปญฺจก-ฉกฺกนิปาตา)"
ฉะนั้น เมื่อเกิดผัสสะทางอายตนะ ทวารทั้ง ๖ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ ก็ย่อมเกิดกรรมแล้ว บางคนยกข้อความมาไม่เต็ม ทำให้เกิดความสับสน
เมื่อเกิดกรรมแล้ว สุดแล้วแต่ว่ากรรมนั้นจะกระทำด้วยเจตนาหรือไม่เจตนา ผลย่อมมีความหนักเบาแตกต่างกันไป
เหมือนกับผู้พิพากษาจะตัดสินความ ทางศาลยุติธรรม จะต้องพิจารณาตัวบทกฎหมาย กฎหมายอาญากำหนดความผิดไว้ ๒ ประเภทใหญ่ ๆ คือ "กระทำโดยเจตนา" กับ "กระทำโดยประมาท" ถ้ากระทำโดยไม่เจตนา ก็จะมีโทษเบาลงไป เพราะว่ามีผลเช่นกัน