### ประวัติการสร้างสะพานพระพุทธยอดฟ้า ###
อาถรรพณ์ที่เป็นเหตุ ให้ต้องสร้างสะพานพุทธฯนั้น เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในพิธีฝังเสาหลักเมือง ของกรุงเทพมหานคร ในวันอาทิตย์ที่ ๒๑ เมษายน พ.ศ. ๒๓๒๕ เมื่อทุกอย่างเป็นไปตามฤกษ์แล้ว ขณะที่พราหมณ์กำลังเลื่อนเสาลงหลุม ก็พบเหตุประหลาด มีงูเล็กๆ ๔ ตัวปรากฎอยู่ก้นหลุม โดยไม่มีใครสังเกตเห็นมาก่อน ครั้นจะหยุดเสาเมืองไว้ก็ไม่ได้ เพราะพิธีทุกอย่างต้องเป็นไปตามฤกษ์ พราหมณ์จึงจำต้องปล่อยเสาลงหลุม และกลบดินฝังงูเล็ก ๔ ตัวนั้นไว้กับเสาหลักเมืองด้วย พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ทรงปริวิตกเป็นอันมาก บรรดาโหราจารย์ทั้งหลายต่างทำนายตรงกันว่า เหตุการณ์นี้เป็นอวมงคลคือ เป็นเรื่องไม่ดี แต่ไม่มีใครบอกได้ว่าจะทำให้เกิดเหตุร้ายสิ่งใด บ้างก็ทำนายว่าพระราชวงศ์จักรี จะสิ้นสุดลงในเวลา ๑๕๐ ปี ซึ่งก็สร้างความวิตกให้ผู้คนตลอดมา ซึ่งทรงเชี่ยวชาญด้านโหราศาสตร์ นอกจากจะทรงทำพิธีแก้อาถรรพณ์ ด้วยการฝังเสาหลักเมือง ขึ้นอีกเสาหนึ่งคู่กันแล้ว ยังทรงมีพระราชดำริ ที่จะสร้างสะพานเชื่อมเมืองหลวงใหม่ กับเมืองหลวงเก่าให้ติดต่อถึงกัน แต่ในยุคนั้นยังไม่มีเทคโนโลยี สามารถสร้างสะพานข้ามแม่น้ำที่กว้างขนาดนั้นได้ กรุงเทพมหานคร ๑๕๐ ปี ใน พ.ศ. ๒๔๗๕ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงคำนึงถึง พระราชดำริในรัชกาลที่ ๔ ที่จะสร้างสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา เชื่อม ๒ ฝั่ง อีกทั้งยังทรงเห็นว่า กรุงเทพมหานคร ได้เจริญก้าวหน้าขึ้นมาก และขยายไปทางด้านตะวันออก มากกว่าด้านอื่น แต่ทางด้านฝั่งธนบุรีมีพื้นที่ติดกัน เป็นเรือกสวนและมีผู้คนอาศัยอยู่มาก การไปมากับฝั่งพระนคร ยังยากลำบากต้องใช้แต่ทางเรือ ไม่วันใดวันหนึ่งก็ต้อง สร้างสะพานเชื่อมถึงกัน ถ้าสร้างเสียแต่วันนี้ จะได้ประโยชน์เร็วขึ้น ทั้งในโอกาสฉลองกรุงเทพฯ ๑๕๐ ปี ก็ควรจะมีสิ่งที่เป็นอนุสรณ์สถานสร้างไว้ เพื่อระลึกถึง พระมหากรุณาธิคุณ ของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดจุฬาโลก ที่สร้างกรุงเทพมหานครขึ้น ก็เห็นชอบพระราชดำริที่จะสร้างอนุสรณ์สถาน ๒ สิ่งคู่กัน โดยเชิญชวนประชาชนร่วม เฉลิมพระเกียรติสนองพระเดชพระคุณ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก คือ พระบรมรูปองค์ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี ผู้สร้างกรุงเทพมหานคร กับอีกสิ่งหนึ่งคือ สะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา ที่เป็นพระราชดำริมาตั้งแต่รัชกาลที่ ๔ โดยกำหนดสถานที่ปลายถนนตรีเพชร ฝั่งพระนคร ข้ามไปลงที่บริเวณด้านวัดประยุรวงศาวาส จากนั้นตัดถนนกระจายไปในเขตฝั่งธนบุรี ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ อุปนายกราชบัณฑิตสถาน ซึ่งทรงอำนวยการแผนกศิลปากร เป็นผู้ออกแบบ เป็นพระบรมรูปทรงเครื่องขัตติยาภรณ์ ประทับเหนือราชบัลลังก์ และหล่อด้วยทองสำริด สูงจากฐานถึงยอด ๔.๖๐ เมตร ฐานกว้าง ๒.๓๐ เมตร มีฐานศิลาอ่อนเป็นเวที ที่ตั้งพระบรมรูปหล่ออีกตอนหนึ่ง พระเจ้าพี่ยาเธอกรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน เสนาบดีกระทรวงพาณิชย์ และคมนาคมอำนวยการสร้าง ซึ่งทรงรับสั่งให้ กองแบบแผน กรมรถไฟหลวง เป็นผู้ออกแบบโครงสร้าง แสดงทางขึ้นลงทั้ง ๒ ข้างและตัวสะพาน พร้อมด้วยขนาดและรายการ เพื่อเปิดประมูลจากบริษัทต่างๆ บริษัททดอร์แมนลอง จากประเทศอังกฤษ เป็นผู้ออกแบบก่อสร้าง เป็นสะพานเหล็กยาว ๒๒๙.๗๖ เมตร กว้าง๑๖.๖๘ เมตร ท้องสะพานสูงเหนือน้ำ ๗.๕๐ เมตร สามารถยกสะพานขึ้นลง เพื่อเปิดทางให้เรือขนาดใหญ่ผ่านได้ ออกแบบให้มีรูปลักษณ์เหมือนลูกศร มีปลายอยู่ที่ฝั่งธนบุรี กำหนดประมาณ ๔,๐๐๐,๐๐๐ บาท พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ทรงบริจาคราชทรัพย์ ส่วนพระองค์จำนวนหนึ่ง และรัฐบาลสมทบงบประมาณแผ่นดิน อีกจำนวนหนึ่ง อีกทั้งทรงมีพระราชดำริ ที่จะเปิดรับบริจาคเงินจากประชาชน ให้มีส่วนร่วมในการสร้างด้วย พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานนามสะพานนี้ว่า "สะพานพระพุทธยอดฟ้า" แต่ทางฝั่งพระนคร แยกทางขึ้นลงออกจากกัน และตรงทางโค้งที่ทางขึ้นทางลง มาบรรจบกัน เป็นที่ประดิษฐานพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก หันพระพักตร์ไปยังถนนตรีเพชร เบื้องหลังก่อเป็นกำแพงหินอ่อนกั้น เบื้องหน้ามีเครื่องบูชาและมีน้ำพุ มีลักษณะสอบขึ้นข้างบน ภายในกลวงมีบันได ขึ้นไปด้านบนได้ ซึ่งบนสุดมีหน้าต่างกระจก ๔ ทิศติดไฟฟ้าไว้ภายใน เพื่อเป็นอาณัติสัญญาณ แก่เรือที่จะผ่านสะพาน เมื่อสะพานปิดไฟจะเปิด เรือสามารถมองเห็นได้แต่ไกล ไฟจะดับเมื่อสะพานเปิด เสาทั้ง ๔ ยังเป็นเครื่องประดับสะพานด้วย ที่โคนเสามีคำจารึกประวัติ การสร้างสะพานอยู่ด้านหนึ่ง อีกด้านหนึ่งจารึกนามสะพาน พร้อมปีพระพุทธศักราช ๒๔๗๕ ที่เป็นปีประกอบพระราชพิธี เปิดพระปฐมบรมราชานุสรณ์ และสะพานเหมือนกันทั้ง ๒ ฝั่ง ทิ้งระเบิดจนเสียหาย เพื่อตัดเส้นทางลำเลียง ของกองทัพญี่ปุ่น พอสงครามสงบองค์การสหประชาชาติ ได้นำสะพานเบลลี มาทอดให้ชั่วคราว จนถึงปี พ.ศ. ๒๔๙๑ รัฐบาลจึงได้บูรณะ และกลับมาใช้ได้ตามปกติในปี ๒๔๙๒ ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถาน และเป็นอนุสรณ์สำคัญแห่งหนึ่งของกรุงรัตนโกสินทร์ ปฐมบรมราชานุสรณ์แล้ว ยังมีลานสาธารณะ ให้คนมาใช้พักผ่อนหย่อนใจ และเป็นลานกีฬาของเด็กนักเรียนในย่านนั้นด้วย ทั้งฟุตบอลและสเกตบอร์ด จะเป็นตลาดนัดยามค่ำคืน ที่มีสินค้าแฟชั่นหลากหลาย โดยเฉพาะสินค้ามือสอง อาทิ เสื้อ กางเกง กระเป๋า รองเท้า เครื่องประดับ อีกทั้งยังมีศิลปินอิสระ ส่วนมากเป็นนักศึกษาเพาะช่าง มารับวาดภาพและขายภาพวาดด้วย ด้วยราคาที่แสนถูก |
บทความทั้งหมด
|