ว่าด้วยยาพาราเซตามอล
ยาพาราเซตามอล หรือ อะเซตามิโนเฟน เป็นยาแก้ปวดลดไข้
ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายหาซื้อได้ง่าย เป็นยาที่ค่อนข้างปลอดภัยเมื่อใช้อย่างถูกวิธี
พาราเซตามอลสามารถบรรเทาปวดจากสาเหตุต่างๆได้หลากหลาย
เช่น ปวดศีรษะ ปวดจากข้อเสื่อม ปวดกล้ามเนื้อ เคล็ด ขัด ยอก
หลายท่านจึงมีติดตู้ยาที่บ้านและมักเป็นยาที่นึกถึงเป็นขนานแรกเมื่อมีอาการปวด
เมื่อใช้ในรูปแบบยาเดี่ยว พาราเซตามอลมีฤทธิ์ลดอาการปวดจำกัด
รักษาได้เพียงอาการปวดขั้นอ่อนถึงปานกลางเท่านั้น
อาการปวดที่ยาพาราเซตามอลใช้ได้ผลน้อยหรือไม่ได้ผล
แม้พาราเซตามอลจะมีฤทธิ์บรรเทาปวดได้หลายอย่าง
จนเหมือนจะรักษาปวดได้ครอบจักรวาล แต่อย่างไรก็ตาม
มีอาการปวดบางชนิดที่พาราเซตามอลไม่มีผลรักษา
หรืออาจไม่ใช่ยาที่เหมาะสม เช่น
1.อาการปวดขั้นรุนแรง
เช่นปวดจากแผลผ่าตัดใหญ่ หรือจากมะเร็ง
วิธีการประเมินความปวดอย่างง่ายวิธีหนึ่งคือการให้คะแนนความปวดจาก 0 ถึง 10
ให้เลข 0 แทนความรู้สึกที่ไม่มีอาการปวดแต่อย่างใด
และเลข 10 แทนความรู้สึกปวดมากที่สุดเท่าที่จะจินตนาการได้
หากประเมินแล้วตัวเลขตกอยู่ในช่วง 7-10 นั่นหมายถึงการมีอาการปวดขั้นรุนแรง
ยาพาราเซตามอลแต่เพียงขนานเดียวไม่สามารถรักษาได้
แม้ว่าจะใช้เกินขนาดไปเท่าใดก็ตาม
ดังนั้นผู้ป่วยที่มีความปวดระดับดังกล่าวห้ามใช้พาราเซตามอลเกินขนาดที่แนะนำ
เพื่อหวังผลลดปวดและควรพบแพทย์เพื่อรับยาที่เหมาะสมต่อไป
2. อาการปวดที่มีลักษณะอาการแบบแปลกๆ
อาการปวดโดยทั่วไปที่พาราเซตามอลมีผลรักษาเช่น ปวดตื้อ หรือ กดเจ็บ
จากเนื้อเยื่อที่มีการอักเสบ หรือปวดศีรษะทั่วไป
แต่มีอาการปวดบางแบบที่พบได้ในผู้ป่วยเช่น ปวดแสบปวดร้อน
เสียวแปลบเป็นพักๆ ปวดเหมือนเข็มเล็กๆทิ่มแทง ปวดเหมือนไฟช๊อต
ปวดร้าวไปที่บริเวณอื่นๆ อาการปวดเหล่านี้อาจบ่งถึงอาการปวด
จากการที่เส้นประสาททำงานผิดปกติ ปวดร่วมกับอาการชา
ยาพาราเซตามอลมีผลน้อยมากในการรักษาอาการดังกล่าว
ผู้ป่วยที่มีอาการปวดเส้นประสาทมักมีอาการเรื้อรัง
จึงอาจใช้ยาพาราเซตามอลเองเป็นระยะเวลานาน
ซึ่งเสี่ยงต่อการเกิดความผิดปกติของตับ หากมีอาการเหล่านี้
ควรพบแพทย์เพื่อรับการวินิฉัยและรักษาอย่างถูกต้อง
3. อาการปวดศีรษะที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง
การใช้ยาพาราเซตามอลรักษาอาการปวดศีรษะบ่อยๆ
โดยเฉพาะการใช้ยามากกว่า 15 วันต่อเดือนประมาณ 2-3 เดือนติดต่อกัน
จะเพิ่มความเสี่ยงให้เกิด โรคปวดศีรษะเหตุใช้ยาเกิน
ดังนั้นผู้ที่อาการปวดศีรษะบ่อยครั้ง เช่นปวดศีรษะไมเกรนมากกว่าเดือนละ 3-4 ครั้ง
หรือปวดศีรษะจากความเครียดที่มีลักษณะอาการปวดเหมือนศีรษะถูกบีบรัด
มากกว่า 15 วันต่อเดือน ควรปรึกษาบุคคลากรทางการแพทย์
เพื่อหาสาเหตุที่ชัดเจนและอาจจำเป็นต้องรับยาอื่นที่ไม่ใช่พาราเซตามอล
เพื่อป้องกันอาการปวดศีรษะต่อไป
คำแนะนำการใช้ยาพาราเซตามอลในการระงับปวดให้ปลอดภัย
1. รับประทานยาอย่างเคร่งครัดตามที่ได้รับการแนะนำจากบุคลากรทางการแพทย์
หรือห้ามใช้เกินขนาดที่แนะนำ
2. ขนาดยาพาราเซตามอลโดยทั่วไปเมื่อใช้ในการรักษาความปวดเบื้องต้น
ในผู้ใหญ่คือ 500 มิลลิกรัมครั้งละ 1-2 เม็ด ทุก 4-6 ชั่วโมง
แต่ใน 1 วัน (24 ชั่วโมง) ไม่เกิน 8 เม็ด (4,000 มิลลิกรัม)
จากขนาดยาดังกล่าวสังเกตว่าหากรับประทานครั้งละ 2 เม็ดทุก 4 ชั่วโมง
จะเท่ากับ 6,000 มิลลิกรัมซึ่งเกิน 4,000 มิลลิกรัม
ให้ระมัดระวังการใช้ยาในขนาดสูงดังกล่าว ขนาดยาที่แนะนำในผู้ใหญ่นี้
ใช้สำหรับรักษาความปวดเบื้องต้น แนะนำให้รับประทานติดต่อกันไม่เกิน 5-7 วัน
หากจำเป็นต้องใช้นานกว่านี้ควรปรึกษาแพทย์
3. หากใช้ยาบางชนิดร่วมด้วยต้องใช้พาราเซตามอลภายใต้การดูแลของแพทย์
4. ยาบางชนิดอาจทำให้พิษต่อตับของยาพาราเซตามอลเพิ่มขึ้น
เช่น ยารักษาวัณโรค เช่น rifampin หรือยารักษาโรคลมชัก
เช่น phenytoin, carbamazepine และ phenobarbital
หรือการดื่มสุราจัดติดต่อกันเป็นเวลานาน
พาราเซตามอลอาจเพิ่มฤทธิ์ของยาบางชนิด เช่น warfarin
ซึ่งเป็นยาป้องกันการแข็งตัวของเลือด หากได้รับยาดังกล่าว
ควรใช้ยาพาราเซตามอลหรือยาแก้ปวดทุกชนิดภายใต้การดูแลของแพทย์
5. ตรวจสอบชื่อสามัญทางยาของยาที่ใช้อยู่ให้ถี่ถ้วน
เพื่อป้องกันการได้รับพาราเซตามอลเกินขนาด ในกรณีที่ผู้ป่วยใช้ยาอยู่หลายขนาน
ให้ทำการตรวจสอบชื่อสามัญทางยาว่ามี พาราเซตามอล
หรือ อะเซตามิโนเฟน อยู่ในยาแต่ละขนานอย่างซ้ำซ้อนหรือไม่
เพราะมียาหลายชื่อการค้าที่มีพาราเซตามอลแฝงอยู่โดยเฉพาะยาสูตรผสมแก้หวัด
เช่น Tiffy® Decolgen®, Pharcold® และ Apracur®
และยาสูตรผสมแก้ปวด เช่น Norgesic®, Ultracet® และ Tylenol with codeine®
การได้รับยาเหล่านี้ซ้ำซ้อนกันหลายชนิดอาจเป็นเหตุให้ได้รับยา
พาราเซตามอลเกิดขนาดโดยไม่ตั้งใจได้
หากไม่แน่ใจในขนาดยารวมของพาราเซตามอลที่ใช้ให้ปรึกษาเภสัชกร
ขอบคุณข้อมูลจาก อาจารย์ ภก. พงศธร มีสวัสดิ์สม
ภาควิชาเภสัชวิทยา คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
#RamaChannel