### มารู้จักโรคสะเก็ดเงินกัน....ไม่ใช่โรคติดต่อ ### เป็นโรคผิวหนังอักเสบเรื้อรังชนิดหนึ่ง พบได้ประมาณร้อยละ 1-3 ของประชากร มีลักษณะเป็นผื่นปื้นแดง มีสะเก็ดขุยหนา มักเป็นสีเงินวาว จึงเป็นที่มาทำให้เรียกว่า สะเก็ดเงิน โดยผื่นมักอยู่บริเวณข้อศอก เข่า หลัง หรือกระจายบริเวณตามลำตัวของร่างกาย แขนขา นอกจากนี้ยังพบผื่นขุยหนาบริเวณหนังศีรษะ และอาจพบความผิดปกติของเล็บร่วมด้วยได้ ในปัจจุบันเองก็ยังไม่ทราบสาเหตุ การเกิดโรคที่แน่ชัด แต่เชื่อว่าเกิดจากหลายปัจจัย ทั้งปัจจัยทางพันธุกรรม หรือการติดเชื้อบางอย่างที่ไปกระตุ้นให้เซลล์ผิวหนัง แบ่งตัวเร็วกว่าปกติ ทำให้มีผื่นผิวหนังหนา ลอกเป็นสะเก็ด และมีขุยเกิดขึ้นได้ ของร่างกายเพียงอย่างเดียว จะมีเพียงร้อยละ 10-30 ของผู้ป่วย มีอาการทางข้อสะเก็ดเงินร่วมด้วยได้ กล่าวคือมีการปวดตามข้อนิ้วมือ ปวดตามแนวกระดูกสันหลัง หรือปวดข้อสะโพกได้ นอกจากนี้ยังพบว่า ผู้ป่วยสะเก็ดเงินมักมีโรคอ้วนลงพุงร่วมด้วย โดยโรคนี้สามารถวินิจฉัยจากการพบความผิดปกติ มากกว่า 3 ใน 5 ข้อดังต่อไปนี้ และมากกว่า 80 เซนติเมตรในผู้หญิง 2) มีความดันโลหิตมากกว่า 130/85 มิลลิเมตรปรอท หรือได้รับยารักษาความดันโลหิต 3) มีระดับไตรกลีเซอไรด์มากกว่า 150 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร หรือเป็นผู้ที่มีไขมันในเลือดสูงและได้รับยาลดไขมัน 4) มีระดับไขมันชนิดดีน้อยกว่า 40 มิลลิกรัม ต่อเดซิลิตรในผู้ชายและน้อยกว่า 50 มิลลิกรัม ต่อเดซิลิตรในผู้หญิง หรือเป็นผู้ที่มีไขมันในเลือดสูงและได้รับยาลดไขมัน 5) มีระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่า 100 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร หรือเป็นผู้ที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นเบาหวานชนิดที่ 2 มีโอกาสเสียชีวิตหรือไม่นั้น อธิบายได้ว่าโดยทั่วไปผื่นสะเก็ดเงินไม่ทำให้เสียชีวิต ยกเว้นในกรณีที่เป็นรุนแรง มีผื่นกระจายมากกว่า ร้อยละ 90 ของพื้นที่ผิวของร่างกาย ก็อาจทำให้มีโอกาสเสียชีวิตได้ ผู้ป่วยสามารถใช้ชีวิตร่วมกับผู้อื่นได้ตามปกติ แต่ในกรณีที่มีผื่นมาก อาจมีขุยร่วงตามเก้าอี้ ที่นอน และรบกวนการดำเนินชีวิตของผู้ป่วยได้ และจากการศึกษาพบว่า มียีนหลายตัวที่เกี่ยวข้องกับการเกิดโรค สามารถถ่ายทอดไปยังลูกได้ และการศึกษาทางระบาดวิทยาพบว่า ถ้าพ่อหรือแม่คนใดคนหนึ่งเป็นโรคสะเก็ดเงิน เมื่อมีลูก โอกาสที่ลูกจะเกิดโรคได้มีประมาณร้อยละ 14 แต่ถ้าทั้งพ่อและแม่เป็นโรคสะเก็ดเงิน ลูกมีโอกาสเกิดโรคได้ถึงร้อยละ 40 ที่ไม่ทราบสาเหตุแน่ชัดจึงยังไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่การรักษาจะช่วยควบคุมโรค และช่วยให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้ ฉะนั้นเพื่อเป็นการป้องกัน จึงมีคำแนะนำ เรื่องการรับประทานอาหารของผู้ป่วยโรคสะเก็ดเงินว่า ควรงดเหล้า ไวน์ และอาหารหมักดอง จะสามารถกระตุ้นให้ผื่นกำเริบได้ และยาบางชนิด เช่น ยาลิเทียม ยาต้านมาลาเรีย ยาลดความดันกลุ่มเบต้าบล๊อกเกอร์ รวมทั้งยาลดต้านอักเสบชนิดไม่ใช่สเตียรอยด์ ก็สามารถกระตุ้นให้โรคกำเริบได้ กรณีที่ผู้ป่วยมีอาการไม่รุนแรง การใช้ยาทาก็เพียงพอสำหรับการควบคุมโรคได้ แต่ในกรณีที่ผู้ป่วยมีอาการของโรคปานกลางถึงรุนแรง อาจมีความจำเป็นต้องใช้การรักษาอื่นร่วมด้วย เช่น การรับประทานยา การฉายแสงอัลตร้าไวโอเลตเทียม การฉีดยากลุ่มชีวภาพ เป็นต้น ทั้งนี้แพทย์จะเป็นผู้ประเมินความเหมาะสม ในการรักษาแต่ละประเภทสำหรับผู้ป่วยแต่ละคน เนื่องจากความเครียด การอดนอน การติดเชื้อ การเจ็บป่วย การเกา จะกระตุ้นให้โรคกำเริบได้ ดังนั้นการพักผ่อนให้เพียงพอ การออกกำลังกายอย่างเหมาะสม และเมื่อมีการเจ็บป่วย ติดเชื้อ ควรรีบดูแลรักษาโดยเร็ว นอกจากนี้ควรดูแลผิวหนังให้ชุ่มชื้นอยู่เสมอ ด้วยการหลีกเลี่ยงการอาบน้ำอุ่น เลือกใช้สบู่ที่มีค่า pH 5-7 หลีกเลี่ยงสบู่ที่มีน้ำหอม และทาครีม โลชั่นหรือน้ำมันให้ความชุ่มชื้นแก่ผิว หลังอาบน้ำทันที ซึ่งโดยทั่วไปแนะนำให้ทาครีมหลังอาบน้ำภายใน 3 นาที ไม่ใช่โรคติดต่อ การมีความรู้ความเข้าใจ รวมถึงการดูแลสุขภาพที่ถูกต้องของผู้ป่วย และบุคคลข้างเคียง จะสามารถควบคุมโรคได้ และทำให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
ขอบคุณข้อมูลจาก พญ.เปรมจิต ไวยาวัจมัย หน่วยโรคผิวหนัง ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล
|
บทความทั้งหมด
|