พี่พลอยเคยเล่าให้ฟังว่า จริงๆแล้วหนูเป็นทายาทร้อยล้าน(หนี้สิน) ที่หายตัวไปตั้งแต่แรกเกิดค่ะ โดยมีสัญลักษณ์เป็นปานดำที่หน้าครึ่งหน้าอันโดดเด่นเห็นได้ไกลนับพันลี้…พี่พลอยจะเล่าแบบนี้ช่วงที่ติดละครจีน
จากนั้นเมื่อหนูอายุได้สองเดือนครึ่ง ก็ถึงวาระที่ครอบครัวที่แท้จริงได้ตามหาหนูจนเจอเข้าจนได้ที่วัดแห่งหนึ่ง จากความทรงจำอันรางเลือนของหนูในวัยเด็ก โชคดีที่หนูยังพอจะคุ้นๆว่าตัวเองมีชื่อว่า “ผักชี” พอเขาทดลองเรียกชื่อถึง 3 หน หนูก็เป็นตัวเดียวที่เดินกระดิกหางรีบเดินไปหาเสมอ หนูจึงได้ถูกพากลับมายังคฤหาสถ์หลังงามอันเล็กกระจิดริด
จากนั้นกระบวนการ เมก โอเวอร์ จากลูกหมาสู่การเป็นเจ้าหญิงของบ้านก็ได้เริ่มต้น
เริ่มจากการพาไปเจอคุณหมอที่จิ้มเข็มเจาะเลือด รักษาโรค กำจัดเห็บหมัด รักษาขาหนูที่เจ็บปวดร้องระงมเดินไม่ได้ ให้กลับมาวิ่งเป็นลมกรด จากนั้นพี่พลอยก็หันซ้ายหันขวา แล้วเริ่มบอกหนูว่า…บ้านเรานี่หนาวเนาะผักชี
ฮื่อ มันเป็นแบบนั้นแหละค่ะที่มา
เพราะพี่พลอยเป็นพวกขี้หนาวและไม่ว่าเวลาไหนๆหนูก็ต้องอยู่ในสภาวะอากาศเดียวกัน เราตัวติดกันเกือบตลอด 24 ชม. ก็ว่าได้ กว่าจะรู้ตัวอีกครั้งหนูก็ค่อยๆโตขึ้นจนกลายเป็น “น้องหมาหนาวเหน็บ” เป็นผักชีที่ไม่ถูกกับห้องแอร์และที่เย็นๆมีลมโกรก
พี่พลอยเริ่มทำถ้ำเล็กให้ และเรียกมันว่า “บ้านน้อย”
อ้วนอ๋องกลายเป็นแรงงานที่ถูกเกณฑ์มาให้สร้างบ้านหลังนี้ในยามค่ำมืดของวันหนึ่ง โดยไม่คิดเลยว่านับจากนั้น หมาตัวเองจะหมกตัวในบ้านจิ๋วนี่อย่างสุขใจเพื่อหลีกหนีความหนาวเย็น
เมื่อหนูยังเด็กมาก ในฤดูหนาวที่อากาศเย็นยะเยือกกว่าปกติ เวลาห่มผ้าให้ หนูต้องพยายามระวัง ลุกเดินขยับเปลี่ยนท่านอน แบบไม่ให้ผ้าห่มหลุดไปในยามดึกดื่นเสมอ แม้แต่ในเวลากลางวันหนูก็เดินเป็นหมาน้อยมุงหลังคาตลอดเวลาเท่าที่ทำได้ พี่พลอยตื่นมาดูแล้วก็พบว่าหนูตัวหนาวสั่นเวลาไม่มีผ้า จึงเป็นที่มาของการเริ่มตัดเสื้อให้หนูใส่นอน ลามไปยันตัดให้ใส่เล่นเพื่อจะได้จับเปลี่ยนได้ง่ายเวลาเลอะเทอะก่อนเข้าบ้าน
จากนั้นมาหนูจึงค้นพบว่า เสื้อเป็นไอเท็มวิเศษค่ะ
เสื้อจะป้องกันเราจากลมที่พัดซู่ๆมาใส่ขน ทำเอาขนลุกเกรียว ซึ่งหนูไม่ชอบเลย สมัยเด็กหนูทุรนทุรายมากเวลาโดนลมเป่าตัวถึงขั้นวิ่งร้องงี้ดๆเอาตัวถูพื้นไปมา
เสื้อยังช่วยให้เราไม่ต้องอาบน้ำ…
ถ้าโดนถอดเสื้อ นั่นคือจุดจบค่ะ
หนูไม่ชอบอาบน้ำเลย การใส่เสื้อไว้ตลอดเวลาจึงทำให้หนูอุ่นใจกว่า
วันหนึ่ง พี่พลอยนั่งมองหนูแล้วก็ชี้ไปที่รถยนต์แล้วบอกว่า ชีๆนั่นรถฟักทองล่ะ…
หนูไม่ค่อยเข้าใจนักว่าหมายถึงอะไร แต่ที่แน่ๆเมื่อไหร่ที่มีคนในบ้านพูดขึ้นว่า ป่ะ ขึ้นรถ ไปเที่ยว!!!
นั่นหมายถึงความสนุกของหนูกำลังจะเริ่มต้นขึ้นเสมอ หนูจะได้นั่งรถฟักทองไปที่ไกลๆนอกบ้าน นานๆครั้งในถนนที่ไม่ค่อยมีคนหรือพาหนะอื่นสัญจร อ้วนอ๋องจะขับรถฟักทองช้าๆพอกับเวลาเราวิ่งเหยาะๆ แล้วให้หนูโผล่หน้าออกนอกหน้าต่างเพื่อโต้ลมและดื่มด่ำกับกลิ่นไอแปลกๆของทุ่งนาป่าเขา
บางครั้งเราพากันเดินทางขึ้นรถฟักทองข้ามวันข้ามคืน ไปไกล เหมือนจะไปได้ถึงสุดขอบฟ้า
เราทั้งครอบครัวนั่งฟังเพลง คุยกัน หัวเราะเฮฮา หนูจะวิ่งกลับไปมาดูฝั่งซ้ายและขวา จองเบาะแถวสองตัวเดียว พลางร้องงี้ดๆๆ ตื่นเต้นอยู่ตลอดเวลาเมื่อพบเจอสิ่งใหม่ๆ หนูชอบให้คนคุยด้วยเวลาอยู่ในรถ แล้วหนูก็จะหยุด เอียงคอรอฟัง
เมื่อไหร่ที่อ้วนอ๋องขับพาหลงทางไปยังถนนที่เราไม่เคยมา หนูจะรู้ทุกครั้งแล้วรีบร้องบอกด้วยความตกใจ แต่ส่วนใหญ่เขามักจะบอกมาว่าเราไปเที่ยวที่ใหม่กันไง หนูก็เลยพอเบาใจหยุดร้องเตือนลงได้บ้าง หนูอาจจะมีความสามารถพิเศษในเรื่องการจดจำเส้นทาง
รถฟักทองจะจอดเป็นครั้งคราวเพื่อให้หนูลงไปวิ่งยืดเส้นยืดสาย หรือไปฉี่
พอเหนื่อยมากเข้า หนูกับพี่พลอยก็จะพากันหลับไป และรอให้อ้วนอ๋องปลุกเรียกเมื่อถึงจุดหมายปลายทาง
แต่เราไม่ได้ไปไกลๆบ่อยนักหรอกค่ะ พี่พลอยบอกว่าอ้วนอ๋องต้องทำงานหนักเลยไม่ค่อยจะว่าง
บางทีทั้งปีหนูก็แทบไม่ได้ไปเที่ยวไกลๆเลยเหมือนกัน
แต่พี่พลอยมักพูดว่าความสุขของผักชีไม่ได้ขึ้นอยู่กับระยะทาง ดังนั้นในเวลาว่างเล็กๆที่พอมีในแต่ละเดือน ไม่ว่าจะเหนื่อยจากทำงานแค่ไหน อ้วนอ๋องจึงไม่เคยเกี่ยงที่จะอุ้มหนูขึ้นรถขับวนละแวกบ้านแป๊บนึงก่อนจะพาหนูกลับมา
หมาตัวอื่นๆเขาก็เป็นแบบนี้กันใช่ไหมคะ?
หนูหวังว่าหมาทุกตัวบนโลกใบนี้จะได้เป็นเจ้าหญิงหรือเจ้าชายของบ้านใครที่อบอุ่นสักบ้าน
หนูอยากให้วันหนึ่ง บรรดาพี่หมาหรือน้องหมาที่หนูอาจจะเคยเจอตามข้างทาง เป็นทายาทอันหายสาบสูญไป ที่ได้กลับสู่ปราสาทหลังงาม แล้วเจอใครสักคนมาตามหา
จนได้พบกับความรักที่หายไป…
รักนะ
ผักชี.