เกาหลีที่เสันรุ้ง °38 เหนือ
สวัสดีกันอีกครั้งค่ะ หลังจากไปตอดนิดตอดหน่อยกับกระทู้และ blog ชาวบ้านเค้า ขอเกาะกระแสเกาหลีฟีเวอร์กับเค้าด้วยหล่ะกัน
ต่อเนื่องมาจากช่วงที่ทำงานหนักหัวฟู ใจอยากพักแล้วก็อยากหนีร้อนไปพึ่งเย็น คิดๆ ดูว่าจะไปไหนดีน๊า ก็ โซลหล่ะกัน ไม่ไกลมาก อีกอย่างมีเพื่อนคนเกาหลีตั้งแต่เคยไปเรียน summer school ที่ออสเตรียสมัยคุณป้ายังสาวด้วยกัน แล้วก็ชวนขาช๊อป Yuka san เพื่อนญี่ปุ่นมาจอยด้วย คนญี่ปุ่นไม่ต้องพูดถึง โตเกียว-โซล อารมณ์ประมาณ กรุงเทพ - เชียงใหม่

ตอนแรกว่าจะพักที่ Babana ทีกรุ๊ฟ น้องที่น่ารักในLSQ แนะนำไว้ แต่มันเต็ม สุดท้ายเลยได้ที่ YMCA แต่ Yuka จะบินมาเย็นวันศุกร์ Jean เพื่อนคนเกาหลีเป็นห่วง ไม่อยากให้เราอยู่ guest house คนเดียว เลยให้มานอนที่บ้าน 2 คืนแรกก่อน เลยได้สัมผัสชีวิต home stay แบบโคเรียน
ด้วยความที่ยุ่งมากก่อนเดินทาง มีเวลาแค่วันอาทิตย์วันเดียว นั่งๆ อ่านมาทำอะไร เที่ยวไหนได้บ้าง คืนวันจันทร์เดินทาง ก็ ปริ๊นท์ๆ ทุกอย่าง ตั้งใจจะไปอ่านบนเครื่องหล่ะกัน แล้วJean เพื่อนที่น่ารักมาก บอกรายละเอียดแบบสุดๆ ว่า พอลงเครื่องให้นั่งรถอะไร แล้วต่อแท๊กซี่ ไปบ้านเค้านะ เขียนเป็นภาษาเกาหลีไว้ให้หน้านึงเผื่อแท็กซ ี่ เอาหล่ะ ออกเดินทางกันได้ยังคะ

ตม. ก็ โอเคนะ ไม่มีปัญหาอะไร ก็ไม่เห็นถามอะไรซักคำ ยื่นพาสปอร์ตให้ก็ แตมป์เลย หรือยังเช้าอยู่มาก อ้อ เราบิน TG ถึงตั้งแต่ หกโมงกว่าๆ กว่าจะถึงบ้านเพื่อนก็ประมาณ 8 โมงครึ่ง ที่นี้ Jean ต้องไปทำงานก่อน 9 โมงโอ๊ะเลยแค่วางกระเป๋า ล้างหน้าล้างตา ออกมาด้วย นึกไม่ออก ไปไหนดี ตั้งหลักที่ Insadong หล่ะกัน จากบ้านเพื่อน นั่งรถใต้ดิน สายสีส้มประมาณ 20 นาที ก็มาโผล่ กลางเมือง อากาศเย็น ชอบมาก ประมาณ 5 องศา ขอสูดหายใจเข้าเต็ม ปอด งั้นต้องตั้งหลัก ด้วยการหากาแฟกิน ที่ตั้งใจสำหรับทริปนี้คือ slow life -slow food -slow trip อยากเที่ยวแบบสบายๆ เลยไม่กะเกณท์อะไรมาก เจอร้านกาแฟถูกใจ มองจากข้างนอกถนน ขอเข้าไปนั่ง
ชิวๆ ก่อนนะจ๊ะ



พอออกมาเดินเล่นที่ ถนน อินซาดองก็จะบอกว่าชอบมากๆๆ เป็นถนนที่ยังรักษาความเก่าแต่สามารถแฝงตัวอยู่ในท่ามกลางความเ จริญได้ดี หลักๆ จะมี art Gallery ดีๆ เยอะมาก แล้วก็ของพวกที่ระลึกนักท่องเที่ยว ร้านอาหารเกาหลี ถนนอินซาดอง เป็นถนนที่มีชีวิตหรือแทบจะเป็นจิตวิญญาณของเกาหลีเลยทีเดียว



สังเกตของที่ขายบนถนนนี้อีกอย่าง คือ กระดาษสาหรือพวกพู่กัน พวกอุปกรณ์เครื่องเขียน มีอีกตึกนึงที่ชอบมากชื่อ Ssamziegil เป็นตึก 3 ชั้น แล้วก็รวมงานพวก young designers อดทึ่งไม่ได้ว่าเค้าให้ความสำคัญกับรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ มาก แม้แต่ ร้านขายของแผงเล็ก ๆ Ssamziegil เป็นที่ๆ เราชอบและมีความสุขมากที่ได้มาโต๋เต๋แถวนี้ ถือว่าเป็นความขัดแย้งแต่ร่วมสมัยในอินซาดองจริงๆ



เราใช้เวลาที่นี่หลายชั่วโมงมาก หลังากนั้นก็เดินไปเรื่อยๆ จนถึง Myeong-Dong หรือสยามสแควร์บ้านเรานี่เอง ที่นี่ต้องยอมรับจริงๆ ว่า การจัด ตกแต่ง สินค้าหน้าร้าน(window display) ทำได้ดีมากๆ อย่างไม่น่าเชื่อ หกโมงเย็นแล้ว จะกลับบ้านJean แล้ว มีนัดกินข้าวเย็นทีบ้าน วันนี้นอนเร็ว เหมือนหมดแรง ไม่ได้เดินเยอะมากๆ มานาน

วันนี้วันที่สอง ตั้งใจว่าจะนั่งรถไฟใต้ดินไปเดินเที่ยวที่เมือง Suwan เป็นเมืองย่านชานเมือง แม่Jean เรียกให้มากินอาหารเช้า เพราะบอกว่าเดี๋ยวต้องไปผจญภัย เห็นแม่เตรียมอาหารเช้าแล้วตะลึง ขอบคุณมากๆ อีกครั้งค่ะ



เอาหลังท้องอิ่ม ทั้งข้าว ขนมปัง หลากหลายขนาน เราก็เดินออกจากบ้าน ขึ้นรถไปใต้ดิน ต้องบอกว่าที่นี่สะดวกและชัดเจนมาก ไม่ต้องพูดภาษาเกาหลีเป็นก็ไม่หลงทาง
ที่เมืองซูวอน สถานที่ๆน่าสนใจคือ Korean Folk Village & World Cultural Heritage Hwaseong Fortress
ต้องบอกอีกอย่างว่าประทับใจเว็บไซต์การท่องเที่ยวของเกาหลีมาก เพราะ บอกละเอียดว่า ถ้าออกจากสถานีรถไฟแล้วให้ออกที่ทางออกเท่าไหร่ เดินไป กี่นาที ถึง จะเจอ อะไร ในที่สุดเราก็มาถึง Korean Folk Village ที่นี่ก็เป็นที่ๆ โชว์บ้านเรือนสมัยเก่าๆ ของ คนเกาหลี ตั้งแต่ บ้านสามัญชน พวกนักวิชาการ เจ้าขุนมูลนาย



ที่นี่กว้างมากเหมือนกัน เป็นแบบ outdoor museum เดินเล่นสบายๆ



หลักๆ ทีนี่อยากจะบอกเร่องราวของคนเกาหลีตั้งแต่สมัย ราชวงศ์ Joseon ว่าอยู่กันยังไง ถ้าเดินแบบละเอียดใช้เวลา 3-4 ชม.ได้ค่ะ



ที่สำคัญ มีที่เรียกว่า ตลาดให้ดูชม แล้ว ก็ขาย อาหาร เครื่องดื่ม ของที่ระลึกกันจริงๆ เป็นเหมือนที่นั่งพักประมาณนั้นค่ะ



วันนี้อากาศดีมากค่ะ แดดสวย ฟ้าใส ซากุระบานแล้วนิดหน่อย


ใครเป็นแฟนหนังเกาหลี ที่นี่ต้องคุ้นเคยกันแน่ๆ เพราะ ถ้าเป็นหนังแนวจักรๆ วงศ์ๆ เค้าจะใช้ที่นี่เป็นสถานที่ถ่ายหนัง โอ๊ะเป็นพวกเชยมาก ไม่เคยดูหนังเกาหลีซักเรื่องเลยไม่อิน เหมือน แม่หมูของกรุ๊ฟ แซวม่ามี๋



แถมรูปบ้านพวก เจ้าขุนมูลนาย หน่อยนึง


แวะกินชาอุ่นๆ กับขนมนิดหน่อย ตอนนี้บ่ายกว่า ๆ แล้วจุดหมายปลายทางข้างหน้าคือ World Cultural Heritage Hwaseong Fortress นั่งรถกลับมาสถานีรถไฟ แล้วต่อรถเมล์อีกประมาณ 15 นาทีก็ถึง



ป้อมนี้มีความเป็นมา คือ สร้างขึ้นโดยกษัตริย์องค์ที่ 22 ของราชวงศ์โชซอนนี่แหละ เพื่อเป็นเกียรติให้แก่พ่อที่เสียไป และ ป้อมนี้จะใช้เสริมความแข็งแกร่งให้ราชวงศ์ได้ดีมากระยะทางทั้งห มดประมาณ 6 กิโลเมตร ไม่รู้ว่าตัวเองตกกระไดพลอยโจนไปได้ยังไง เดินขึ้นไปยิ่งกว่าไปเดินกำแพงเมืองจีนครั้งทีแล้ว ชันมาก หรือเราเริ่มแก่หว่า



ดอกไม้สวยๆ


ออกจากที่นั่น มาเดินเล่นต่อในเมือง เกือบทุ่ม แล้วต้องกลับไปกินข้าวเย็นที่บ้าน แม่ Jean ตลกดี วันนี้ต้องอยู่กับแม่สองคน เพราะคนอื่นๆ กลับบ้านดึก โชคดีแม่พูกภาษาอังกฤษได้ดีมาก เพราะเป็น เภสัชกร และเคยอยู่อเมริกา พอกลับถึงบ้าน แม่บอกว่า ไปล้างมือแล้วมากินข้าว ขำมาก แม่บ้านไหนก็เหมือนกันหมดเลย แล้วแม่กลัวว่าเราจะกินอาหารไม่ได้ เลยทำทั้ง เนื้อ หมู ไก่ วันนี้อาหารชุดใหญ่อีกแล้ว เสร็จแล้วแม่นั่งชวนดูหนังเกาหลี ประมาณว่าถึงไม่เข้าใจภาษาเกาหลีก็ดูรู้เรื่องมาแนว พระเอกรวย นางเอกจน แล้วแม่พระเอกไม่ชอบนางเอก คุ้นๆ กันหรือเปล่าจ๊ะ



จริงๆ ถ้ามีจังหวะและโอกาสโอ๊ะชอบการเดินทางคนเดียวบ้างเป็นครั้งคราว หรือเราเป็นคนที่มีโลกส่วนตัวสูงประมาณนึง เพราะการเดินทางสอนให้เราเรียนรู้ในการอยู่ร่วมกับความว่างเปล่า สอนให้เราคิดอะไรใหม่ๆ เป็นการกระตุ้นสมองให้รู้จักการแก้ปัญหา เป็นการพลิกแพลงมุมมองไม่ให้ติดอยู่ที่การมองแบบกรอบเดิมๆ อีกอย่างเราก็เดินทางมาประมาณนึง ก็ต้องเข้าใจว่า ถ้าช่วงแรกๆ ใครๆ ก็อยากเห็นเมืองใหญ่ๆ เช่น ปารีส นิวยอร์ค โตเกียว พอได้มีโอกาสไปบ่อยๆ ที่เดิมๆ มันก็ไม่ตื่นเต้นแล้ว ตอนนี้ก็อยากไปที่ต้องไปยากๆ แต่ไม่เร่งรีบมาก เช่น แชงกรีลา ภูฏาณ มองโกลเลีย คิวบา อยากนั่งรถไฟเส้นทางสายไหม ขึ้นที่มอสโคว และจบที่ปักกิ่ง ตั้งใจไว้ว่าชีวิตนี้ต้องทำให้ได้ ส่วนเมืองที่ไปง่ายๆ เช่น โซล โตเกียว ซูริค เวียนนา อาศัย จังหวะทำงาน ก็ เนียนๆ ไปด้วย หรือเจอโปรโมชั่นตั๋วดีๆ

พร่ำพรรณนามาตั้งนาน กลับมาเที่ยวโซลต่อกันดีกว่า เข้าวันที่สามแหละ วันนี้จริงๆ ต้องไปเช็ค อินที่ YMCA ตอนเที่ยง ๆ แล้วYuka บินมาจากโตเกียวประมาณ 3 ทุ่มครึ่ง มาเจอกันที่พัก ก่อนเข้านอนเมื่อคืน คุยกับแม่ของ Jean แล้วบอกแม่ว่า ไปเดินแถวอินซาดอง แต่ไม่เห็นของที่ระลึกอะไรน่าสนใจ เหมือนของมาจากเมืองจีนซะเป็นส่วนใหญ่ เลยบอกแม่ว่าอยากไปเดิน ซุปเปอร์มาเก็ต ดูว่าคนที่นี่ซื้ออะไร กินอะไร

เช้าวันที่สาม โอ๊ะเลยเริ่มวันด้วยการติดรถJean ไปซุปเปอร์มาร์เก็ตที่ใหญ่มาก ใกล้ที่ทำงานเค้า ชื่อ E -markt เป็นแนว เทสโก้บ้านเรา เดินแล้วมีความสุขมาก ซื้อขนม ซื้อชาโสมไว้ไปฝากผู้ใหญ่ มาม่า ไป ฝากหลานพอสายๆ แม่ของ Jean มารับแตะมือต่อไปส่งที่สถานีใกล้ที่ทำงานแม่ เพราะเค้าต้องไปทำงาน ในที่สุดก็มาถึง YMCA วึ่งเดิน 5 นาทีก็ถึงถนน อินซาดอง วันนี้อากาศไม่ดีมาก ฝนตกไปแล้วเมือ่เช้า และยังดูมืดๆ อยู่ ต้องขอบคุณกระเป๋าโดเรมอนของเรา ที่มีร่มพับไว้ติดตัวเสมอ พอเช็คอิน เสร็จ ก็เลยจะเดินไปเยี่ยมชม พระราชวังกันดีกว่า จากประวัติศาตร์ที่ว่าเกาหลีเองเคยมีการปกครองแบบราชวงศ์เหมือน กัน โดย ราชวงศ์โชซอนเป็นราชวงศ์สุดท้าย ได้สิ้นสุดลงปี 1910 โดยถูกรุกรานจากกองทัพญี่ปุ่น และ ตกเป็นอาณานิคมของญี่ป่นประมาณ 35 ปี ฉะนั้นที่โซลจะมีพระราชวังหลักๆ อยู่ 5 แห่ง เราไปเริ่มอันที่สวยที่สุดก่อนจ้า พระราชวังแห่งนี้มีชื่อว่า "พระราชวังเคียงบุกคุง"



ในบริเวณพระราชวังก็เป็นที่ตั้งของพิพิธภัณท์แห่งชาติเกาหลีและ พิพิธภัณท์พื้นบ้านแห่งชาติ แล้วก็มีสวนสวยๆ ให้เดินเล่นครื้มอกครื้มใจ แต่กว่าโอ๊ะจะเดินไปถึงพระราชวังใช้เวลานานโข เพราะ มัวแต่แวะข้างทาง เดินไปเรื่อยๆ ซอยเล็กซอยน้อย มีร้านเก๋ๆ เต็มไปหมด



โอ๊ะใช้เวลาในพระราชวังนานมากเหมือนกัน แล้วก็มีกรุ๊ปทัวร์คนไทยอยู่หลายกลุ่ม ได้ยินเสียงไกด์ เราก็เดินใกล้ๆ ฟังเค้าบรรยายด้วย ได้ความรู้ฟรีแบบไม่ต้องเสียตังค์ อันนี้ทำบ่อย เวลาไปวัดพระแก้วกับเพื่อนฝรั่ง แล้วอธิบายไม่ได้ จะบอกเพื่อนๆ ว่าไปยืนใกล้ๆ ไกด์ไว้เพราะความรู้แน่นปึก อิชั้นแค่พามา เดินมานาน เมื่อยหละขอไปแวะร้านกาแฟอีกแล้ว เหมือนเสพกลิ่นกาแฟ และที่ชอบมากคือการดูผู้คน


เปลี่ยนบรรยากาศมาคุยกันเรื่องอาหารการกินกันดีกว่าค่ะ ถ้าไม่ได้ชิมกิมจิก็เหมือนมาไม่ถึงเกาหลีใช่มั๊ยคะ อาหารจานดังๆ หลักๆ ที่เรารู้จักกันดี คงเป็น คาลบิ กับพุลโกกิ บิบิมบับ เน็งเมียน ซัมเกทัง(ซุปไก่ต้มโสม) คนเกาหลีเองก็นิยมกินข้าว ซุป และเครื่องเคียงอีกสาม สี่ อย่าง ถ้ามีโอกาสอยากไปดูพิพิธภัณท์กิมจิเหมือนกัน เอาไว้คราวหน้าดีกว่า ถ้าเก็บรายละเอียดทุกๆ อย่างหมด จะหาเหตุผลมาอีกไม่ได้


วันนี้ก็ยังเดินเที่ยวเล่นต่อไป จริงๆ โอ๊ะชอบบ้านเมืองโซลเหมือนกัน ถนนหนทางสะอาดสอ้าน ลักษณะผังเมืองก็คล้ายๆ ญี่ปุ่น คิดว่าช่วงที่ตกเป็นเมืองขึ้นของญี่ปุ่น พี่ยุ่นได้ทำโครงสร้างบ้านเมืองไว้ คือๆ กัน
เดินไปเรื่อยๆ ถึง คลองชองเกชอน คลองนี้เป็นคลองหนึ่งใจกลางกรุงโซล ถือว่าเป็นหน้าเป็นตาให้เกาหลีได้นะ เค้าว่าเมื่อก่อนก็เป็นคลองเน่าๆ เนี่ยแหละ รัฐบาลได้ปรับปรุงจนน้ำใสสะอาด กลายเป็นแหล่งพักผ่อนกลางกรุงไป


ไก่งามเพราะขน คนงามเพราะแต่ง ว่าไปแล้ว ต้องยอมรับว่าสาวเกาหลีถ้าเดินมาสัก 10 คน 7 ใน 10 หน้าตาถือว่าใช้ได้เลย คิดว่าสวยกว่าสาวญี่ปุ่นนะ แต่ไม่แน่ใจว่า สวยตามธรรมชาติ หรือ เพราะพ่อหมอ

คืนนี้ตั้งใจว่าพอYuka มาถึงจะไปดู Seoul by night แล้ววันที่สี่ก็หมดไป กับ การ ชอปปิ้ง ต้องยอมรับว่า เกาหลีก็ไม่เป็นรองใครเหมือนกัน ที่นี่มืทุกอย่าง แล้วสามารถ ไปซื้อได้ตั้งแต่เช้ายันเช้า ไหนจะ เมียงดง อินซาดอง ทงแดมุน นัมแดมุน แต่เราก็ไม่ได้ชอปมากมาย พอเป็นน้ำจิ้ม ขากลับกระเป๋ายังเหลือที่ตั้งอีก 10 กิโลว่างๆ



ก่อนจบวันที่สี่ หลังจากไปชอปปิ้ง นัดเจอ Jean ตอนทุ่มนึง เค้าพาไปดูคอนเสิร์ต boy band ชอบๆ ป้าๆ นั่งหน้าเวที หลังจากจบคอนเสริ์ต ไปหาอร่อยกินต่อ เจ็บคอ กรี๊ดมากไปหน่อย


วันนี้โอ๊ะนำเที่ยวเข้าวันที่ห้าแล้วนะคะ จริงๆ สำหรับตัวเอง เที่ยววันนี้เป็นไฮไลท์ของทริปทั้งทริปเลยค่ะ วันนี้เราจะพาไปเที่ยวที่ DMZ ( Demilitarized Zone) เขตปลอดทหาร เป็นสัญลักษณ์ของทั้งสงครามและสันติภาพ อย่างที่รู้กันว่า สงครามเกาหลีเกิดมากว่า 50 ปี ภายหลังสงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดลงปี 1945 กองทัพญี่ปุ่นแพ้สงคราม และต้องปลดปล่อยประเทศที่ตัวเองเอาไว้เป็นอาณานิคม ตามมติของ UN เกาหลีต้องแบ่งออกเป็นสองประเทศ โดยเกาหลีเหนือมีการปกครองแบบคอมมิวนิสต์ ส่วนเกาหลีใต้มีการปกครองแบบประชาธิปไตย ในปี 1950 เกาหลีเหนือได้บุกเกาหลีใต้ ถ้าใครจำได้จะคงได้ยินประโยคที่นายพลแม็คอาเธอร์ พูดเอาไว้ว่า " I will be back " จนกลายเป็นประโยคที่ Arnold เอามาพูดในหนังยอดฮิต Terminator คุ้นๆ ยังคะ จนกระทั่งปี 1953 สองประเทศก็ได้เซ็นสัญญาสงบศึก

เกาหลีใต้เองก็พยายามอย่างมากในการฟื้นฟูประเทศ จากประเทศที่ไม่มีอะไรเลยหลังสงคราม จนกระทั่ง ปัจจุบันเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว เรากลับมาว่าด้วยเรื่อง DMZ ( Demilitarized Zone) กันต่อค่ะ วันนี้โอะต้องซื้อทัวร์ไปแบบเช้าเย็นกลับ เราไม่สามารถเที่ยวเองได้ เพราะเป็นเขตทหาร ศึกษาข้อมูลกับหลายบริษัทก็เลือกได้ที่ทัวร์นี้ มี 2 โปรแกรมคือเต็มวัน กับครึ่งวัน ต่างกันตรงที่ทัวร์เต็มวันได้เข้าไปในเขตเกาหลีเหนือนิดนึง ทัวร์ครึ่งวันอยู่ที่ชายแดน เสียดายทัวร์เต็มวันเต็มแล้วตั้งแต่ 2 อาทิตย์ที่แล้ว และถึงมีที่ว่าง ก็ไปไม่ได้อยู่ดีเพราะเราถือพาสปอร์ตไทย เค้าต้องใช้เวลาเช็ค อย่างน้อง 4 วัน วันก็ไม่เป็นไร เป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่จะมาเกาหลีอีกคราวหน้า
บริษัททัวร์มารับที่ YMCA แล้วไปรวมกับคนอื่น ก็ไม่ถึงกับกลุ่มใหญ่มาก อดฮัมเพลง เพิลร์ฮาเบอร์ไม่ได้ จากโซลไปจนถึงแนวชายขอบเกาหลีใต้ เป็นบนถนนลาดยางอย่างดี ช่วงที่มีการฟื้นฟูประเทศ ประชาชนโโจมตีเหมือนกันว่า ทำไมรัฐบาลถึงมาใช้เงิน ฟุ่มเฟือยกับการสร้างถนนหนทาง แต่เวลาผ่านไป คิดว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกนะ ฉันว่า


กว่าจะผ่านไปถึงชายขอบของเกาหลีใต้ได้ต้องผ่านด่านตรวจนับไม่ถ้ วน ห้ามถ่ายรูปจากบนรถ ทหารที่นี่มีหลากหลายเชื้อชาติ ทั้ง เกาหลีเอง อเมริกัน ยุโรป ทั้งหน้าตาละอ่อน กับวัยกลางคน คงต่างกันที่ความอาวุโส เอาหล่ะค่ะ เค้ามีการทำเวลาด้วยว่า ทั้งหมดเนี่ย ต้องใช้เวลาไม่เกิน 2 ชม. 15 นาที จะยืนถ่ายรูปนานๆ ไม่ได้ จุดที่เค้าพาไปดูก็มี อิมจินกัก เป็นสวนที่เหมือนเป็นที่ระลึกให้เห็นถึงความโหดร้ายของสงคราม ต่อไปแวะที่อุโมงค์หมายเล็ก 3 อุโมงค์นี้ขุดในปี 1978 เกาหลีเหนือเป็นคนแอบขุด ยาวประมาณ 1600 เมตร เกาหลีใต้เจอโดยบังเอิญ เค้าให้นักท่องเที่ยวลงไปได้แค่ประมาณ 700 เมตร เป็นทางชันมาก โชคดีค่อนข้างฟิตเนื่องจากไปเดินที่ป้อมเมือง ซูวอนวันก่อน แต่ก็หอบแฮกๆ เหมือนกัน จุดต่อไปเป็นหอสังเกตการณ์โดรา จะมีกล้องส่องทางไกลมองเห็นเมืองในฝั่งเกาหลีเหนือ เค้าบอกว่าถ้าวันไหน อากาศดีๆ อาจมองเห็นรูปปั้นของ คิม จอง อิล ได้ จากกล้องนี้จะเห็นได้ชัดคือ ธงชาติของเกาหลีเหนือ และจุดสุดท้าย คือ สถานีรถไฟ ที่ เกาหลีใต้ช่วยกันบริจาคเงินสร้างขึ้นมา เพราะอยากไว้ใช้วิ่งไปเกาหลีเหนือ โดยมีเพื่อนเรา แฮะ ๆ Bush มาเปิดสถานี จริงๆ ช่วงClinton เป็นประธานาธิบดี ได้มีนโยบาย สนับสนุนร่วมกับ เกาหลีใต้ที่ชื่อ sunshine policy ให้ คนสองประเทศที่เป็นพี่น้องกัน ได้มาเจอกัน ที่เค้าเรียกว่า reunification ถ้าใครเคยดูๆ ข่าว อาจจำกันได้ว่า คนที่เค้าเป็นญาติกัน แต่เค้าเจอกันไม่ได้ เค้ามากอดกัน ร้องไห้ ดีใจขนาดไหน เค้าถูกแยกจากกัน ไม่ใช่เพราะเค้าเลือกเอง ว่าไปแล้วก็เศร้า ฉันอินมาก

มีอีก 2 เรื่องที่เราอินอย่างมาก และเป็นที่มาของเรื่องละติจูดที่ 38 หรือเพราะว่าเราทำงานสายนี้มั๊ง Please.peace(ไม่ได้โมษณาแฝง) มีคำสองคำ ที่เราว่า เห็นเป็นรูปธรรมอย่างชัดเจน คือ โฆษณาชวนเชื่อ (propaganda) กับ ข้อมูลข่าวสาร(information) ด้วยทั้งสองเกาหลีอยากให้ฝั่งตรงข้ามคิดว่าตัวเองดีกว่า เจ๋งกว่า ก็เลยจะพยายามทำให้เมืองชายแดนตัวเองเจริญกว่าเมืองใดๆ ตอนแรกเราก็จินตนาการนะว่า ภาพจากกล้องที่เราเห็นควรจะดูโทรมๆ แต่เปล่าเลย ดูเจริญออกจะตาย แต่ใครๆ ก็รู้ว่าเกาหลีเหนืออยู่ในภาวะขาดแคลนอาหารขนาดไหน แต่ตัวเองกับมีอาวุธสงคราม นิวเคลียร์ ส่วนเกาหลีใต้ก็ใช่ย่อย สร้างโบสถ์ไว้ใกล้แถวนั้น เพื่อให้เกาหลีเหนือสามารถมองจากกล้องมาว่า ฉันดีกว่าเธอนะ อย่างน้อยฉันก็มีเสรีภาพในการเลือก เช่นศาสนา



ถ้ามาพูดถึงบทบาทของประเทศเบิ้มๆ ใกล้ๆ เกาหลี คงหนีไม่พ้น ญี่ปุ่น จีน โซเวียต แต่ญี่ปุ่นเองก็ไม่ได้ทำอะไรได้มาก เพราะจากที่ตัวเองไปยึดเค้าไว้ 35 ปี ลึกๆ คนเกาหลีไม่ชอบญี่ปุ่นนักหรอก เพราะญี่ป่นใช้นโยบายกลืนชาติ บังคับให้คนเกาหลี พูด อ่าน เขียน ภาษาญี่ปุ่นให้ได้ อย่างว่าอะไรที่ไปบังคับให้ทำด้วยความไม่สมัครใจ มักมีผลเสียมากกว่าผลดี ญี่ปุ่นควรจะนึกถึงเกาหลีตอนนี้ว่า ดูนโยบายส่งออกทางวัฒนธรรมของเกาหลีในปัจจุบันสิ ประสบความสำเร็จขนาดไหน ทั้ง หนัง อาหาร ดนตรี แม้แต่น้องนิชคุณ ของผิง อัน อัน ด้วย อันนี้เค้าเรียกว่า soft power จ้า อำนาจที่ใช้โดยไม่ต้องบังคับขืนใจ(consent)
เราต้องใช้ภาษาอังกฤษประกอบนะ เพราะเรากลัวเราใช้คำไทยผิด

มาต่ออีกเรื่องที่เราอินมากจากทริปนี้ คงเป็นเรื่องของมือที่สามอย่างเรา(third party) อิ อิ ก็งานที่เราทำเนี่ย พวกหลัก ๆ ก็จะต้องไปไกล่เกลี่ยคู่กรณี หรือ ที่ๆ เค้ามีความขัดแย้ง ในส่วนของ เกาหลี เราพยายามจัดให้มี 6 talks โดยมี เกาหลีเหนือ เกาหลีใต้ อเมริกา จีน ญี่ปุ่น โซเวียต แต่ก็ไม่ค่อยประสพความสำเร็จ

จุดที่เราว่าเราไม่เคยรู้มาก่อน คือว่า เราพวกคนนอกชอบคิดว่า เออ เค้าควรจะช่วยให้เค้ารวมประเทศนะ แต่จริงๆ เราไม่เคยถามคนเกาหลีใต้ว่า เค้าอยากหรือเปล่า ถ้าถามคนเกาหลีรุ่นเก่าๆ เค้าก็ต้องบอกว่าอยาก แต่ถ้าถามคนรุ่นใหม่ by heart คงตอบว่า อยากรวม แต่ถ้า by head จะบอกว่า ไม่นะ เพราะเค้ามองเหมือน เยอรมันตะวันตก กับ ตะวันออก ว่า ดูสิ พอมีการรวมประเทศ คนที่อยู่ฝั่งตะวันตกต้องจ่ายภาษีหนัก เพราะต้องรับภาระให้คนฝั่งตะวันออก ฉะนั้นเราได้มีโอกาสคุยกับคนเกาหลีรุ่นใหม่หลายๆ คน อึ้งเหมือนกัน เค้ามองว่าคนเกาหลีเหนือถึงจะพูดภาษาเดียวกัน แต่ เหมือนอยู่คนละโลก ความผูกพันระหว่างกันมันน้อยลงทุกที แล้วคนรุ่นใหม่ พวกนี้ก็จะเป็นคนกำหนดนโยบายของประเทศในอน าคตใช่เปล่า เรารู้ในอนาคตไม่ว่าจะช้าหรือเร็ว เกาหลีต้องได้รวมตัวกันแน่นอน บทเรียนของวันนี้ คิอ อย่าลืม การมีส่วนร่วมของประชาชน วันนี้เขียนหนักไปหรือเปล่า

เออ พูดเรื่องเข้าเมือง ประเทศเราก็มีคนเกาหนีเหนือหนีเข้ามาเยอะมากๆ โดยเฉพาะทางภาคเหนือ จนเป็นแก๊งค์แล้วนะ ประมาณว่าข้ามมาจาก เกาหนีเหนือ ขึ้น จีน ออก ลาว พอมาถึงเมืองไทยได้ ก็รีบไปมอบตัวกับตำรวจ จะได้ขอเป็นผู้ลี้ภัย อยากมีความหวังให้ตัวเองมีชีวิตที่ดีกว่า แต่ต้องระวังเพราะบางครั้งอาจถูกหลอกได้ ถ้าจะให้พูดเรื่องนี้ต้องพูดยาวเพราะคล้ายๆกับพวก โรฮิญญา ที่เข้ามาบ้านเรา ตั้งป็น ภาค ขยายได้อีกทู้
มาต่อกันจ้า ตั้งใจจะให้จบภายในวันพรุ่งนี้จริงๆ เดี๋ยวจะดองนานไปแล้ว
พอเสร็จจากทัวร์ประมาณ 3 โมงเย็นตั้งใจว่าจะไป หอคอยกรุงโซลกับ Namsamgol traditional Korean village ที่กรุ๊ฟไปมาด้วย กลับมาในโซลเค้าไปปล่อยลงที่อิแทวอน แต่พอมาถึงที่นี่ เปลี่ยนใจเฉยเลย เพราะมีร้านน่ารักๆ เยอะ โดยเฉพาะพวกของแต่งบ้าน
วันนี้มีนัดกินข้าวเย็น Yong Shi เป็นเพื่อนคนเกาหลีทำงานที่UNESCO เจอกันตอนไปเข้าคอร์สทีโตเกียวด้วยกันปีที่แล้ว แล้วก็นัด กับ Jean ด้วย โลกกลมอีกแล้ว เพราะ Yong Shi กับ Jean รู้จักกันเป็นรุ่นพี่ กับรุ่นน้องที่เรียนมหาลัยเดียวกัน แต่คนละคณะ
วันนี้นัดว่าจะไปกินมื้อเย็นที่ร้านของน้องสาว Jean ร้านเนี่ยขายอาหารฝรั่งเพราะน้องของJean เค้าเคยไปเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนที่ออสเตรเลีย พอกลับบ้านมาเลยอยากทำอะไรที่เกี่ยวกับออสเตรเลีย เลยมาเปิดร้านอาหารที่แถวอิแทวอน ซึ่งแถวนี้เป็น ฐานทัพทหารอเมริกา บรรยากาศเลยจะเป็นนานาชาติมากๆ มีทั้งผับ บาร์


หลังจากอิ่มหนำสำราญ เลยไปแฮงค์เอ๊าที่พวกเซเลบของเกาหลีไปกัน ย่านนั้นจะมีแต่ของแพงๆ วินโดว์ชอปปิ้งตอนตีหนึ่ง กับบาร์เก๋ๆ หลากหลาย



วันนี้วันที่หกท้ายสุดและสุดท้านในโซลแล้วจ้า Yuka ต้องกลับโตเกียวตั้งแต่เก้าโมงเช้า แล้วไฟล์โอ๊ะเกือบสามทุ่ม วันนี้นัดเจอKwan soon เพื่อนคนเกาหลีอีกคนที่เคยเจอกันตอนไปทำ workshop ที่ เบลเยี่ยมด้วยกันเมื่อตอนปีที่แล้ว โอ๊ะเคยพาเค้าไปเลี้ยงข้าวที่ร้านอาหารไทยที่บรัสเซลล์ คราวนี้เค้าเลยพาไปกินอาหารกลางวันเป็นอาหารชาววังของเจ้าราชวง ศ์โชซอน เป็นบุญปากของเราไป ร้านนี้ติดกับพระราชวังเคียงดุ๊ก แม่ครัวเป็นกุ๊กทำอาหารถวายกษัตริย์ที่ในวัง พอกษัตริย์ถูกยึดอำนาจ เลยคิดมาเปิดร้านอาหารเอง ชาวบ้านอย่างเราเลยได้มีโอกาสชิมอาหารในรั้วในวัง โดยเสิร์ฟนำพวกเยกน้ำย่อยก็จะเป็นจองเย็น แล้วก็มีโจ๊ก หรือ ประมาณข้าวต้ม ตามด้วยของต้ม ของทอด ของย่าง หม้อไฟ ปิดท้ายด้วยของหวานและผลไม้ อิ่มไปถึงเย็นเลย


หลังจากนั้นก็แยกย้ายกับเพื่อน เรามีเวลาเดินเล่นอีกหน่อย อารมณ์อยากไปเดินเล่นในสวน วันนี้แดดสวยมากๆ เราอยากสูดลมหายใจเอาอากาศเย็นๆ เข้าไปให้เต็มปอด วันนี้เป็นอีกวันนึงที่มีความสุข เพราะช่วง หกวันนี้ได้เจอเพื่อนเก่าๆ ที่ดีๆ เป็นคนที่เราหากได้มาเจอกันก็อยากถามว่า ชีวิตไปถึงไหนแล้ว เลยนึกถามตัวเองว่า คนสมัยนี้ทำงานหนักเพราะต้องการประสบความสำเร็จแล้วเรียกมันว่า ความสุขหรือเปล่านะ เพราะเมื่อก่อนเคยได้ยินบางคนชอบพูดว่าจะเกษียณตัวเองที่อายุ 45 ปี หรือพยายามทำงานหนักๆ เลื่อนตำแหน่ง เปิดโปรเจค์ ปิดโปรเจค์ ไม่มีเวลาให้เพื่อนฝูง บางคนออกจากห้องประชุม แน่นหน้าอก ส่งเข้าโรงพยาบาล ตั้งแต่อายุไม่ถึง 40 ปี

วันนี้เราคิดว่า ความสุขอาจจะไม่จำเป็นต้องได้มาจากการทำงานหนักหรือตั้งเป้าว่า ชั้นต้องเป็น โน่น นี่ นั่น จริงๆ แล้ว ระหว่างทางเดิน ความสุขเล็กๆ น้อยๆ อาจจะหาได้ง่ายดายจาก การที่ได้สูดอากาศดีๆ ยังมีเวลามองเห็นต้นไม้ ดอกไม้ มี เวลาเงยหน้ามองหาดวงดาว และชื่นชมธรรมชาติรอบตัว การมีสุขภาพกาย-ใจที่ดี

ถ้าใครทำงานหนักมากๆ อยากให้มีเวลาหยุดพักนิดนึง หาจังหวะ โอกาส มีเวลาค้นหา slow life -slow food- slow trip ให้กับตัวเอง แล้วถามตัวเองว่า ความสุขของตัวเราเองคืออะไร เป้าหมายของชีวิตคืออะไร หากมีเวลานั่งจิบชา/กาแฟ นิ่งๆ อาจจะมีคำตอบให้ตัวเราเองได้ว่า ความสุขของเราคืออะไร



Create Date : 05 มีนาคม 2553
Last Update : 9 มกราคม 2554 10:15:12 น.
Counter : 1677 Pageviews.

1 comments
กงสุลใหญ่สมใจ ตะเภาพงษ์“ร่วมฉลองสงกรานต์ปีใหม่ไทยในไทม์สแควร์” newyorknurse
(17 เม.ย. 2567 02:18:24 น.)
ระยองฮิสั้น จันทราน็อคเทิร์น
(12 เม.ย. 2567 15:33:48 น.)
ตลาดน้ำกวางโจว ดาวริมทะเล
(12 เม.ย. 2567 18:42:45 น.)
Day 7 เที่ยววันสุดท้าย Arashiyama กลางสายฝน khimyo
(10 เม.ย. 2567 12:51:53 น.)
  
ผมอ่านแล้วชอบมากเลยครับ แวะมาเจอบังเอิญด้วย google แท้ๆ เพลงเพราะหาความรู้ก่อนเก็บตังค์ไปเที่ยวเกาหลี บอบคุณมากครับ ได้ความรู้ด้วย สนุกด้วย :)
โดย: Korn IP: 58.136.23.142 วันที่: 11 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา:10:58:54 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Please-peace.BlogGang.com

Please.Peace
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]