Final Fantasy VII : On the Way to a Smile (บนเส้นทางสู่รอยยิ้ม) บทที่ 3
On a Way to a Smile
Episode 1-3 (Published, 18.09.05)
By Kazushige Nojima
Translated from Japan by vilaeth

“ผมไม่แน่ใจว่าหมดสติไปนานแค่ไหน พอฟื้นขึ้นมาก็เห็นบ้านเละเทะไปหมด คุณรูวีฟุบอยู่บนพื้น ผมเรียกเธอซักพักนึง คุณรูวีลืมตาขึ้น รำพันว่าดีใจที่เห็นผมปลอดภัย เธอบอกให้ผมกุมมือเธอ ผมยกมือเธอขึ้นมา คุณรูวีบีบมือผมเบาๆ เธอบอกว่าแขนของลูกชายเธอใหญ่กว่านี้ จนเธอกำแขนเขาไม่รอบ เธอถามผมว่าข้างนอกเป็นยังไงบ้าง ตอนนั้นเช้าแล้ว ข้างนอกสว่างขึ้น สภาพข้างนอกเละเทะไม่ต่างจากในบ้านเท่าไหร่”

เดนเซลก้มหน้าเล่าเรื่องต่อไป รีฟนั่งหลับตาฟังเขานิ่ง

******************



เดนเซลยืนอยู่นอกบ้าน มองไปรอบๆบ้านของรูวี กระจกหน้าต่างแตกจนหมด ในขณะที่บ้านหลังอื่นก็มีสภาพไม่ผิดกันเท่าไหร่ บางบ้านหลังคาหาย ไม่ก็กำแพงบ้านพังเป็นรูโหว่ ทุกอย่างพังพินาศ ต่อให้เขาไม่ได้ทำกระจกแตกก็เถอะ เดนเซลคิด แต่ความคิดนั้นทำให้เขาเริ่มโกรธตัวเองขึ้นมาอีกครั้ง

“ทั้งๆที่คุณรูวีพยายามช่วยฉันจากของน่ากลัวอย่างนั้น ฉันก็ยังหลอกตัวเองอยู่”

เขากลับเข้าไปในบ้าน รูวียังคงนอนนิ่งอยู่ตรงนั้น ใบหน้าของเธอสงบนิ่งเหมือนกำลังหลับอยู่ เดนเซลรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ เขาเขย่าตัวเธอ

“คุณรูวี....”

รูวีนอนนิ่งไม่ขยับ

“คุณรูวี!” เขาร้อง เขย่าตัวเธอแรงขึ้น

ของเหลวคล้ายเลือดแต่มีสีดำทะลักออกมาจากปากของรูวี ดูเหมือนนี่จะเป็นสาเหตุที่ทำให้รูวีสิ้นใจ ของเหลวไหลออกมาเรื่อยๆ จนนองพื้น เดนเซลไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อน เขาตัวแข็งจ้องเลือดสีดำที่ไหลออกมาจากศพของรูวีอย่างขยะแขยง เขากลัวมากและวิ่งหนีออกนอกบ้านอย่างไม่คิดชีวิต

“พ่อ! แม่! ใครก็ได้ ช่วยผมด้วย!!” เขาร้องลั่น ร้องเรียกทุกคนที่เขารู้จัก ซักพักก็หมดแรง เดนเซลทรุดตัวนั่ง และร้องไห้...

“เฮ้ย ไอ้หนู” ใครบางคนเรียกเดนเซล มือใหญ่หนาจับตัวเขายกขึ้นแล้วเชิดหน้าเขาขึ้นมา เขาเห็นชายคนหนึ่ง ข้างหลังมีรถบรรทุกพร้อมกับคนจำนวนหนึ่ง

“มาทำอะไรอยู่แถวนี้ ไม่ได้ดูทีวีเรอะว่าเขาให้อพยพลงไปที่เขตสลัม”

“ผมไม่ได้ดู...” เดนเซลตอบ

“ปั๊ดโธ่ว้อย! เป็นเหมือนกันหมด พูดว่า “โธ่ ฉันไม่รู้” รึไม่ก็ “ฉันคิดว่าที่นี่ปลอดภัย” ชายคนนั้นร้องอย่างอารมณ์เสีย

คนที่อยู่บนรถบรรทุกก้มหน้าหลบด้วยความอาย...

“นี่! แล้วพ่อแม่แกล่ะ?”

“คุณรูวีอยู่ในบ้านฮะ”

******************



“เขาชื่อ กัสคิน (Gaskin)”

เดนเซลบอกรีฟ

“เขากับคนบนรถบรรทุกช่วยกันฝังคุณรูวีที่สวนหลังบ้าน เราฝังเธอพร้อมกับผ้าที่เธอปักกับหนังสือของลูกชายเธอ พวกเราแปลกใจตอนที่ขุดดินได้ลึกมาก คนพวกนั้นบอกว่าปกติขุดลึกเท่านั้นจะเจอพื้นเพลทแล้ว”

“ดูเหมือนว่าคุณรูวีคิดจะทำสวนหรืออะไรซักอย่างตรงนั้น คนแก่จากชนบทมักชอบทำอย่างนี้”

“ผม...คิดว่าเธออยากจะปลูกดอกไม้” เดนเซลเอ่ยขึ้นหลังจากเงียบไปซักพัก เขาจ้องมองผ้าเช็ดหน้าลายดอกไม้ผืนนั้น “ในบ้านเธอเอาดอกไม้ประดิษฐ์มาตกแต่ง ฝาผนังก็เป็นลายดอก จริงๆแล้วผมก็คิดว่าเธออาจจะอยากได้ของจริง เธอย้ายมาอยู่กับลูกชายที่ทำงานในชินระ เธอรวบรวมดินพวกนั้นแล้วกำลังจะ....อ๊ะ ขอโทษครับ ผมนอกเรื่องไปหน่อย”

รีฟผงกหัวรับว่าเขากำลังฟังอยู่

******************



รถบรรทุกจอดที่สถานีรถไฟ

“ขบวนรถไฟไม่ทำงาน ไม่รู้ว่าพวกเขาจะซ่อมมันได้เมื่อไหร่ ยังดีที่เราเดินไปตามรางลงไปที่สลัมได้” กัสคินบอก

“มิดการ์ปลอดภัยแล้วใช่มั๊ย?” ใครบางคนถามขึ้นมา

“นั่นแหละเพื่อน ชั้นก็ไม่รู้เหมือนกันว่ะ แต่คิดว่าถ้าตอนนี้ลงไปที่พื้นดินน่าจะปลอดภัยกว่า คิดว่าไงล่ะ?” เขาหันไปหาเดนเซล “อย่าสำออย ไม่มีใครว่างพอที่จะช่วยแก แกต้องดูแลตัวเอง”

รถบรรทุกหันกลับวิ่งออกไปตามราง ผู้คนจำนวนมากชุมนุมอยู่ที่สถานี ดูเหมือนแสงนั่นจะทำลายมิดการ์ทั้งเมือง ผู้คนที่ไร้บ้านรวมกันอยู่ที่นี่เพื่ออพยพ บางคนยังมีท่าทีลังเลที่จะลงไปที่พื้นดินข้างล่าง สีหน้าทุกคนเศร้าหมองหดหู่ ไม่มีใครดีใจที่เมเทโอถูกทำลายลงไปได้ มีแต่เสียงบ่นเรื่องการอพยพอย่างไร้จุดหมาย เดนเซลดีใจที่พ่อของเขาไม่ได้อยู่ที่นี่ เขาแหวกฝูงคนที่ขวางทางลงไปที่รางรถไฟ เขาไม่มีทางรู้ว่าจะเจอกับอะไรข้างล่างนั่น แต่เมื่อกัสคินเป็นคนบอกอย่างนั้น เดนเซลคิดว่าเขาควรจะทำตามคำแนะนำนั่น

เดนเซลสามารถมองทะลุช่องว่างระหว่างแท่งเหล็กของรางรถไฟ ข้างล่างนั่นเขาเห็นทางรถไฟทอดเป็นแนวยาวลงไปถึงพื้นดิน ด้วยความสูงขนาดนั้นหากเขาตกลงไปคงไม่มีทางรอด เขาจึงทำได้แต่เดินไปอย่างระมัดระวัง ทางรถไฟวนเป็นเส้นโค้งไปตามขอบเมือง ระยะทางไกลเหมือนไม่มีที่สิ้นสุด เดนเซลพยายามไม่คิดถึงว่าเขาเดินมาไกลเท่าไหร่แล้ว

เขาเห็นคนกลุ่มหนึ่งที่เดินนำเขามาหยุดล้อมเป็นวงอยู่ข้างหน้าไม่ไกล พวกนั้นกำลังหยุดดูอะไรซักอย่าง เขาแหวกคนเข้าไปดู เห็นเด็กผู้ชายอายุราวสามขวบ เขาติดอยู่บนรางรถไฟ รอบๆ นั้นพังเป็นช่องโหว่ ข้างล่างคือพื้นดิน เพราะขาของเด็กคนนั้นติดอยู่กับรางจึงทำให้เขาไม่ตกลงไปข้างล่าง เดนเซลสงสัยว่าทำไมถึงไม่มีใครเข้าไปช่วย

“แม่หนูอยู่ไหน?” ใครคนหนึ่งถามขึ้น

เด็กชายพลันร้องไห้เสียงดัง “แม่จ๋า!!” เขาก้มลงมองข้างล่าง ตอนนี้เขาเสียศูนย์ แขนแกว่งไปมาพยายามทรงตัว ทันใดนั้นเอง เดนเซลวิ่งออกไปแล้วคว้าแขนเขาเอาไว้ ได้ยินผู้คนข้างหลังเขาพูดกัน

“ดูนั่นสิ เด็กคนนั้นติดเชื้อ!” ใครคนหนึ่งพูด

“อย่าโดนตัวเด็กคนนั้น เธอจะติดเชื้อไปด้วยนะ!”

“มะ...หมายความว่าไง?” เดนเซลสงสัย นอกจากเด็กชายคนหนึ่งที่กำลังกลัวตัวสั่นอยู่ ก็ไม่เห็นมีอะไรผิดปกติ

“กลับมาซะ หลบออกไปให้พ้น!” คนหนึ่งร้องขึ้น

เดนเซลอยากจะว่าตอบโต้พวกนั้น แต่เขาไม่รู้ว่าใครเป็นคนพูดจึงเลิกใส่ใจ เขาดึงแขนเด็กชายลากขึ้นมาบนพื้นรางรถไฟ “ทำไมไม่มีใครช่วยเลยนะ?” เดนเซลสงสัย มองเห็นหลังของเด็กชายชุ่มไปด้วยของเหลวสีดำ เขาชักมือกลับอย่างตกใจ ของเหลวแบบเดียวกับที่ออกมาจาก...ร่างของคุณรูวี!

ผู้คนเริ่มเดินทางต่อไป เด็กชายยังร้องไห้ครางอยู่ “ผมเจ็บจังเลย...แม่จ๋า!”

เดนเซลนึกถึงสิ่งที่คนพวกนั้นเตือนเขา “เธอจะติดเชื้อไปด้วยนะ” เขาแทบจะร้องไห้ออกมา เขาโกรธเด็กชายมาก พลันเขาก็นึกถึงคุณรูวี นึกถึงความรู้สึกขยะแขยงตอนที่เห็นของเหลวสีดำไหลออกมาจากตัวเธอ ทั้งที่รูวีทำดีต่อเขามาตลอด ทำไมตอนนั้นเขาถึงกลัวจนต้องหนีออกมา ความรู้สึกผิดจู่โจมเดนเซลอย่างรุนแรง เขาต้องการให้รูวียกโทษให้เขา บางทีเขาต้องแก้ตัวด้วยการดูแลเด็กคนนี้ เดนเซลคุกเข่าลง

“เจ็บตรงไหนล่ะ?” เขาถาม

“ที่หลังฮะ”

“นี่เหรอ?”

“ฮะ..”

เดนเซลค่อยๆแตะหลังของเด็กชาย นึกถึงแม่ของเขาเคยใช้มือลูบท้องของเดนเซลตอนที่เขาปวดท้อง หรือลูบตรงที่เขาเจ็บตอนที่ไปกระแทกโดนอะไรเข้า

“บางทีฉันอาจจะใช้เวทย์มนต์ของแม่ได้เหมือนกัน” เดนเซลเริ่มลูบหลังของเด็กชาย พยายามไม่มองของเหลวสีดำที่ชุ่มมือของเขา เด็กชายครางด้วยความเจ็บปวด แต่ต่อมาไม่นานก็หลับลง

สามชั่วโมงผ่านไป เดนเซลยังคงเฝ้าเด็กชายอยู่ตรงนั้น ผู้คนยังคงเดินผ่านเขาลงไปตามทางรถไฟ

“เด็กคนนั้นตายแล้วล่ะ..”

เดนเซลเงยหน้าขึ้น เห็นผู้หญิงคนหนึ่งหน้าตาอิดโรยยืนอยู่

เธอผูกทารกคนหนึ่งไว้กับหน้าอก มือจูงเด็กผู้หญิงอายุเท่าๆกับเดนเซลคนหนึ่ง

“เขาใส่เสื้อผู้หญิงด้วย แปลกจัง..แม่ขา เราไปได้รึยังคะ?” เด็กหญิงพูดขึ้น

หญิงที่ถูกเรียกว่าแม่ถอดเสื้อของเด็กหญิงออก ยื่นให้กับเดนเซล “คลุมให้เขาซะสิ”

เด็กหญิงคนนั้นสวมเสื้อถึงสามชั้น เธอท่าทางร่าเริง

“เอาไปสิ เสื้อตัวนี้ใหญ่พอนะ” เด็กหญิงพูด

เดนเซลมองเด็กชายที่นอนคุดคู้อยู่ข้างๆ เขาไม่ได้ยินเสียงหายใจ ไม่ขยับตัว เด็กหญิงฉวยเสื้อจากแม่แล้วคลุมให้กับเด็กชาย

“เขาสบายไปแล้วล่ะ”

“ขอบใจนะ” เดนเซลพูดได้แค่นั้น คนเป็นแม่เริ่มออกเดิน เด็กหญิงวิ่งตามไป ยื่นมือไปเกาะแขนแม่ แขนทั้งคู่เปื้อนของเหลวสีดำเหมือนกันกับเขา

เดนเซลจ้องมองตามกระเป๋าโจโกโปะสีเหลืองที่เด็กหญิงสะพาย เขาเริ่มคิด “ฉันกำลังจะตาย ฉันจป่วยและะทรมานเพราะความเจ็บปวดจากของเหลวสีดำที่ติดเข้ามา ฉันจะตายใช่มั๊ย?”

“ตอนนั้น เราไม่รู้อะไรเกี่ยวกับจีโอสติกมา (Geostigma) คนที่สัมผัสกับไลฟ์สตรีมโดยตรง เลือดจะกลายเป็นสีดำและต้องตาย ว่ากันว่ามันติดต่อกันได้จากการสัมผัส ในเวลานั้นว่ากันว่าพลังของเจโนวา (Jenova) รวมกันเข้ากับไลฟ์สตรีม และ.....เฮ้อ ช่างมันเถอะครับ ต่อให้ตอนนั้นเรารู้ ก็แก้ไขอะไรไม่ได้”

“โดยเฉพาะตอนนั้นเธอยังเป็นเด็ก”

“ครับ”

“ผมก็คิดอยู่ตอนที่ผมกำลังเดินอยู่บนราง ผมอยากจะโตเป็นผู้ใหญ่เร็วๆ ผมไม่เข้าใจเหมือนกันว่าตอนนั้นคิดอะไรอยู่”

******************



เดนเซลเห็นผู้คนที่สถานีรถไฟของสลัมเดินวุ่นวายเหมือนยังคงหนีสิ่งที่เกิดขึ้นบนเพลท ราวกับว่าพวกเขาจะต้องตายหากหยุดเดิน เดนเซลก็อยากทำแบบนั้นเหมือนกันเพราะการอยู่เฉยๆ ไม่ทำให้อะไรดีขึ้นมา เขาคิดว่าคงจะแย่ถ้าต้องหาคนรู้จักจากสถานที่แบบนี้ เขาเริ่มหิวจนทนไม่ได้

เขาเดินไปรอบๆสถานี พยายามมองหาของกิน เขาเห็นหีบจำนวนมากวางซ้อนกันไม่ไกลจากที่เขาอยู่ มีชายกลุ่มหนึ่งกำลังทำอะไรบางอย่าง พวกเขากำลังขุดหลุม บรรยากาศแห่งความตายอยู่ทั่วบริเวณนั้น ชายคนหนึ่งอุ้มเด็กผู้หญิงเดินเข้ามา และค่อยบรรจงวางร่างเด็กหญิงคนนั้นลงในหลุม สุสาน? เดนเซลหันกลับ ไม่อยากเห็นอีกต่อไป แต่สายตาเขาเหลือบไปเห็นกระเป๋าที่คุ้นตาปนอยู่ในหีบพวกนั้น กระเป๋าลายโจโกโปะ! เขาใจเต้นแรงเพราะคาดไม่ถึง ดึงกระเป๋าใบนั้นออกมาแล้วเปิดดูข้างใน ในนั้นมีคุ้กกี้กับชอคโกแล็ตอยู่จำนวนหนึ่ง เดนเซลนึกถึงเด็กหญิงเจ้าของกระเป๋าใบนั้น เธอจากไปแล้ว

“กินซะ” ชายคนหนึ่งบอกเขา กัสคินนั่นเอง

เดนเซลหันไปมอง ดีใจที่เจอเขาอีกครั้ง

“ห่วงเรื่องโรคนั่นอยู่เรอะ? แค่ข่าวลือน่ะ บางทีอาจเป็นเรื่องจริงก็ได้ แต่ไม่มีหลักฐานซักหน่อย แค่คนเขาพูดกันไป สำคัญกว่าก็คือถ้าแกไม่กินอะไรเข้าไปบ้างแกจะอดตาย หรือต่อให้แกกำลังจะตายจริงๆ ตายตอนท้องอิ่มก็ยังดีกว่าใช่มั๊ย?”

กัสคินเดินมาหยิบกระเป๋า แกะคุ้กกี้เข้าปาก “ยังกินได้ ถ้าปล่อยทิ้งไว้มันจะเสีย เสียของเปล่าๆ กินซะเถอะ”

เดนเซลกินคุ้กกี้ อร่อยทีเดียว

“ขอบใจนะ” เดนเซลพูดกับกระเป๋าใบนั้น

กัสคินขยี้ผมเดนเซลแรงๆ ถึงเขาจะดูต่างจากพ่อไปมากก็เถอะ แต่พอทำอย่างนั้นก็ทำให้เดนเซลนึกถึงพ่อขึ้นมา

เดนเซลพักอยู่บริเวณนั้นประมาณหนึ่งปี ในระยะแรกงานของเขาคือ หาอาหารตามหีบ เขาได้เพื่อนบ้าง เป็นเด็กกำพร้าเหมือนกับเขา กัสคินก็รวมกลุ่มกับคนจำนวนหนึ่ง เขาเรียกพวกนั้นว่าคนไร้ราก ไม่มีจุดหมายและอยู่อย่างซังกะตาย แต่อย่างน้อยพวกเขาก็ยังทำงานได้ ตอนแรกพวกเขาช่วยกันฝังศพคนตาย ไม่นานเดนเซลรู้สึกว่าตัวเองเริ่มยิ้มได้ เขารู้สึกว่ากำลังกลับมาเป็นตัวของตัวเอง แต่ต่อมาจำนวนคนที่อพยพลงมาจากมิดการ์เริ่มลดลงในสองสัปดาห์ และผู้คนที่พักอยู่ที่สถานีสลัมเริ่มย้ายออกไป กัสคินกับพวกของเขากำลังจะหมดงาน เดนเซลกังวลมากและนอนไม่ค่อยหลับ

วันหนึ่ง มีชายคนหนึ่งเดินท่อมๆ หาของบางอย่าง เขาเข้ามาหาเดนเซลกับเพื่อน

“ฉันอยากได้แท่งเหล็ก ยิ่งมากยิ่งดี”

พวกเด็กๆ ช่วยกันหาแท่งเหล็ก พวกเขาขนเหล็กออกมาจากซากปรักหักพังใน Sector 7 ชายคนนั้นขอบคุณแล้วกลับไป แล้วก็กลับมาอีก ในครั้งที่สามเขาพาพวกมาด้วย พวกเขาบอกว่ากำลังจะสร้างเมืองใหม่อยู่ทางด้านตะวันออกของมิดการ์ และกำลังหาวัสดุอยู่ เมื่อพวกเดนเซลหาของมาให้ ก็ได้รับอาหารเป็นการตอบแทน

เดนเซลกับเพื่อนๆ เรียกตัวเองว่า “หน่วยสำรวจเขต 7” (Sector 7 Expedition) พวกเขาเริ่มมีงานเข้ามามาก พวกเขาภูมิใจในงานที่ทำและรู้สึกเหมือนโตเป็นผู้ใหญ่ พวกเขาสนุกกับงานทุกวัน แม้จะมีบางคืนที่พวกเขาบางคนคิดถึงพ่อแม่และร้องไห้ แต่พวกเขาก็จะคอยปลอบโยนกันและกัน “ร่วมชะตากรรม” (Share the Fate) เป็นวลีติดปากพวกเขา แม้ว่าชะตากรรมจะไม่ได้เชื่อมต่อคนทุกคนเหมือนกับเดนเซลและเพื่อนๆ ก็ตาม

เช้าวันหนึ่ง กัสคินเรียกพรรคพวกมาชุมนุมกัน ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ กัสคินแนะนำว่าพวกเขาควรจะไปร่วมกับคณะสร้างเมืองใหม่ ทุกคนเห็นชอบด้วย แต่เด็กคนหนึ่งสังเกตุว่ากัสคินจับหน้าอกตลอดเวลาที่พูด

“คุณกัสคิน คุณสบายดีรึเปล่าฮะ?”

“ไม่ค่อยน่ะ” กัสคินพูดแล้วนั่งลงบนผ้าคลุม อาการเจ็บที่คุ้นเคย เดนเซลจำความรู้สึกขยะแขยงนั้นได้

เสื้อของกัสคินชุ่มไปด้วยของเหลวสีดำ

******************



“คุณกัสคินตายในเดือนต่อมา ทุกคนช่วยกันขุดหลุมฝังร่างของเขาในที่ที่ดีที่สุด คนดีๆ มักจะตายไปเสมอ ใช่มั๊ยครับ?”

รีฟพยักหน้าเห็นด้วย เดนเซลยกถ้วยกาแฟขึ้นมาจิบ มันขมมาก เขาเกลียดกาแฟ แต่เขาต้องชอบมันให้ได้ นั่นเป็นสิ่งที่ผู้ใหญ่เขาทำกัน



Create Date : 07 กันยายน 2549
Last Update : 7 กันยายน 2549 17:20:13 น.
Counter : 700 Pageviews.

0 comments
สวัสดีปีใหม่ ๒๕๖๗ มาช้ายังดีกว่าไม่มา
(2 ม.ค. 2567 07:30:30 น.)
BUDDY คู่หู คู่ฮา multiple
(3 ม.ค. 2567 04:49:04 น.)
สวัสดีปีใหม่ Rain_sk
(1 ม.ค. 2567 21:38:33 น.)
ประสบการณ์ ทำพาสปอร์ตที่สายใต้ใหม่ newyorknurse
(2 ม.ค. 2567 17:45:17 น.)
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

Pladoog.BlogGang.com

ดุก
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]

บทความทั้งหมด