|
ขอโทษทีนะคะ หายไปหลายวัน เพราะมัวยุ่งกับงานอยู่ค่ะ เอาหล่ะ วันนี้เล่าต่อเลยแล้วกัน ถึงความน้อยอกน้อยใจ กระเหรี่ยงหัวดำอย่างเราในต่างบ้านต่างเมืองอย่างนี้
ในร้านนั้น เพื่อนร่วมงานโดยส่วนใหญ่นั้นเป็นเด็กวัยรุ่นกับเกือบทั้งหมด จะมีเป็นผู้ใหญ่แค่ เจ้าของร้านและเราเท่านั้น นอกจากนั้น อายุก็ไม่เกิน ยี่สิบสองกันสักคน บางคนก็เด็กเลยแหล่ะ สิบสี่ สิบหก งี้ กำลังเป็นสาวรุ่นกันเชียว แต่เด็กฝรั่งนอร์เวย์โดยส่วนใหญ่ เค้าจะทำงานพิเศษกัน เพื่อหาตังค์ค่าขนม คือเด็กเรียนรู้ที่จะช่วยตัวเองให้ได้มากที่สุดงั้นแหละ อันนี้น่าชื่นชมเป็นอย่างมาก สำหรับวัฒนธรรมและการเลี้ยงดูเด็กบ้านนี้ ทีนี้ การร่วมงานกับวัยรุ่นนั้น ก็อย่างว่านั่นแหละ ทำงานกันไม่เต็มที่ บางคนก็ยืนคุยกัน ซะส่วนใหญ่ บางคนก็ยุ่งกับโทรศัพท์มือถือนั่นแหละ ทั้ง ๆ ที่มีกฏห้ามใช้โทรศัพย์ในเวลาทำงาน แต่ก็ยังขัดขืนกันอยู่ ส่วนเจ้านายนั้นก็รู้นะ ไม่ใช่ไม่รู้ว่ามีคนขี้เกียจกัน แต่ก็ไม่เห็นจะว่าอะไร ในกลุ่มเพื่อนร่วมงานนั้น จะมีเด็กคนหนึ่ง อายุสักสิบเก้าปี เป็นคนที่ไม่เพื่อนร่วมงานบางคนไม่ชอบเป็นส่วนใหญ่ หล่อนทำหน้าตาบึ้งตึง ไม่ค่อยจะยิ้ม พูดก็ห้วน ๆ เวลาคุยกัน แล้วเราไม่เข้าใจในสิ่งที่หล่อนพูด ก็แม่ง หล่อนพูดซะเร็วอย่างนั้น เราก็ฟังไม่ทัน ก็ถามกลับไป ว่าเมื่อกี้เธอพูดอะไรนะ หล่อนก็จะว่า ป่าว ไม่มีอะไร แล้วก็เดินหนี อืมมมมมม เป็นน้องเป็นนุ่งนะ ไม่เหลือ...... ไอ้เราก็อดทน อดทน หืมมมมม .... เพื่องานเพื่อเงินน่ะ แค่นี้ไม่เป็นไรหรอก เรื่องแค่นี้
อย่างเรื่องที่เราทำผิดบนแคชเชียร์ ตอนนั้นเราก็รู้สึกไม่ดี และประหม่ามาก เพราะทำผิด มันก็ว่าทำไมไม่ไปเก็บโต๊ะหล่ะ เราก็อดไม่ได้ ก็บอกว่า เอ่อ ทอนตังค์ให้ลูกค้าอยู่ ไม่เห็นหรอ เดี๋ยวไป จากนั้นเราก็ไม่ไปยุ่งกับแคชเชียร์อีกเลย เพราะกลัวทำพลาดอีก และจากนั้นนะ หล่อนทำตัวเหมือนกับเป็นหัวหน้าเราเลยงั้นแหละ ใช้นั่น ใช้นี่ บางทีนะเราก็ทำงานอยู่ ก็มาใช้ ไอ้เราก็ไม่อยากจะมีเรื่อง ยอม ๆ ๆ มันไป บางทีโกรธนะ ไม่ใช่ว่าไม่โกรธ แต่ก็ต้องอดทน ทำงานไม่มีความสุขเลย และหล่อนก็ไม่ยื่นโอกาสให้เราไปยืนบนแคชเชียร์อีกเลย บางทีเพื่อนร่วมงานคนอื่นถามว่า เธอไปยืนแคชเชียร์แทนฉันแป๊บหนึ่งได้มั้ย ไอ้เรายังไม่ทันตอบเลย มันก็บอกว่า ไม่ แล้วหล่อนก็วิ่งไปทำแทน งานแคชเชียร์น่ะ ไม่ได้หนักหนาอะไร เพราะลูกค้าไม่ได้เข้าร้านทุกนาที แต่งานที่หนักก็คือเก็บโต๊ะและล้างจานซึ่งเรานี่แหละโดยส่วนใหญ่ที่ทำ พอแคชเชียร์ว่าง แทนที่จะวิ่งมาใช้เรา ก็กลับไปยืนคุยกัน เห็นแล้วแม่งงงงงงงง โมโห แต่ในที่ทำงานก็ไม่ใช่ว่าจะแย่ไปหมดทุกคนนะ ก็มีอยู่สองคนที่เราเข้างานกันได้ดี เพระช่วยกันทำงานทั้งหมด และเราเองก็ได้มีโอกาสไปฝึกตรงแคชเชียร์กับพงกเค้านี่แหละ (ได้ฝึกแค่วันเดียวเอง) จากนั้นเราก็เริ่มที่จะพอทำได้
พอหลังปีใหม่มา ก็มีพนักงานจากสาขาอื่นมาทำงานที่ร้านด้วย เนื่องจากสาขานั้นปิดปรับปรุง ที่นี้พนักงานที่ร้านเยอะเกิน เพราะเดือนมกราคมหลังคริสมาสต์ ห้างจะเงียบ ๆ เพราะคนใช้เงินกันเยอะในธันวา พอ มกราฯ เงินก็ไม่ค่อยมี คนไม่ค่อยเดินห้างกัน ร้านเลยเงียบ พนักงานก็ไม่รู้จะทำอะไร แต่คนอย่างเราหาอะไรทำได้อยู่แล้วหล่ะ ทำโน่นทำนี่ คือว่า มองเห็นงานไง คนขี้เกียจมักจะมองไม่เห็นงาน วันนั้นเป็นวันพฤหัส หัวหน้าเข้ามา ก็พูดว่า ร้านเงียบจัง ไม่มีงานให้ทำเลยเนอะ เราก็คิดในใจ (ตอนนั้นเรายื่นหั่นปาปริก้า เตรียมไว้พรุ่งนี้อยู่) มีสิ ถ้าคิดจะทำก็มองเห็นงานเองแหละ แล้วสักพักหนึ่ง หล่อนก็เรียกเรา ฉันอยากจะคุยกับเธอนิดหนึ่ง เราเองก็ไม่ได้เอะใจอะไร พอไปนั่งคุย หล่อนก็บอกว่า ตั้งแต่เธอทำงานมาสาม สี่ อาทิตย์นี้ แล้วมันเหลือเวลาแค่อีกห้าวันในอาทิตย์หน้า ฉันรู้สึกว่าเธอไม่สามารถพร้อมที่จะทำงานให้กับฉันได้ ปัญหาใหญ่ก็คือเรื่องภาษา เธอไม่เข้าใจในสิ่งที่ฉันพูดในบางครั้ง เราก็อึ้ง เพราะความรู้สึกมันมึนไปหมด เราเองก็ไม่ได้ทำอะไรผิด เค้าก็บอกว่า ฉันน่ะอยากได้คนที่เก่งภาษา คือภาษาต้องเฟอร์เฟคเลย สามารถทำแทนฉันได้ทุกอย่าง เราก็ตั้งสติก็บอกว่า ฉันเข้าใจเธอว่าปัญหาคือเรื่องภาษา ที่ฉันไม่ได้เฟอร์เฟคเลย แต่ฉันก็เชื่อว่าฉันจะต้องดีขึ้นแต่ต้องอาศัยเวลานิดหนึ่ง อีกอย่างตอนฉันเริ่มงานมันก็ยุ่ง ฉันเองก็ไม่ได้โอกาสที่จะได้รับการเรียนรู้อะไรมากมาย จะให้ฉันทำงานเก่งเหมือนคนบ้านเธอก็คงเป็นไปไม่ได้ และฉันก็รู้สึกเสียใจที่ฉันหมดโอกาสเรื่องงานนี้ แต่ทำไมหล่ะ คนที่เค้ายืนคุยกันตอนที่เธอไม่อยู่ ทำไมเธอไม่ว่าบ้าง แล้วหล่อนก็ตอบเราว่า อันนี้ฉันรู้ อ้าววววว.... แม่งงงง คิดดูสิ ว่ามันไม่ยตุธรรมแค่ไหน เราก็รู้สึกแย่มาก ๆ ตอนนั้น เลยอดจะร้องไห้ไม่ได้ เพราะเสียใจมาก ทุ่มเทให้กับงานสุด ๆ
เราก็เลยรวบรวมความคิดและสติกลับคืนอีกครั้งเลยบอกว่า เราจะอยากคุยกับหัวหน้าใหญ่ หล่อนอึ้งไปแป๊บหนึ่งเลย คงคิดไม่ถึงว่าเราจะกล้าขนาดนั้น เพราะเราคิดว่าเราไม่อยากจะทำงานที่ร้านนั้นอีกแล้ว มันเสียความรู้สึกสุด ๆ ไม่อยากทำงานให้กับคนประเภทนี้อีกแล้ว ขออย่าให้พบได้เจอกันอีกเลย จากนั้นเราก็ขอตัวไปห้องน้ำ กว่าจะทำหน้าทำตาให้เหมือนปกติตั้งนาน พอเดินเข้าไปในร้าน เพื่อนร่วมงานคนหนึ่ง เป็นกระเทยมาจากสวีเดน เราสนิทกันในทีทำงาน เค้าก็รีบวิ่งมากอดและปลอบใจเรา แถมยังร้องไห้ไปกับเราอีก ไอ้เราก็อดร้องไม่ได้อีก เออ... ไม่รู้เสียใจอะไรกันนักหนา แต่ความรู้สึกมันแย่ สุด ๆ คิดถึงพ่อ คิดถึง แม่ ไม่รู้จะบอกใครได้ เลยตัดสินใจกลับบ้านเลยวันนั้น ระหว่างเดินไปสถานีรถไฟ ก็โทรหาสามี สามีกำลังเรียนอยู่ตอนนั้น เค้าก็รีบออกจากที่เรียน มาหาเราเลย นัดเจอกันที่ในเมือง
พอโทรหาสามีเสร็จก็โทรหาอาจารย์ เพราะคิดว่าเป็นทางดีที่โทรบอกให้เค้ารู้ เค้าก็ถามว่าเกิดอะไรขึ้น แล้วเราก็เล่าให้เค้าฟังทุกอย่าง เค้าก็บอกว่าให้ใจเย็น ๆ อาจารย์จะโทรติดต่อไปกับหัวหน้าใหญ่ให้อีกที ให้รอฟังข่าวก่อน เรานั่งรถไฟกลับมา ยิ่งคิดก็ยิ่งเศร้า พอมาถึงที่นัดกับสามีไว้ พอสามีสับแป๊บหนึ่งเค้าก็มา เค้าก็พาไปนั่งร้านกาแฟ แล้วก็ถามไถ่ถึงรายละเอียด พอเราเล่าให้สามีฟัง เค้าก็โมโหใหญ่ Fuck her! เราเองก็อยากพูดใส่หน้ามันด้วยแหล่ะ แต่คิดว่าไม่ดีกว่า พูดไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้น อย่างพระท่านว่าไว้นั่นแหละ โกรธคือโง่ โมโหคือบ้า จากนั้นเราก็เดินไปขึ้นรถไฟจะกลับบ้านกัน ระหว่างทาง อาจารย์ก็โทรมาหาอีก ทีนี้เค้าก็คุยกับสามีเรา เค้าก็บอกว่าเค้าโทรไปหาหัวหน้าใหญ่แล้ว แต่ตอนนี้เค้าติดประชุมอยู่ แล้วไงเค้าจะพยายามติดต่อให้ได้ ให้เราใจเย็นรอฟังไปก่อน พอเรากลับมาถึงบ้าน เราก็อดใจโทรไปหาหัวหน้าใหญ่เองไม่ได้ แต่ก็อย่างที่อาจารย์บอกนั่นแหละ ว่าเค้าปิดมือถือ ติดประชุมอยู่ เราก็เลยฝากข้อความเสียงไว้ ให้เค้าโทรกลับมาหาเรา แต่ก็รอจนถึงเย็นก็ไม่เห็นเค้าจะโทรกลับมา เย็นวันนั้นเรารู้สึกแย่มาก ๆ เหมือนกับว่าเป็นวันที่แย่ที่สุดในชีวิตเลยงั้นแหละ ไม่อยากที่จะไปทำงานในวันรุ่งขึ้นเลย เพราะต้องทำงานร่วมกับคนประเภทนั้น ไม่อยากเห็นหน้าด้วยซ้ำไป แต่ก็ต้องฝืนทำ
,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,, มีตอนต่อไปนะ เดี๋ยวจะมาอัพอีก วันนี้ดึกแล้ว ,,,,,,,
| |