❤++++++❤ อิตาลี แดนในฝัน ตอนที่ ๒ ถ้ำบลูกรอตโต เกาะคาปรี ปอมเปอี ❤++++++❤

สวัสดีค่ะ

หลังจากครั้งที่แล้วพาไปเที่ยวโรมมาแล้ว ตามบล็อกนี้นะคะ


(ป.ล. อ่านคอมเม้นท์ของบล็อกแรกเลยเพิ่งนึกออกว่า ก่อนไปอิตาลีนี่ มีแต่คนบอกให้ระวังตัวเรื่องนักฉกชิงวิ่งราว ขโมยแอนด์โจรทั้งหลาย แต่ครั้งนี้ระวังตัวกันดีค่ะ เลยไม่มีใครเจออะไรเลย

ยังไงถ้าใครจะไปก็ระวังตัวนิดหนึ่งนะคะ ตังค์แยกไว้หลายๆ กระเป๋า พยายามอย่าเอากระเป๋าแบบที่วิ่งราวได้ง่ายๆ ไป (ให้ใช้กระเป๋าที่สามารถสะพายเฉียงได้) ส่วนพาสปอร์ตก็ซีรอกซ์ไว้ซักชุด แยกไว้จากที่เก็บเล่มจริงนะคะ เผื่อเกิดหายไปอย่างน้อยก็มีสำเนาเล่มเดิม จะทำให้ทำใหม่ได้ง่ายขึ้นค่ะ)



วันนี้สาวไกด์ฯ จะพาเดินทางต่อไปยังเกาะคาปรีค่ะ

ตื่นเช้ามาเราก็กินอาหารเช้าแบบบุฟเฟต์ที่ห้องอาหารของโรงแรมที่เราพัก (ซึ่งก็ถือว่าเยอะพอควร แต่กรุณาอย่าเทียบกับอาหารเช้าที่โรงแรมเมืองไทยค่ะ เพราะสำหรับเรา เราว่าเมืองไทยดีกว่ามั่กๆ บุฟเฟท์อาหารเช้าที่เราชอบที่สุดคือที่อิมพีเรียลแม่ปิง เชียงใหม่ กับ อนันตรา หัวหิน)

หลังอิ่มหนำสำราญแล้วก็นั่งรถไปที่ท่าเรือ เพื่อลงเรือไปยังเกาะคาปรี (ใช้เวลาเดินทางประมาณสามสิบนาทีค่ะ)

ไปถึงท่าเรือรอพักหนึ่ง (เพื่อเจอกับไกด์ท้องถิ่น) ก็ได้ลงเรือแบบนี้นะคะ ใช้เวลาเดินทางประมาณสามสิบห้านาทีค่ะ






เมื่อไปถึงปุ๊บก็พาไปลงเรือขนาดกลาง เพื่อเดินทางไปยังหน้าถ้ำบลูกรอตโต เรือก็จอดเรียงรายอยู่อย่างนี้อะค่ะ แต่ไกด์ท้องถิ่นเค้าก็นำลิ่วๆๆ ไปที่เรือได้เลย





นั่งไปชมวิวไปประมาณสักราวๆ ยี่สิบถึงสามสิบนาทีค่ะ (ท่าเรือที่เราจอดเป็นฝั่งตะวันออกของเกาะ ส่วนตัวถ้ำอยู่ฝั่งทิศเหนือค่ะ)




หลังจากนั้นเมื่อไปถึงหน้าถ้ำเราก็เปลี่ยนเป็นเรือขนาดเล็กอีกที (ไล่ขนาดเรือเล็กลงเรื่อยๆ ค่ะ) นั่งได้ประมาณลำละ 4-5 คน อย่างนี้อะนะคะ แต่เมื่อลงแล้วก็ทิปเค้าไปคนละ ๑ ยูโรค่ะ




เข้าไปข้างใน ตรงปากถ้ำเนี่ย ต้องเหมือนที่ถ้ำเขากอบอะค่ะ คือนอนราบบบบลงไปกับเรือเลย (แบบหงายหน้า) คนพายเค้าก็จะกะจังหวะ ดึงโซ่ที่โยงไว้ที่ปากถ้ำเพื่อเข้าไปในถ้ำน่ะค่ะ พอเข้าไปปุ๊บตอนแรกเราจะรู้สึกมืดมิดก่อน (เพราะตายังปรับแสงไม่ได้) แต่สักพักก็จะเห็นสีของน้ำซึ่งเป็นที่มาของชื่อถ้ำ “บลู” กรอตโต ค่ะ





แต่ถ้ำนี้เป็นถ้ำปิด ไม่มีทางลอดไปทางอื่นนะคะ แล้วก็ไม่ใช่ว่าไปแล้วจะได้เข้าตลอด ถ้าน้ำขึ้นมากๆ หรือกรณีคลื่นลมแรงก็ไม่สามารถเข้าได้นะคะ (แต่กรุ๊ปนี้โชคดีมากๆ ที่ได้เข้าไปค่ะ)


หลังจากนั้นเราก็ไต่ขึ้นบันไดไปพักหนึ่งก็ไปถึงลานเพื่อรอขึ้นรถบัสขนาดเล็ก (ประมาณยี่สิบห้าที่นั่ง รวมเบาะพับที่เสริมตรงกลางระหว่างที่นั่งสองข้างแล้ว) ซึ่งรถบัสนี้จะวิ่งเวียนกันไปเรื่อยๆ ค่ะ วิ่งลัดเลาะไหล่เขาชวนหวาดเสียวใช้ได้เลย ตรงไปที่อนาคาปรี (จริงๆ หากอยู่นี่ทั้งวัน ไปตรงเมืองคาปรีด้วยจะดีมากค่ะ เพราะได้ทราบมาว่าของช้อปปิ้งตรงหอนาฬิกากลางเมืองนั้นถูกมั่กๆ แต่ด้วยโปรแกรมนี้มีเวลาน้อย ก็เลยไปที่อนาคาปรีอย่างเดียว)


ขึ้นไปถึงปุ๊บ ก็จะเห็นร้านรวงต่างๆ ขายของที่ระลึกและอื่นๆ (รวมทั้งมีกาแฟ และของอร่อยของอิตาลี – ไอศกรีมด้วย) จริงๆ มีทางขึ้นกระเช้าด้วยนะคะ (ไม่ได้ไป แต่ในหนังสือท่องเที่ยวแจ้งว่าเป็นกระเช้าแบบห้อยขา เห็นวิวริมเหวเลยค่ะ) แล้วก็สำหรับห้องน้ำก็เดินตรงขึ้นบันไดไปนิดหนึ่งก็จะเจออาคารนี้ค่ะ เข้าไปด้านในจะมีห้องน้ำอยู่ (แต่สาวไกด์ฯ ไม่ได้เข้า เลยไม่แน่ใจว่าเป็นห้องน้ำที่ต้องเสียตังค์หรือเปล่านะคะ โดยปกติถ้าเสียก็ประมาณ 50 เซนต์ หรือ 1 ยูโรค่ะ)





ส่วนหนึ่งของร้านขายของที่ระลึกตรงอนาคาปรีค่ะ


จากนั้นเราก็พาลูกค้าไปเดินผ่านบ้านวิลล่าของคนรวยคนหนึ่ง (San Michele ถ้าจะเข้าไปชมต้องเสียค่าใช้จ่ายต่างหากค่ะ) เพื่อไปยังจุดชมวิวของอนาคาปรีค่ะ เดินไปประมาณ 10 นาทีได้ค่ะ ระหว่างทางก็จะผ่านโรงแรมห้าดาวของที่นี่ (เผื่อใครคิดจะไปพักอะนะคะ) พร้อมกับร้านขายของนานาชนิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เกี่ยวกับผลิตผลจากมะนาว เนื่องจากดินแดนแถบนี้เค้าปลูกพวกมะกอก มะนาว ฯลฯ ได้เยอะน่ะค่ะ



โรงแรมห้าดาวบนนั้น




ร้านขายของต่างๆ




วิวตรงจุดชมวิว




จากนั้นก็ช้อปปิ้งกันนิโหน่ย ก่อนไปทานอาหารกลางวันกันที่ร้านอาหารซึ่งมื้อนี้กินแบบอิตาลีค่ะ (ซึ่งจะเสิร์ฟเป็น dish)



จานแรกเป็น Ravioli Caprese Style




จานสองเป็นหมูอบค่ะพร้อมกับสลัด





ส่วนของหวานเป็นไอศกรีมค่ะ (ไม่มีรูปประกอบ เนื่องด้วยจขบ.กินไปเกือบหมดแล้วเพิ่งนึกออก )



หลังอิ่มหนำสำราญแล้วเราก็นั่งรถมินิบัสคันเดิม ไต่ทางอันคดโค้งเหมือนเดิมลงมาที่ท่าเรือค่ะ เพื่อที่จะขึ้นเรือไปที่ฝั่งซอเรนโต้ เรือคราวนี้ก็คล้ายๆ ขามาแหละค่ะ แล้วก็อำลาวิวอันสวยงามของฝั่งคาปรีค่ะ




การนั่งเรือจากเกาะคาปรีไปที่ฝั่งซอเรนโต้ จะใช้เวลาน้อยกว่านั่งจากฝั่งเนเปิ้ลค่ะ ต่างกันประมาณสิบนาที (คราวนี้ขากลับเลยใช้เวลาแค่ ๒๕ นาทีอะค่ะ) นั่งแป๊บเดียวก็ถึงแล้ว เมืองซอเรนโต้เป็นเมืองที่มีเสน่ห์มากๆ เสียดายค่ะ สาวไกด์ฯ ไม่สะดวกถ่ายรูปจนกระทั่งรถไต่เขาขึ้นมาแล้วก็เลยได้คว้ามากดไว้รูปเดียวค่ะ (คือตรงท่าเรือจะเห็นเลยค่ะว่าเป็นบ้านเลาะเลียบริมผาหมดเลย สวยมั่กๆ)





จากนั้นก็เดินทางไปที่ปอมเปอี ใช้เวลาประมาณสี่สิบนาทีค่ะ ก็เห็นภูเขาไฟวิซูเวียสก่อนเลย ซึ่งเป็นภูเขาไฟที่พ่นลาวามาทับถมสองเมืองคือ ปอมเปอีกับเฮอร์คิวลานุมค่ะ แต่เขาขุดแค่เมืองเดียว เนื่องจากที่ปอมเปอีขุดง่ายกว่า (ถูกทับถมตื้นกว่า ที่นี่มีธาตุเหล็กผสมในลาวาน้อยกว่าที่เฮอร์คิวลานุม) ก็เลยขุดมาให้ดูเมืองเดียว







ตามลำดับภาพนะคะ ภูเขาไฟวิซูเวียส / สถานอาบน้ำสาธารณะ / ทางม้าลาย / ซากคนที่ถูกลาวาทับถม



เสียดายว่าตอนที่ไปนี่ส่วนสำนักนางโลมเค้าปิดค่ะ เพราะภาพเฟรสโกที่นี่นี่ เอ่อ..โจ๋งครึ่มมากๆ ถือเป็นจุดขายอย่างหนึ่งของที่นี่เลยค่ะ



จากนั้นเราก็เดินทางกลับไปโรมค่ะ (อย่าตกใจค่ะ งืออออ) ก็เหมือนเดิม ราวๆ สามชั่วโมงครึ่ง ไปทานอาหารเย็น (คราวนี้เป็นอาหารไทย รสชาติใช้ได้เลยค่ะ) และพักกันที่นั่นน่ะนะคะ กว่าจะได้นอนก็ดึกดื่นค่ำคืนเหมือนเดิม เหนื่อยมั่กๆ ค่ะ (เพราะงั้นแนะนำว่าถ้าใครจะทำโปรแกรมตามนี้ แนะนำให้พักเพิ่มอีกคืน หรือถ้าเที่ยวฟลอเรนซ์ด้วยก็ควรเพิ่มอีกคืนค่ะ จากที่โปรแกรมนี้ได้พักแค่ ๔ คืนน่ะค่ะ)



ตอนหน้าพบกับปิซ่า (อย่างเดียวเลยค่ะ เพราะมันจะเสียเวลากับการเดินทางทั้งวันนนนนนนน)



ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ

Create Date : 29 พฤษภาคม 2549 Last Update : 29 พฤษภาคม 2549 18:53:03 น. Counter : 6379 Pageviews.		73 comments
Share Tweet

	๏ ... รามคำแหง แรงคำหาม ... ๏ นกโก๊ก (2 ม.ค. 2567 14:22:51 น.)		The Last Thing on My Mind - Tom Paxton ... ความหมาย tuk-tuk@korat (1 ม.ค. 2567 14:50:49 น.)
	ทนายอ้วนจัดดอกไม้ - จัดดอกไม้ง่ายๆ – แจกันสวัสดีปีใหม่ 2567 - กุหลาบพวงสีชมพู - ขาว ทนายอ้วน (2 ม.ค. 2567 15:16:32 น.)		สวัสดีปีใหม่ Rain_sk (1 ม.ค. 2567 21:38:33 น.)