วันพิพากษา...อัล คาโปน คดีหลบเลี่ยงภาษี











อัล คาโปน คือหนึ่งตัวอย่างของเหล่าทรชนที่ทำให้เยาวชนขอ งสหรัฐอเมริกาเหลวแหลก เต็มไปด้วยยาเสพย์ติดมากที่สุดในช่วง ทศวรรษที่1920-1930




เขาคือ แก็งค์สเตอร์ผู้อื้อฉาวที่สุดใน ประวัติศาสตร์ของชิคาโก้
เขากระทำการโหดเหี้ยม กรรโชกทรัพย์ ข่มขืน ค้าประเวณี ตลอดจนถึงการค้าเหล้าเถื่อน

เรามาดูวีรกรรมของเขากันเถอะขอรับ(เกริ่นมาก จะมากความ)





อัล คาโปน (Al Capone) เจ้าพ่อจอมเถื่อนแห่งแก็งค์เอาท์ฟิต

ในวัยเด็ก เมื่อประมาณ ค.ศ.1889 (น่าจะประมาณนี้ เพราะข้อมูลของข้าน้อยมีนั้น น้อยมาก) คาดว่าเป็นปีเกิดของเขา
เขาเป็นลูกของครอบครัว อิตาลี่ที่อพยพมาในอเมริกา





ในวัยเด็ก อัล คาโปนมีนิสัยที่นักเลง ไม่ยอมใคร ดูๆไปแล้วอาจจะไม่ต่างจากเด็กวัยรุ่นที่กำลังอยู่ในช่วงร้อนแรงด้านอารมณ์ หากว่าในช่วงปีค.ศ.1918 เขาทำหน้าที่ปกป้องเจ้าพ่อรายหนึ่งของชิคาโก้จากการถูกทำร้ายจนหน้าของเขาเป็นแผลเหวอะ หน้าบากจนเขาได้รับฉายาว่า ไอ้หน้าบาก





นอกจากนิสัยที่ก้าวร้าวและดุดัน ใจร้อนของเขา แท้ที่จริงเขามีตัวตนอีกด้านนั่นคือความรักในตัวพวกพ้อง เขาจะไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายลูกน้องของเขาได้เลย แม้ว่าจะเป็นตำรวจ ซึ่งในทศวรรษที่1910ป็นต้นมานั้น เรียกได้ว่าตำรวจมีไว้ประดับเมืองเท่านั้น แต่หาคุณภาพจริงๆไม่ได้สักคน





ลูกสมุนรวมถึงเพื่อนพ้องของอัลคาโปน นั่นคือ แม็คไกวร์ , แฟรงค์ นิตติ ได้ยกย่องและให้ อัล คาโปน เป็นเจ้าพ่อคนล่าสุดของ ชิคาโก้ ความจริงการก้าวไปถึงจุดสูงสุดของอาชญากรรมอย่างรวดเร็วของเขาครั้งนี้น่าจะทำให้เขาพอใจได้แล้ว





*กล่าวถึง แม็คไกวร์ เขาคือ มือปืนที่มีนิสัยกักขฬะ ที่ทำงานให้กับเจ้าพ่อมาเฟียย่านชิคาโก้ ผู้ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทกับ แฟรงค์ นิตติ และเขาก็เป็นมือสังหารในคราบของตากล้องนักข่าวอาชญากรรมคนสำคัญ *





ซึ่งมาภายหลังใครๆต่างก็คิดว่า อัล คาโปน น่าจะเป็นผู้มีส่วนร่วมในการสังหารเจ้านายของเขา ซะด้วย
ในที่สุด ยุคมืดของชิคาโก้จึงได้เกิดขึ้น

ลืมบอกท่านทั้งหลายไปเลย แก็งค์ของอัล คาโปนมีชื่อว่า "เอาท์ฟิต"





เกิดการแย่งชิงที่ทำกินของแก็งค์สเตอร์ของแต่ละแห่ง

อัลคาโปนถูกเข้าข่ายต้องสงสัยในการสังหารเจ้าพ่อแก็ค์ต่างๆ แต่ทว่า เขากลับรอดพ้นจากตารางไปได้หลายครั้งจากการช่วยเหลือของ"อีซี่ เอ็ดดี้"

กล่าวกันว่าทนายผู้นี้ มีความสามารถในระดับที่จะไกล่เกลี่ยข้อพิพาทระดับประเทศได้เลยทีเดียวหากเขาเกิดในช่วงสงครามฝ่ายเหนือ-ใต้ของอเมริกา




ขอกล่าวถึงตัวทนายผู้นี้หน่อยนะขอรับ

ใช่ว่าเขาอยากจะช่วยเจ้าพ่อผู้ชั่วร้ายอย่าง อัล คาโปน แต่เพราะเขาไม่มีทางเลือกเพราะถูกขอร้องแกม บังคับ นั่นเอง

ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลกลใดก็ตามแต่ เอ็ดดี้เป็นทนายความที่เก่งมาก ที่จริงแล้ว ก็เพราะฝีมืออันเก่งกาจในการเล่นแง่ทางกฎหมายของเอ็ดดี้นี่เองที่ทำให้ "บิ๊กอัล" พ้นคุกอยู่ได้เป็นเวลานานซึ่งอัล คาโปนก็แสดงความมีน้ำใจต่อเอ็ดดี้ด้วยการจ่ายเงินค่าจ้างเป็นจำนวนมหาศาล



เอ็ดดี้ไม่เพียงได้รับเงินค่าจ้างเป็นจำนวนมากเท่านั้น แต่ยังได้รับผลประโยชน์อื่นๆ อีกด้วย เอ็ดดี้และครอบครัวได้ครอบครองคฤหาสห์ที่มีรั้วรอบขอบชิดพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกทุกอย่างเท่าที่จะหาได้ในยุคนั้น ที่ดินก็มีขนาดใหญ่จนกินเนื้อที่ไปตลอดย่านหนึ่งของชิคาโก เอ็ดดี้เสวยสุขอยู่กับกลุ่มอันธพาลของชิคาโกและแทบจะไม่ได้ใส่ใจเลยว่ารอบตัวเขานั้นมีแต่สิ่งชั่วร้าย
เพราะเขามีลูกที่เขารักที่สุดนั่นเอง

คาดว่าอัล คาโปนและพรรคพวกขู่กับเขาถึงเรื่องลูกนั่นเอง



คดีที่เป็นตำนานที่สุดของ อัล คาโปนนั่นคือ *คดีสังหารหมู่ในวันเซนต์ วาเลนไทน์*

14 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1929


สมาชิกแก๊งอาชญากรรมของ อัล คาโปน สังหารสมาชิกเจ็ดคนของแก๊ง "บั๊กส์" มอแรน ในชิคาโก เนื่องจาก อัล คาโปน ต้องการกวาดล้างแก๊งอาชญากรรมฝ่ายตรงข้ามเพื่อคุมธุรกิจผิดกฏหมายโดยเฉพาะธุรกิจเหล้าเถื่อนในช่างที่มีการห้ามผลิตและจำหน่ายสุราในสหรัฐฯ เหตุการณ์ครั้งนี้รู้จักกันในชื่อ "การสังหารหมู่ในวันเซนต์วาเลนไทน์






คดีนี้ถือว่าเป็นคดีที่ใหญ่ที่สุดเนื่องจาก "บั๊กส์" มอแรน ในขณะนั้นมีเส้นสายในตำรวจชั้นผู้ใหญ่และสมาชิกที่ถูกสังหารนั้นอยู่ในระดับเจ้าพ่อ,รองเจ้าพ่อและเหล่าผู้ดูแลกิจการดานต่างๆทั้งนั้น




แม้ว่าหลังจากคดีนี้จะทำให้แก็งค์สเตอร์ต่างๆพากัน ซูฮก ให้ก็ตามแต่ ทนายความของเขา "อีซี่เอ็ดดี้"


แม้ว่าเอ็ดดี้จะมีส่วนพัวพันกับกลุ่มคนที่ก่ออาชญากรรม แต่เอ็ดดี้ก็ได้เพียรพยายามสอนลูกชายของตนให้สามารถแยกผิดชอบชั่วดีได้ เอ็ดดี้อยากให้ลูกเป็นคนที่มีคุณธรรมมากกว่าตัวเขาเอง แต่เนื่องจากความมั่งคั่งและอิทธิพลทั้งหมดที่รายล้อมอยู่รอบข้าง ทำให้เอ็ดดี้ตระหนักว่ามีสิ่งสำคัญสองประการที่เขาไม่สามารถมอบให้กับลูกชายได้ซึ่งนั่นก็คือเขาไม่สามารถทำตัวให้เป็นที่ยอมรับต่อสังคมและเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับลูกได้





ในปีทศวรรษ ที่1930 แม้ว่าจะหนักใจ แต่แล้ววันหนึ่ง อีซี่เอ็ดดี้ตัดสินใจได้ เพื่อเป็นการแก้ตัวจากสิ่งผิดที่เขาได้เคยทำไว้ เอ็ดดี้จึงตัดสินใจเข้าพบเจ้าหน้าที่ของรัฐและเปิดเผยความจริงเกี่ยวกับอัล คาโปน หรือ "ไอ้หน้าบาก" เพื่อล้างมลทินให้กับตัวเองและเพื่อสอนให้ลูกรู้จักคำว่าคุณธรรมซึ่งเขาจะต้องขึ้นศาลเพื่อให้การเอาผิดกับอันธพาลกลุ่มนี้และเอ็ดดี้เองก็รู้ว่าผลที่ตามมานั้น เลวร้ายอย่างสุดจะคาดคิด





เอ็ดดี้ ได้ไปให้การต่อ เจ้าหน้าที่เอลเลียต เนส ในการเอาผิดกับเจ้าพ่ออัล คาโปน เพื่อให้ชิคาโก้ เกิดความสงบที่แท้จริง


ทว่า...............

การกระทำของ เอ็ดดี้ นั้นมิได้ อยู่นอกเหนือสายตาของ อัล คาโปนที่คิดว่าคนอย่างเอ็ดดี้ ไม่มีทางยอมเชื่อฟังเขาแน่นอน จึงส่งคนไปขู่ว่าจะฆ่าเขาซะ หากว่าเอ็ดดี้กระทำตนเป็นวีรชนเช่นนี้




แต่แล้ว เขาก็ไปให้การต่อศาลในที่สุด และในปีนั้นเอง อีซี่เอ็ดดี้ก็จบชีวิตลงจากการถูกลอบยิงในถนนสายเปลี่ยวในชิคาโก

แต่สำหรับข้าน้อยแล้ว ข้าน้อยขอยกย่องในความที่เขาไม่กลัวตาย

สิ่งที่เขาทำเป็นเยี่ยงอย่างให้กับลูกชายนับเป็นของขวัญที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่พ่อจะมอบให้กับลูกได้ซึ่งของขวัญชิ้นนี้พ่อต้องหามาให้โดยแลกด้วยชีวิต




และภายหลัง พ่ออย่างเอ็ดดี้ก็มีสวนร่วมในการสร้างวีรบุรุษของชาติอย่างนาวาตรี บุตช์ โอแฮร์แห่งกองทัพเรือสหรัฐ เพราะนาวาตรีผู้นี้คือผู้สละชีพในสงครามโลกครั้งที่ 2 ผู้ได้รับเหรียญ Congressional Medal of Honor และเสียชีวิตในสงคราม เมื่ออายุเพียง 29 ปี





เพื่อไม่ให้วีรกรรมอันยิ่งใหญ่ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองนี้ต้องเงียบหายไปตามกาลเวลา จึงได้มีการตั้งชื่อสนามบินนานาชาติของเมืองชิคาโกซึ่งเป็นบ้านเกิดของเขาว่า "สนามบินนานาชาติโอแฮร์" เพื่อเป็นเกียรติและรำลึกถึงความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวของวีรบุรุษผู้นี้พร้อมสร้างอนุสาวรีย์และตั้งแสดงเหรียญกล้าหาญที่เขาได้รับไว้ให้ประชาชนทั่วไปได้ชมตรงบริเวณระหว่างเทอร์มินัล 1 และ 2


แต่ทุกท่านทราบไหมว่า นาวาตรี บุคค์ โอแฮร์ คือบุตรของ เอ็ดดี้นั่นเอง




หลังจากนั้นอีกเพียงปีเดียว คำสั่งจากรัฐบาลกลางได้ออกคำสั่งให้กวาดล้างขยะสังคม อัล คาโปน เป็นหมายเลข 1 ที่จะต้องถูกกำจัด แม้ว่าอัล คาโปนจะมีเครือข่ายทั่ว ชิคาโก้ก็ตามที





ทว่าเขาต้องรับศึกอีกด้านนั่นคือ ไมเคิล ซุลลิแวน มือปืนที่ทำงานให้กับเจ้าพ่อมาเฟียย่านชิคาโก้ ผู้ซึ่งรักไมเคิลเหมือนกับลูกชายของเขาคนหนึ่ง คือ มิสเตอร์ จอห์น รูนนีย์ ซึ่ง ซุลลิแวน ได้สังหารตากล้องโรคจิต แม็กไกวด์ เพื่อนรัก ของนิตติ ซึ่งเป็นมือขวาของอัล คาโปน และเหมือนกับว่า ตาของอัล คาโปนจะบอดไปข้างหนึ่งซะแล้ว



เพราะความแค้นที่ เจ้าแม็กไกวด์ถูกส่งมาเพื่อสังหาร ซูลลิแวน แต่กลับสังหารภรรยาและลูกชายคนเล็กของ ซูลลิแวนไปซะได้ เพราะสายของเขาถูกกำจัดไป




แต่การสู้กับอัล คาโปนนั้นไม่ง่ายเลย เพราะสายของอัล คาโปน นั้นมีอยู่เต็มไปหมด แม้กระทั้งลูกน้องของเอลเลียตยังถูกซื้อตัว

แต่แล้วสัญญาดีๆ ก็เกิดขึ้นเมื่อทีมของ เนส สามารถติดต่อคนวงในของแก๊งอัล คาโปน ได้ และสามารถสืบช่องหาทางการเลี่ยงภาษีของสมาชิกแก๊งคนอื่นๆ ได้ เช่น น้องชายของอัล คาโปน เจน, กู วิค, แฟรค์ นิตตี และสามารถเอาบัญชีเลี่ยงภาษีของอัล คาโปน มาอยู่ในมือได้สำเร็จ


วันที่18 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1931

ผู้ว่าการรัฐ อิลลินนอยส์ ประกาศครั้งล่าสุดว่า "ไม่มีแก็งค์สเตอร์ที่จะทำความเดือดร้อนอีกต่อไป ตราบใดที่ยังมีเราอยู่"




16 มิถุนายน ปี ค.ศ.1931 คดีหลบเลี่ยงภาษีของอัล คาโปน และพรรคพวก ถูกขึ้นสู่ศาลเป็นนัดแรก คดีนี้ต่อสู้ในศาลหลายเดือน ในช่วงนี้ อัล คาโปน เริ่มเป็นคนดีเป็นพิเศษ เช่น แจกข้าวให้คนจน เอาเงินไปบริจาค ฯลฯ



17 ตุลาคม พ.ศ. 2474 (ค.ศ. 1931 หรือ 77 ปีที่แล้ว) - อัล คาโปน ถูกตัดสินจำคุก 11 ปี ข้อหาหลีกเลี่ยงภาษี



ในปี 1931 คาโปนถูกฟ้องในข้อหาหลีกเลี่ยงภาษีที่กระทำขึ้นในระหว่างปี 1925-1929 เขาถูกฟ้องร้องจากสรรพากรสหรัฐ (IRS)ในข้อหากระทำความผิดทางอาญาเกี่ยวกับเรื่องภาษีเป็นเวลาหลายปี และในปี 1928-1929 รัฐบาลฟ้องร้องให้คาโปนชดใช้ภาษีจำนวน 215,080.48 ดอลลาร์ นอกจากนี้เขายังถูกฟ้องร้องอีกคดีหนึ่งในข้อหาสมรู้ร่วมคิดในการละเมิดกฎหมายในระหว่างปี 1922-1931 อีกด้วย



อัล คาโปนให้การถึงความผิดในทั้ง 3 คดี

โดยเชื่อว่าเขาน่าจะสามารถประนีประนอมยอมความได้ในที่สุด แต่ผู้พิพากษา "เจมส์ เอช.วิลเกอร์สัน" หัวหน้าที่รับผิดชอบคดีนี้ไม่ยอมประนีประนอม ทำให้คาโปนเปลี่ยนคำให้การว่าเขาไม่มีความผิด ซึ่งทำให้ไม่ต้องเข้าสู่กระบวนการประนีประนอม แต่คาโปนก็พยายามจะติดสินบาทคาดสินบนคณะลูกขุน แต่ผู้พิพากษาวิลเกอร์สันก็ตัดสินใจเปลี่ยนตัวคณะลูกขุนในนาทีสุดท้าย



แต่แล้วในวัน 17 ตุลาคม 2474 (ค.ศ.1931)หรือ 77 ปีที่แล้ว ศาลสหรัฐอเมริกาได้ตัดสินจำคุก "อัล คาโปน" เป็นเวลา 11 ปี ฐานหลบเลี่ยงภาษี



อัล คาโปน ต้องถูกย้ายที่คุมขังที่เคาน์ตี ต่อด้วยแอตแลนตา ก่อนถูกส่งตัวมายังอัลคาทราซ แคลิฟอร์เนีย ในที่สุด และที่นี้ศัตรูเก่าอัล คาโปน มีเพียบ เลยโดนรับน้องอย่างอ่วมอรทัย



วันที่ 16 พฤศจิกายน ปี ค.ศ.1939 อัล คาโปน พ้นโทษ แต่ป่วยเป็นโรคซิลิสที่ติดจากในคุก ทำให้เขาต้องรักษาตัวอยู่นาน จนไม่สามารถกลับเป็นใหญ่ได้อีก แต่กระนั้นก็มีทรัพย์สินส่วนตัวที่รอดพ้นมือตำรวจมากมาย เขามอบอำนาจให้เจ้าพ่อคนใหม่ และกลับไปใช้ชีวิตที่เหลืออยู่กับครอบครัวที่ไมอามี่





25 มกราคม ปี ค.ศ. 1947 อัล คาโปน เสียชีวิต เป็นอันปิดฉากตำนานเจ้าพ่อที่เหนือเจ้าพ่อในที่สุด














































Create Date : 17 ตุลาคม 2551
Last Update : 17 ตุลาคม 2551 1:46:57 น.
Counter : 8424 Pageviews.

4 comments
แคดเมียม Cadmium ความอันตรายของมัน สมาชิกหมายเลข 4149951
(8 เม.ย. 2567 07:11:22 น.)
หนังสือและอุปกรณ์การเรียนสำหรับเด็ก ป.1 ของโรงเรียนประถมที่ญี่ปุ่น SN_monchan
(7 เม.ย. 2567 05:39:08 น.)
9 แนวคิดที่ทำให้เรามีชีวิตประจำวันที่ดีกว่าเดิม peaceplay
(31 มี.ค. 2567 09:18:27 น.)
ถนนสายนี้ ... ... มีตะพาบ หลักกิโลเมตรที่ 348 "ฉุกละหุก" toor36
(24 มี.ค. 2567 10:27:24 น.)
  
สมัยนี้คุกในเมกาพัฒนาไปเยอะ

ตามกาลเวลาค่ะ
โดย: โอน่าจอมซ่าส์ วันที่: 17 ตุลาคม 2551 เวลา:1:48:10 น.
  
วันหลังจะถ่ายรูปเรื่องของal capone ให้ชม ถนนเเถวๆpier 39 ในซานฟรานค่ะ

จำได้ว่าติดคุกที่อัลคาทราซ เคยเห็นภาพบ่อยๆค่ะ
โดย: YUCCA วันที่: 17 ตุลาคม 2551 เวลา:3:49:26 น.
  
สุดยอด
ขอบคุณมากที่นำมาฝาก
นั่งอ่านจนจบ
เดี๋ยวจะดูคลิปต่อให้ครบด้วย


ใส่ข้อความที่นี่.. Enter Text..
สร้าง Comment ง่ายๆ ด้วยตัวคุณเอง..คลิ๊กที่นี่
โดย: p_tham วันที่: 17 ตุลาคม 2551 เวลา:8:04:04 น.
  


สวัสดีจ๊ะ แวะมาบอกว่าหน่อยอัพบล็อกใหม่แล้ว มีความสุขในการทำงานวันศุกร์นะจ๊ะ

โดย: หน่อยอิง วันที่: 17 ตุลาคม 2551 เวลา:12:16:15 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Offway.BlogGang.com

นอกลู่นอกทาง
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]