จุมพิตรัตติกาล My Sweet Vampire บทที่ 3 (Yuri)

 
ช่วงโพล้เพล้ที่ดวงอาทิตย์สีส้มใกล้จะโบกมือลาขอบฟ้า ผู้หญิงใส่ชุดเสื้อฮู้ดสีดำแขนยาว สะพายเป้สีเข้ม รูปร่างสูงโปร่งก้มหน้าเดินงุดๆ ออกจากโรงนาร้าง ลัดเลาะไปตามคันนาแบบไม่กลัวเปรอะเปื้อน ผ่านไปยังสวนมะม่วง
“แง!”
เสียงร้องไห้ของเด็กหญิงดังแว่วมาเข้าหู เรียกร้องความสนใจให้ร่างที่ก้าวขายาวๆ ชะงักฝีเท้า เปลี่ยนทิศทางไปยังต้นเสียงที่อยู่ไม่ไกล หญิงสาวก้มมองเด็กน้อยที่สูงไม่ถึงเอว
“ร้องทำไม?” น้ำเสียงถามแหบแห้ง
เด็กคนนั้นหยุดร้องแทบจะทันที เงยหน้ามองหญิงสาวแปลกหน้าอย่างตะลึงไปหลายวินาที ก่อนชี้นิ้วไปยังลูกโป่งสีชมพูที่ลอยติดอยู่ใต้กิ่งมะม่วงที่สูงกว่าพื้นเกินสามเมตร
สาวสวยมองตามนิ้วน้อยๆ เข้าใจความปรารถนาของอีกคน จึงสาวเท้าไปใต้ตำแหน่งเชือกของลูกโป่งที่ลอยนั้น แม้หล่อนจะสูงราวเมตรเจ็ดสิบเซนติเมตรเศษ แต่การจะกระโดดคว้าเชือกที่สูงขนาดนั้น ไม่น่าจะใช่เรื่องง่าย
ทว่ากลับไม่เป็นปัญหาใหญ่สำหรับ ‘อารียา’
หล่อนกระโดดลอยตัวขึ้นสูงมาก เอื้อมมือคว้าเชือกไว้ ก่อนยืนบนพื้นอย่างเชื่องช้า ราวกับมีปีกคอยพยุงอยู่ด้านหลัง ย่อตัวลงยื่นเชือกลูกโป่งส่งให้เด็กน้อยที่ยืนจ้องตาแป๋ว
“ของเธอ”
“ขะ ขอบคุณค่ะ” คนตัวจิ๋วยิ้มกว้างอย่างมีความสุข ทั้งที่น้ำใสๆ ยังไหลนองเต็มแก้ม
“อืม” สาวสวยผงกหัวน้อยๆ  
“นุ่น!” เสียงมารดาตะโกนเรียกลูกสาวมาแต่ไกล
เด็กน้อยหันไปตอบ
“แม่!”
“ร้องทำไม?” แม่ถามอย่างเป็นห่วง เมื่อก้าวมาถึงตัวลูกน้อย
“ลูกโป่งลอยไป พี่สาวช่วยเก็บให้” เด็กน้อยเล่า พร้อมทำไม้ทำมือประกอบ
“ไหนพี่สาว?” เธอกวาดตามองหาเพื่อขอบคุณ แต่มองไปรอบๆ ก็ไม่เห็นเงาผู้ใด จึงหวาดหวั่นถึงอันตราย ด้วยระยะนี้มีข่าวคนร้ายโรคจิตออกอาละวาด รีบคว้ามือลูกน้อย “ไปกลับบ้านกัน”
อารียาที่นั่งนิ่งอยู่บนกิ่งไม้ มองตามสองแม่ลูกจนลับตา ตั้งใจว่า จะรอให้อาทิตย์ลับขอบฟ้าจึงเคลื่อนไหว เพื่อหาอะไรทาน หลังเสบียงที่ติดเป้หมดไปแล้ว
หล่อนเป็นผู้หญิงผิวขาวหน้าฝรั่ง ผมสีทอง หน้าตาสวย จมูกโด่งเป็นสัน นัยน์ตาคู่สวยสีฟ้า รูปร่างสูงโปร่งประดุจนักกีฬาอาชีพ สวมยีนดำและเสื้อแขนยาวมีฮู้ดคลุมหัว ออกเดินทางท่องเที่ยวไปทั่วโลก ใช้ชีวิตไปวันๆ ตั้งแต่สูญเสียคนสำคัญไปเมื่อนานมาแล้ว เนิ่นนานจนแทบจดจำเวลาไม่ได้ว่า...ผ่านมานานแค่ไหน
แวมไพร์สาวเคยมาแถวนี้หลายปีก่อน นึกไม่ถึงว่าจะได้กลับมาเยือนอีกครั้ง
ที่นี่ไม่ค่อยเปลี่ยนไปเท่าไหร่
สาวสวยกวาดตาเห็นเถือกสวนไร่นา ผิดกับหลายเมืองที่ผ่านไปแค่ไม่กี่ปีกลายเป็นอาคารสมัยใหม่ ปลูกผักปลูกผลไม้ยังต้องใช้โรงเรือนมิดชิด ให้ลูกค้ากินปุ๋ยเคมีและยาฆ่าแมลงกันจนเป็นปกติ จึงไม่แปลกที่จะมีโรคภัยไข้เจ็บตามมามากมาย   
การเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องปกติของโลกใบนี้ ไม่มีอะไรจีรังยั่งยืน บางอย่างเหมือนกำลังก้าวไปข้างหน้า แต่แท้จริงอาจจะถอยหลังลงคลองแบบไม่รู้ตัวอยู่ก็ได้
อารียานั่งเล่นนอนเล่นบนต้นไม้ จนไร้แสงตะวัน จึงกระโดดลงมาจากต้นไม้ มุ่งหน้าไปยังแสงไฟฟ้าที่เห็นอยู่ลิบๆ จากตัวเมือง ขยับฮู้ดคลุมหัว สองมือซุกกระเป๋า แล้วเดินไปตามถนนสายเล็กๆ เพื่อไม่ให้เป็นเป้าสายตาใคร
ผ่านไปชั่วโมงเศษก็เข้าตัวเมือง หล่อนชะงักฝีเท้าเมื่อได้ยินสิ่งผิดปกติมาจากตลาดสดที่กำลังจะวาย จึงสอดส่ายสายตาเพ่งหา
“อ๊าก!”
เสียงผู้ชายคนหนึ่งกรีดร้องออกมาอย่างเจ็บปวด แต่โดนเสียงรถ เสียงเพลง และอีกสารพัดเสียงกลบ ยากที่คนทั่วไปจะได้ยิน เขาดิ้นไม่นานก็นอนนิ่งเงียบไป...คาดว่าตายแล้ว   
นัยน์ตาคู่สวยหรี่ลงเล็กน้อย รีบก้าวยาวๆ มองหาจุดเกิดเหตุที่อยู่ห่างออกไป ใบหน้าใต้ฮู้ดยังคงนิ่งเฉย ประหนึ่งเจอะเจอกับเรื่องแบบนี้จนชินชา
หล่อนเลือกหลบข้างเสาต้นใหญ่ ที่อยู่ห่างออกไปยี่สิบกว่าเมตร เพ่งมองเขม็งไปยังมุมมืด แลเห็นภาพชวนสยดสยองยิ่งกว่าในภาพยนตร์ บางอย่างมีรูปร่างเหมือนคนสามคน ผิวหนังพุพอง มีสี่เขี้ยวยาวนิ้วเศษโผล่ออกมานอกปาก รุมทึ้งดูดเลือดเหยื่ออย่างตะกละตะกราม ไม่ต่างจากสัตว์ป่า  
พวกมันมาถึงนี่เชียวเหรอ!
อารียารู้ว่าพวกมันเป็นใคร...ไม่ใช่สิ เป็นตัวอะไรต่างหาก 
หลายปีก่อน หล่อนเจอ ‘สัตว์ดัดแปลงหรือสัตว์ทดลอง’ ซึ่งก็คือคนเป็นๆ ที่ได้รับสารเคมีอะไรบางอย่างเข้าไป ทำให้มีความดุร้ายและหิวกระหายเลือด ไม่ต่างจากผีดิบ
ครั้งนั้นอารียาโดนรุมเจ็ดต่อหนึ่ง กว่าจะจัดการพวกมันได้หมด สิ้นเปลืองแรงและบาดเจ็บไม่น้อย จึงต้องหาที่พักฟื้น โดยซ่อนตัวใกล้กับโรงเลี้ยงวัว อาศัยดื่มเลือดวัวนานเป็นอาทิตย์ จึงหายเป็นปกติ
ตั้งแต่นั้น แวมไพร์สาวจึงหลีกเลี่ยงที่จะปะทะกับพวกนั้นเวลาอยู่เป็นกลุ่ม คิดไม่ถึงว่า ที่พัทยาก็มีเจ้าสัตว์ประหลาดนี้ออกเดินเล่นด้วย
ปกติหล่อนไม่ชอบสอดจมูกไปแส่เรื่องชาวบ้าน อยากใช้ชีวิตสุขสงบมากกว่า แต่ก็อดตั้งคำถามขึ้นในใจไม่ได้ หลังเห็นอสุรกายพวกนี้ออกอาละวาด
พวกมันมาจากไหน ใครเป็นคนสร้าง และคนสร้างต้องการอะไร?
ร่างสูงโปร่งเคยได้ยิน เรื่องกลุ่มเฮลธ์แคร์ที่คิดจะทำให้คนทั้งโลกเป็นอมตะ หรือมีชีวิตที่ยืนยาวขึ้น
ตอนแรกที่ฟังหล่อนมองเป็นเรื่องขำขัน กับความคิดที่จะทำในสิ่งที่ฝืนกฎธรรมชาติ แต่ตอนนี้อารียาไม่คิดว่า มันเป็นเรื่องตลกอีกแล้ว นึกส่ายหัวกับความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ของมนุษย์ ที่นับวันจะขัดแย้งกับธรรมชาติอย่างรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้เกิดภัยพิบัติมากมายทั่วโลกแบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน     
พลันคิดว่า ในโลกนี้สิ่งที่ชั่วร้ายโหดเหี้ยมที่สุดอาจไม่ใช่แวมไพร์ แต่เป็นคนที่ชอบยกตัวว่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่ประเสริญที่สุด แต่ว่าชอบทำร้ายทำลายเผ่าพันธุ์อื่น ไม่เว้นแม้แต่พวกเดียวกันเอง
น่าสมเพช...แต่ตอนนี้หิวชะมัด  
หลังคิดแบบนั้น อารียาเดินเลี่ยงไปอีกทาง เพื่อหาอาหารใส่ท้องบรรเทาความหิวโหยของตนก่อนเป็นอันดับแรก   
 
ณ บ้านของเชน หัวหน้ากลุ่มฮันเตอร์กริช
การประชุมถูกจัดขึ้นอย่างเร่งร้อน หลังได้รับแจ้งว่า สมาชิกถูกฆ่าหนึ่ง บาดเจ็บสอง สองคนไม่ทราบชะตากรรม ทั้งที่หน่วยลาดตระเวนกลุ่มนี้จัดเป็นพวกมีความสามารถสูง ทำให้เหล่าสมาชิกออกอาการเต้นไม่น้อย โดยเฉพาะครอบครัวและญาติของคนทั้งห้า
หลังทุกคนมาพร้อมหน้าตามเวลานัด เชนโบกมือให้แซมรายงานสิ่งที่เกิดขึ้น ด้วยเขาเป็นผู้ไปถึงสถานที่เกิดเหตุเป็นชุดแรก นักล่าหนุ่มเล่าทุกข้อมูลที่รู้ และที่สอบถามจากผู้รอดชีวิต พร้อมข้อสันนิษฐานเรื่องศัตรูที่น่าจะมีมากกว่าหนึ่งกลุ่มตามที่เกวลินได้พูดไว้
บรรยากาศในห้องประชุมตึงเครียดกว่าทุกครั้ง ใบหน้าชายสูงวัยหลายคนซีดขาวแทบไร้สีเลือด
ยกเว้นดอน กับสองพ่อลูกออสวีนกับแซม ที่มีสีหน้าเรียบเฉย    
ที่ผ่านมา กลุ่มฮันเตอร์ไม่เคยเจอกับศึกหนักมาก่อน เหลือผู้เคยมีประสบการณ์ต่อสู้กับปีศาจร้ายจริงๆ เหลือนับนิ้วได้ ด้วยดินแดนแถบนี้ค่อนข้างร้อนชื้น ไม่เหมาะเป็นถิ่นที่อยู่ของผีดูดเลือด จะหลงมาบ้างก็มีจำนวนไม่มาก        
สิ่งที่น่าหนักใจที่สุดสำหรับกลุ่มคิลเลอร์กริชก็คือ ช่วงนี้เป็นช่วงกลุ่มนักล่าผลัดใบ รุ่นเก่าที่มีฝีมือส่วนใหญ่จะวางมือ ไม่ก็ล้มหายตายจาก คนที่เหลือก็ได้รับการยกย่องเป็นที่ปรึกษา จะอยู่ในกลุ่มสูงวัย แค่เดินให้ตรงทางยังลำบาก หลักไม่ค่อยดีกันหมด ไม่มีปัญญาจะไปวิ่งไล่ล่าอะไร
ส่วนพวกเลือดใหม่ ถนัดใช้ฝีปาก ส่วนฝีมือไม่เป็นสับปะรด ขืนส่งไปคงไม่พ้นส่งไปตายเสียเปล่าๆ
ซึ่งเหล่านี้เป็นเรื่องที่สมาชิกรุ่นใหญ่ของกลุ่มคิลเลอร์รู้ดี จึงอยู่ในสภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
...เด็กไม่เอาไหน เป็นความผิดของผู้ใหญ่นั่นแหละ ไม่ต้องไปโทษคนอื่น   
ส่วนพวกที่มีฝีมือโดดเด่นพอเป็นหน้าเป็นตาให้กลุ่มกริช คือพวกนักล่ารุ่นกลาง นำโดยแซม ลูกชายของออสวีน เพื่อนรักของดอน
หลังฟังแซมกล่าวจบ เชนกวาดตามองสมาชิกซึ่งนั่งอยู่สิบกว่าคน แล้วถามแบบไม่เจาะจง
“มีแผนยังไง?”
“ส่งหน่วยลาดตระเวนไปเพิ่ม ค้นให้ละเอียดทุกซอกทุกมุม เราต้องหาแหล่งกบดานพวกมันเจอแน่ เจอเมื่อไหร่ก็ยกคนไปถล่มให้ราบ” ไทรีสชายเลือดร้อนพูดเป็นคนแรก เจ็บใจเกินที่สมาชิกต้องล้มตาย
หากฉันยังหนุ่มกว่านี้สักสิบปี ฉันจะออกไปฉะกับพวกมัน
“ส่งคนออกไปสุ่มสี่สุ่มห้าได้ไง ขืนทำแบบนั้นก็ไม่ต่างจากส่งเนื้อเข้าปากเสือสิ บ้าหรือเปล่า” อาดัม พี่ชายของเชนขัดขึ้น เขาเป็นพวกไม่ชอบความเสี่ยงสูง   
“ไม่ส่งคนออกไปหา จะรอให้พวกมันฆ่าฝ่ายเดียวหรือไง” ไทรีสพูดสวนกลับ
“ฉันไม่ได้พูดแบบนั้น”
“ต้องส่งคนไปหาข่าวก่อน ดีไม่ดีมันอาจจะออกไปจากพัทยาแล้วก็ได้” คนที่สามพูดบ้าง
“มองโลกสวยไปไหม” ฝ่ายที่สนับสนุนไทรีสประชด กับพวกที่คิดอะไรง่ายไปหมด   
“พูดแบบนี้หาเรื่องกันใช่ไหม?”
“เปล่าสักหน่อย แค่พูดลอยๆ”
ตัวแทนสองฝ่ายยืนขึ้น หมายจะต่อยตีกัน  
เปรี้ยง!
เสียงฝ่ามือกระแทกโต๊ะอย่างแรง ทำให้ทุกคนหยุดกึก หันไปมองผู้ทำเสียง  
“จะทะเลาะกันทำไม มันใช่เวลาเหรอ ศัตรูอยู่ข้างนอก ถ้าแรงเหลือเฟือนัก ออกไปจัดการกับมันสิ มากัดกันเองทำไม” เชนตำหนิเสียงเขียว ไม่คิดสนใจหัวหงอกหัวดำ
สามัคคีกันสักเรื่องจะได้ไหม...บ้าเอ๊ย!
สมาชิกที่ปากเก่งเมื่อกี้เงียบเป็นเป่าสาก ไม่มีใครกล้าเสนอหน้าไปต่อกรกับสัตว์ประหลาดเลยสักคน เพราะรู้ว่าออกไปก็ไม่พ้นตายแน่  
เฒ่าชแร แก่ชรา...เก่งแต่ปากเสียจริง ทุเรศ!
เชนส่ายหน้าอย่างผิดหวัง หันไปถามคนที่พอจะพึ่งพาได้ แบบอดีตวีรบุรุษของกลุ่มกริช
“ดอนนายคิดว่าไง?”
เจ้าของร้านขายของเก่านิ่งไปชั่วครู่ เพื่อเรียบเรียงคำพูด
“ฉันคิดว่าควรส่งคนออกไปสอดแนม ขอย้ำว่าแค่สอดแนมนะ เราต้องรู้กำลังและที่ซ่อนของพวกมันก่อน ไม่ควรผลีผลามปะทะ เพื่อเลี่ยงการสูญเสียโดยไม่จำเป็น”
หัวหน้ากลุ่มพยักหน้า ปรายตาไปยังออสวีนบ้าง
“แล้วนายล่ะ?”
“ฉันเห็นด้วยกับดอน” พ่อของแซมตอบหนักแน่น สมัยก่อนตอนเป็นนักล่า เขาเคยอยู่ทีมเดียวกับดอน ตอนนี้วางมือเป็นที่ปรึกษา ปล่อยให้แซมลูกชายทำหน้าที่ภาคสนามแทน  
อาดัมขยับปากจะพูดค้าน แต่พอเชนจ้องเขม็งมา จึงรีบหุบปาก กลัวสายตาดุดันของน้องชาย ที่จริงแล้ว เขาหมายตาอยากเป็นหัวหน้ากลุ่มกริช แต่ติดตรงที่ใจไม่กล้าพอ ประกอบกับไร้ฝีมือ จึงได้เป็นแค่รองหัวหน้าที่ไร้อำนาจ
มัวแต่หัวหดแบบนี้ กลุ่มกริชถึงได้กระจอกมากในสายตาคิลเลอร์กลุ่มอื่น...ถ้าไม่ใช่พี่น้อง ฉันไล่นายออกไปนานแล้ว
เชนได้แต่คิด ไม่กล้าพูดออกไป ถ้าไม่ใช่เพราะอายุที่มากขึ้นทุกวัน กับปัญหาสุขภาพรุมเร้า เขาก็อยากจะออกไปแสดงฝีมือเอง มากกว่าคอยสั่งการอยู่บนหอคอยงาช้างแบบนี้
ความแตกแยกของผู้อาวุโสและเหล่าที่ปรึกษา ทำให้หัวหน้าแบบเขาแอบกังวลถึงอนาคตกลุ่มกริชว่า ควรจะฝากภาระนี้ไว้กับใครดี โดยไม่คิดจะส่งต่อให้ภากร ลูกชายไม่เอาไหนของตัวเอง ขืนให้หมอนั่นเป็น มีหวังกลุ่มกริชคงล่มสลาย...ไม่ช้าก็เร็ว
“ตกลงมีสองทางเลือก คือ ส่งคนไปสอดแนมพวกนั้น กับรอดูทีท่าของพวกมันก่อน” เชนพูดเสียงเรียบ “ขอให้ทุกคนช่วยกันโหวตเลือก เราจะใช้เสียงส่วนใหญ่”
หัวหน้ากลุ่มนักล่าไม่คิดจะใช้เสียงเอกฉันท์ เพราะคำตอบแบบนั้นมีความเป็นไปได้ต่ำมาก มีแค่ไม่กี่เรื่องที่ทุกคนเห็นพ้องต้องกัน ส่วนใหญ่เป็นเรื่องงานกินเลี้ยง หรือผลประโยชน์ของตัวเอง      
ภายในห้านาทีที่ประชุมก็ได้คำตอบ เชนจึงหันหน้าไปหาคิลเลอร์หนุ่มฝีมือดีที่เขาไว้ใจ   
“แซม”
“ครับ”
“พรุ่งนี้นายเลือกลูกน้องฝีมือดีๆ สักเจ็ดแปดคนพร้อมอาวุธ ออกหาพวกมันให้เจอ เจอแล้วรีบมารายงานฉัน ห้ามปะทะเด็ดขาด เข้าใจไหม?” เชนย้ำคำสั่ง
“ครับหัวหน้า” แซมรับคำหนักแน่น  
ผู้นำกลุ่มกวาดตามองผู้ที่โหวต NO ทั้งสามคน ด้วยความรู้สึกดูแคลน แต่ไม่พูดอะไรออกไป ในฐานะหัวหน้าต้องเคารพในการตัดสินใจของทุกคน
“สำหรับคืนนี้ขอปิดประชุมแค่นี้ ถ้าใครรู้เบาะแสปีศาจพวกนั้น ก็ให้รีบโทรมาบอกด้วย เราต้องช่วยกันดูแลสอดส่อง เพื่อความปลอดภัยของทุกคน...ขับรถกลับกันดีๆ ล่ะ”
“ครับ” สมาชิกทุกคนแยกย้ายกันกลับในเวลาเกือบเที่ยงคืน

OoXoO



Create Date : 28 มีนาคม 2562
Last Update : 28 มีนาคม 2562 14:03:10 น.
Counter : 658 Pageviews.

0 comments
๏ ... เสียดายเงิน ค่าจ้างด่า ... ๏ นกโก๊ก
(9 เม.ย. 2567 21:03:39 น.)
ใครบ้าง ตอบได้ ว่าทำไมรถไฟฟ้าสายสีเหลือง 28มี.ค ถึงวันนี้9เม.ย.67ยังจอดคา ไว้กลางทางอยู่ jiab bangkok
(9 เม.ย. 2567 11:52:33 น.)
ถนนสายนี้..มีตะพาบ ( 349) วันใดที่เธอรู้สึกเหมือนไม่มีใคร peeamp
(8 เม.ย. 2567 12:38:27 น.)
"วันใดที่เธอรู้สึกเหมือนไม่มีใคร โปรดมองมาทางนี้ เธอจะเห็นใครคนหนึ่งที่รอเธอ" อาจารย์สุวิมล
(8 เม.ย. 2567 08:12:29 น.)
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

Nuinang.BlogGang.com

นิ้วนาง-เดียนา
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 7 คน [?]

บทความทั้งหมด