Strawberry Kiss บทที่ 2 (YURI) ๒
“ยายสา!” เสียงพรรัตน์เรียกชื่อลูกสาวคนโตอย่างยินดี หลังไม่ได้เจอหน้ากันมาตั้งแต่หลังสงกรานต์ “จะมาทำไมไม่โทรบอกแม่ก่อน” “สวัสดีค่ะแม่” เธอยกมือไหว้บุพการี ก่อนหันไปไหว้พรรณอร น้าสาวแท้ๆ “สวัสดีค่ะน้าอร” “เปียกทั้งตัวแบบนี้ ไปอาบน้ำอาบท่าก่อนเถอะ เดี๋ยวค่อยมาคุยกัน” น้าสาวพูดอย่างเป็นห่วง “ไปเถอะเดี๋ยวเป็นหวัด” แม่เธอพูดเสริม “ค่ะ” สาวหน้าแขกรับคำอย่างว่าง่าย ก่อนลากกระเป๋าใบโตไปยังห้องนอนของตัวเองที่อยู่ในสุดของบ้าน ตรงข้ามห้องเธอเป็นห้องรมัย ห้องนอนของเธอมีขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ มีเตียงนอนตู้เสื้อผ้าและโต๊ะหนังสือจัดวางเป็นระเบียบเรียบร้อย ซึ่งมารดาจะให้ขวัญเด็กลูกจ้างมาทำความสะอาดสม่ำเสมอ เธอเปิดตู้หยิบเสื้อผ้าชุดใหม่และผ้าเช็ดตัว ไปอาบน้ำสระผม พอผมยาวสีเข้มแห้งหมาดๆ ก็ออกมาหาแม่ที่ห้องรับแขกเพื่อสนทนา “ตกลงรอบนี้กลับมาอยู่บ้านเลยหรือเปล่า?” มารดาปล่อยคำถามแรก ทันทีที่ลูกสาวนั่งบนเก้าอี้รับแขกไม้ โดยมีน้าสาวร่วมรับฟังอยู่ด้วย ใจร้อนจริงๆ แม่ใคร คิดบ่นในใจ “ค่ะ อยู่เลย ไม่กลับไปแล้วล่ะ” แม่ขมวดคิ้ว แล้วพูดโพล่งออกมา “เขาไล่ออกเหรอ?” “ไม่ใช่ค่ะ โรงงานมันเจ๊งต่างหาก” เธอรีบอธิบาย “แล้วไป” มารดาพึมพำเหมือนพูดกับตัวเอง “เศรษฐกิจมันไม่ดี ธุรกิจก็รอดยาก” พรรณอรเอ่ยเสริม เห็นข่าวในหนังสือพิมพ์และโทรทัศน์วิเคราะห์ ว่าบริษัทใหญ่ๆ หลายแห่งหันมาใช้เครื่องจักรและหุ่นยนต์มากขึ้น ประหยัดกว่าการจ้างคน ยิ่งซ้ำเติมให้มีผู้ตกงานยอดพุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ ...ต่อไปคงเหลือไม่กี่อาชีพที่หุ่นยนต์ทำแทนไม่ได้ สองแม่ลูกพยักหน้าเห็นพ้อง “แล้วคิดจะทำอะไรต่อ? มาช่วยแม่ทำสวนดีไหม? ที่ข้างหลังยังว่างอีกตั้งเยอะ” หนูเพิ่งมายังไม่ถึงชั่วโมงเลยนะคะ ขอพักหายใจหน่อยได้ไหม ลูกสาวยิ้มแหย แต่ไม่กล้าพูดออกมา “ใจเย็นสิคะพี่รัตน์ ให้เวลายายสาบ้าง บางทีเด็กๆ อาจอยากจะทำงานนอกบ้านมากกว่า” พรรณอรพูดเข้าข้างหลานสาวคนโปรด “ใช่ค่ะแม่ สาอยากลองสมัครงานที่นี่ดู อาจมีอะไรให้ทำบ้าง” เธอรีบพูดเสริม คนเป็นแม่ทำหน้าหงิกงอไม่พอใจ “รมัยไม่ค่อยอยู่บ้านคนหนึ่งแล้ว นี่ลูกก็จะทิ้งแม่อีกคน” คนเป็นแม่กล่าวอย่างน้อยอกน้อยใจ เอ่อ แม่ขา ปกติแม่ก็อยู่กับน้าอรสองคน มาตั้งพักใหญ่แล้วนะคะ “สาไม่ได้คิดจะไปทำงานไกลๆ นะคะแม่ แค่อยากได้งานประจำเช้าไปเย็นกลับแถวนี้ แม่จะได้ไม่เหงาไง” ลูกสาวตอบแบบเอาใจ “แน่นะ?” คนเป็นแม่ถามย้ำ “ค่ะ” เธอผงกหัว “ไว้น้าจะลองไปถามแถวๆ นี้ดูนะ ว่ามีงานอะไรบ้าง” พรรณอรพูดแทรกขึ้น เธอค่อนข้างมีมนุษย์สัมพันธ์อันดีกับเพื่อนบ้าน “ขอบคุณค่ะน้าอร” เธอยิ้มบางๆ ให้น้าสาวที่แสนใจดี “เย็นนี้แม่จะให้ทำกับข้าวของโปรดลูก เอาอะไรดี ทอดมันหัวปลี กับชะอมน้ำพริกกะปิดีไหม?” “ดีที่สุดค่ะ” ลูกสาวยิ้มกว้างอย่างถูกใจช่วงทำงานหาอาหารอร่อยถูกปากค่อนข้างยาก โดยเฉพาะทอดมันหัวปลี “งั้นก็ตามนั้น” พรรัตน์พยักหน้ากับพรรณอร ซึ่งรับผิดชอบเรื่องอาหาร “กับข้าวอีกสองอย่างก็ตามใจอรเลยนะ เย็นนี้คงมีแค่เราสามคน เผื่อข้างล่างหน่อย” “ได้ค่ะพี่รัตน์” น้องสาวพยักหน้า “แล้วไมกับปองล่ะคะ?” รสาถามถึงอีกสองคน รมัยน้องสาวกับปองคุณน้องชาย ที่ไม่ได้เจอมาหลายเดือน ผู้ใหญ่สองคนถอนใจพร้อมกัน แล้วแม่ของเธอก็เป็นคนตอบ “กลับเฉพาะวันหยุด นี่ไม่เห็นหน้ามาเกือบสองอาทิตย์แล้ว โทรไปก็บอกงานยุ่ง” “งั้นเหรอคะ” สาวหน้าแขกพึมพำ เริ่มเข้าใจแล้วว่า แม่คงเหงาจริงๆ เพราะวันหนึ่งเจอแค่พรรณอร และสามคนพ่อแม่ลูกคนงานที่อาศัยในเรือนเล็ก พรรัตน์จะออกจากบ้านก็ตอนไปตามนัดหมอที่โรงพยาบาล จึงไม่ค่อยได้พบกับผู้คนมากนัก ฉันเป็นลูกที่ไม่ไหวเลย ต่อไปจะอยู่กับแม่ให้มากๆ นึกตำหนิตัวเอง ตั้งใจจะปรับปรุงตัวเป็นลูกที่ดี หลังใช้ชีวิตตามอำเภอใจมาพักใหญ่ ลืมที่จะคิดถึงจิตใจของคนเป็นแม่ “เล่าให้แม่ฟังสิว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมโรงงานถึงปิด?” พรรัตน์ถามอยากรู้ไปเสียทุกเรื่องของลูกสาว รสาเล่าเรื่องแบบคร่าวๆ เธอเห็นแนวโน้มของธุรกิจว่า ยอดขายลดต่ำติดต่อกันหลายเดือน แต่ไม่ถึงกับขาดทุน คาดไม่ถึงว่าผู้บริหารจะตัดสินใจปิดโรงงานเร็วเกินคาด “แล้วบุปล่ะ?” พรรัตน์ถามถึงเพื่อนของลูกสาว “กลับมาด้วยกันค่ะ” “ก็ดี พ่อบุปคงโล่งใจ” มารดาเปรยขึ้น เพราะเข้าใจหัวอกพ่อแม่ดีว่ารักและห่วงลูกขนาดไหน ขณะที่สามคนกำลังคุยกันอยู่นั้น เสียงโทรศัพท์บ้านก็ดังขึ้น กริ๊ง! กริ๊ง! พรรณอรที่อยู่ใกล้ที่สุดลุกขึ้นไปรับสาย “สวัสดีค่ะ บ้านคุณพรรัตน์ค่ะ” น้องสาวเจ้าของบ้านพูดกับคนในสายแล้วเงียบฟัง “สักครู่ค่ะ” เธอหันไปพยักหน้าให้กับพี่สาว เจ้าของบ้านรีบลุกมารับโทรศัพท์ “พรรัตน์ค่ะ” ขณะที่แม่ของเธอสนทนากับใครก็ไม่รู้ รสากระซิบถามน้าสาว “ใครคะ?” “ป้าทอง แม่บ้านเรือนเทวัญ” “อ๋อ” หลานสาวพยักหน้า เธอรู้จักเรือนแห่งนั้นเคยไปวิ่งเล่นสมัยเด็ก เรือนเทวัญเป็นของจุรี ผู้หญิงสูงวัยใจดี ตั้งอยู่บนถนนเส้นเดียวกัน แต่อยู่ลึกเข้าไปจนสุดถนน มีอาณาเขตกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา ด้วยบรรพบุรุษเคยเป็นเจ้าเมืองมาก่อน เป็นเศรษฐีใจบุญของแถบนี้ จุรีเป็นแม่ม่ายมานาน มีลูกฝาแฝดรับช่วงบริหารกิจการหลักของตระกูล ลูกชายดูแลโรงแรมและรีสอร์ทในตัวเมือง ส่วนลูกสาวรับผิดชอบสวนดอกไม้ราคาแพง ส่งขายทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยสวนแห่งนี้ยังเป็นต้นแบบของการเกษตรสมัยใหม่ และยังผลิตปุ๋ยอินทรีย์ขายให้ชาวบ้านในราคาถูกอีกด้วย แต่น่าแปลกตรงที่ชาวบ้านในละแวกนี้ ยังนิยมใช้การเกษตรแบบเก่าใช้ปุ๋ยเคมีและยาฆ่าแมลง ซึ่งให้ผลผลิตที่ต่ำมาก ยิ่งทำยิ่งขาดทุน แต่ก็ยังดันทุรังทำต่อไป จนหลายครอบครัวไม่พอกิน ต้องไปกู้หนี้ยืมสินจนดอกเบี้ยท่วมหัวเพิ่มพูนขึ้นทุกวัน ...ทั้งที่อาชีพเกษตรกรในต่างประเทศ เป็นหนึ่งในอาชีพที่ทำเงินได้มหาศาลอาชีพหนึ่งเลยทีเดียว แต่ที่เกษตรกรไทยส่วนใหญ่ทำคือ เปลี่ยนไปปลูกพืชตามกระแส อะไรกำไรดีก็เฮโลตามไปปลูกบ้าง พอผลผลิตล้นตลาด ก็กอดคอกันเจ๊งระเนระนาด บางคนสิ้นหวังหมดอาลัยตายอยากถึงขั้นฆ่าตัวตายไปเลยก็มี ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ควรจะเกิดขึ้นเลย ทางออกของปัญหาที่ควรทำ คือ ไปศึกษาหาวิธีการใหม่ๆ ที่ให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า โดยหาตัวอย่างบุคคลที่ประสบความสำเร็จ สร้างรายได้หลักหมื่นหรือหลักแสนบาทต่อเดือน ซึ่งมีผู้ทำสำเร็จแล้วจำนวนไม่น้อย โดยใช้หลักการเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวง ร.๙ นำไปดัดแปลง ให้เหมาะสมกับความต้องการของตน ‘คำสอนของในหลวง ร.๙ มีค่ายิ่งกว่าตำราทองคำ’ ฝรั่งยกย่องว่าดีว่าเลิศ แต่คนไทยส่วนใหญ่กลับมองข้าม ...ช่างน่าเศร้าใจยิ่ง “แล้วป้าทองโทรมามีอะไรเหรอคะ?” สาวหน้าคมอดถามไม่ได้ น้าสาวส่ายหน้า ไม่กล้าซอกแซกถามผู้หญิงอาวุโสคนนั้น “ไม่รู้เหมือนกัน” รสาสงสัย หลังเห็นแม่ปรายตามองมาทางตนบ่อยๆ เกี่ยวอะไรกับฉัน? “น้าลงไปเตรียมทำกับข้าวก่อนนะ จะสี่โมงแล้ว ช้าเกินเดี๋ยวจะหิวตาลายกัน” พรรณอรพูดขึ้น หลังมองนาฬิกาแขวน “ค่ะ” หลานสาวยิ้ม พอน้าสาวคล้อยหลัง เธอคว้าหนังสือพิมพ์มาอ่านฆ่าเวลา พลิกเปิดอ่านคอลัมน์ ‘หางาน’ เผื่อจะโชคดี พรรัตน์ที่เลิกคุยโทรศัพท์ กลับมานั่งที่เก้าอี้ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “โชคดีจริงๆ” แม่พูดยิ้ม “อะไรคะ?” ลูกสาวถามขึ้น โดยไม่ละสายตาจากหนังสือตรงหน้า “พรุ่งนี้เช้าลูกไปที่เรือนเทวัญนะ” หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองมารดาอย่างงงๆ “ไปทำไมคะ?” “ไปทำงานสิ ที่สวนโสภาคย์ต้องการพนักงานเพิ่มพอดี ป้าทองก็เลยโทรมาถามแม่ แม่ก็เลยแนะนำลูกไป ไปทำงานแบบเช้าไปเย็นกลับ ตอนเช้าเอามอเตอร์ไซค์ไปทิ้งไว้ที่เรือนเทวัญ ไปถึงก่อนเจ็ดโมงครึ่ง จะมีรถไปส่งลูกที่สวน ตอนเย็นก็มาส่ง ลูกแค่ขับรถไปๆ กลับๆ นิดเดียว สะดวกดีออก” อะไรจะรวดเร็วปานนั้น มาถึงปุ๊บก็ได้งานปั๊บ รสาทำหน้าประหลาดใจ “ชุดทำงานใช้เสื้อยืดกางเกงยีน ถ้าให้ดีก็เสื้อคลุมแขนยาวอีกตัว” มารดาเล่าต่อ “ช่วงทดลองงานหนึ่งเดือนได้หมื่นห้าพัน ถ้าผ่านโปรก็ขึ้นเป็นหมื่นแปด เงินเดือนสูงขนาดนี้ แม่ว่าลูกน่าจะชอบ มีสวัสดิการด้วยนะ เจ็บป่วยเบิกได้” “โห!” สาวร่างเล็กทำตาโตกว้าง ไม่คิดว่างานที่สวนดอกไม้จะเงินเดือนดีขนาดนี้ “แปลว่าตกลง?” ไม่ตกลงก็โง่สิ “ทำค่ะทำ” ลูกสาวรับคำอย่างเร็ว ยิ้มกว้างที่ได้งานใหม่เร็วกว่าที่คิด ส่วนจะถูกใจหรือไม่ ค่อยว่ากันอีกที โชคดีจริงๆ ด้วย พรรัตน์เล่าข่าวดีให้กับพรรณอรฟัง ขณะทานอาหารเย็น มื้อนี้จึงเป็นงานเลี้ยงต้อนรับและฉลองได้งานใหม่ไปพร้อมกันทีเดียว
พอเอนหลังบนเตียง รสาก็นึกขึ้นมาได้ว่าลืมอะไรไป แย่จัง! ฉันลืมถามชื่อคุณคนนั้น แต่ไม่เป็นไร ฉันสังหรณ์ใจว่า เราต้องได้เจอกันอีกเร็วๆ นี้แน่...ราตรีสวัสดิ์นะคุณ หญิงสาวหลับตาพริ้มโดยมีรอยยิ้มบนหน้า เพื่อสะสมพลังงานไว้ เตรียมพร้อมไปทำงานใหม่ในวันพรุ่งนี้
ข่มใจ ครั้นได้พบสาวหน้าหวานตะลึงลาน หัวใจพาลสั่นเทาวูบหวั่นไหว แอบชำเลืองนึกอยากรู้ลูกสาวใคร แต่ข่มใจทำเมินนิ่งเงียบไว้. OoXoO ขอบคุณที่กรุณาติดตามค่ะ ขอบคุณสำหรับทุกคอมเม้นท์ และทุกหัวใจนะคะ ^^ ในตอนหน้า จะค่อยๆ เล่าความเป็นมาเป็นไปของสองสาว ส่วนจะเป็นอย่างไร ก็ต้องติดตามค่ะ ขอบคุณค่ะ นาง ^^ OoXoO |
บทความทั้งหมด
|