จุมพิตรัตติกาล My Sweet Vampire บทที่ 10 (Yuri)
๑๐
 
เพ้อ
แรกพบพักตร์คมสวยตะลึงลาน
โฉมสะคราญทำใจพี่ไหวหวั่น
อยากรู้จักอยากใกล้ชิดอยากสัมพันธ์
ได้แต่ฝันเพ้อเจ้อไปฝ่ายเดียว.
 
อารียาก้าวเท้ากลับที่พักก่อนสว่าง ในสภาพเหนื่อยอ่อนพร้อมจะหลับสนิทได้ทุกเมื่อ หลังปะทะกับพวกสัตว์กลายพันธุ์เยอะเกินกว่าที่คาดเอาไว้ แต่นั่นไม่น่าตกใจเท่าความแข็งแกร่งของพวกมัน
คิดไม่ถึงเลยว่า พวกนั้นจะแข็งแกร่งได้ถึงขนาดนี้
ปกติหล่อนจะหลีกเลี่ยงการปะทะกับสัตว์กระหายเลือด ชนิดทางใครทางมัน สาเหตุสำคัญเป็นเพราะพวกนั้นไม่น่าสนใจ ไม่อร่อย เย็นชืดไม่ต่างจากเลือดของเผ่าของตน    
หากครั้งนี้ไม่ใช่เพื่อเธอคนนั้น แวมไพร์สาวคงไม่กระโจนไปต่อยตีกับพวกนั้นแน่
ให้ตายสิ! ถ้าไม่ใช่เพราะเกวลิน...ฉันคงไม่ลืมตัว   
เป็นอีกครั้งที่หล่อนนึกถึงสาวหน้าคม ซึ่งคลับคล้ายกับคนรักเก่า ราวกับเป็นฝาแฝด แต่ทั้งสองก็ให้ความรู้สึกที่แตกต่างกัน  
อารียาไม่อยากคิดเลยว่า ทรมานขนาดไหนกว่าจะผ่านวันคืนที่แสนโหดร้ายกับการสูญเสียคนรัก แต่กลับไม่อาจแก้แค้นฆาตกรจอมโหด ปล่อยให้มันลอยนวลหายไป บ่มเพาะแค้นยาวนานกว่าศตวรรษ เพื่อรอวันเอาคืน แต่ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ถึงจะมีวันนั้น   
ที่ผ่านมาสาวสวยบอกกับตัวเองว่า จะไม่รักใครอีกนอกจากไลล่า ชีวิตนี้อยู่เพื่อแก้แค้นเท่านั้น
แต่พอเจอกับเงาของอดีตคนรัก อารียากลับชะงักงันลังเล และมีความหวังลึกๆ บางอย่างเกิดขึ้นในใจ  
...ความรู้สึกอยากมีใครสักคนอยู่เคียงข้าง ไม่แยกจากกันไปไหน ร่วมทุกข์ร่วมสุขไปตราบนานเท่านาน ไม่อยากอยู่แบบอ้างว้างเดียวดาย ไร้จุดหมายแบบนี้
เป็นไปไม่ได้หรอก คนกับแวมไพร์ไม่มีทางใช้ชีวิตร่วมกันได้
ความคิดค้านผุดขึ้นในสมอง การอยู่เป็นอมตะสำหรับผีดูดเลือด แค่ต้องมีทักษะหลบเลี่ยงลิ่มแหลมๆ ไม่ให้แทงโดนหัวใจ ไม่ไปอาบแดด ก็มีชีวิตยืนยาวต่อไปได้เรื่อยๆ ผิดกับคนที่มีชีวิตเปราะบาง โดนอะไรนิดอะไรหน่อยก็เจ็บก็ช้ำ ผีดูดเลือดออกแรงบีบคอเบาๆ ก็ตาย ไม่ต่างจากที่มนุษย์ขยับมือบี้มดบี้ปลวก  
เราต่างกันเกินไป
สาวฝรั่งถอนหายใจยาว ทั้งที่ปกติไม่จำเป็นต้องหายใจ   
หลายปีก่อน ความเจ็บปวดทรมานในหัวใจนี้ได้เบาบางลง หลังแวมไพร์สาวได้บังเอิญผ่านมาเจอกับเกวลินในวัยเด็ก และได้ช่วยชีวิตอีกฝ่ายเอาไว้จากรถยนต์ที่เกือบชนขณะเดินข้ามถนน
ใบหน้าของเธอตอนนั้น รั้งให้อารียาแอบติดตามอยู่หลายอาทิตย์เหมือนต้องมนตร์สะกด ก่อนตัดใจเดินทางเรื่อยเปื่อยไปประเทศอื่น
ผ่านไปหลายปี หล่อนมาที่นี่เพราะมีนัดกับเพื่อน แต่ดันเจอะกับเกวลินแบบไม่ทันตั้งตัว  
หรือโชคชะตาจะดลบันดาลให้เราพบกันอีก
เป็นครั้งแรกที่นึกเชื่อในเรื่องปาฏิหาริย์หรือพรหมลิขิต ทั้งที่ผ่านมาไม่เคยจะปักใจเชื่อเลยสักครั้ง ด้วยผีดูดเลือดนับเป็นพวกนอกรีต เป็นสิ่งแปลกปลอม เป็นความชั่วร้ายที่ต้องถูกกำจัดทิ้ง 
และที่สำคัญคือ...เป็นศัตรูกับพระเจ้า
ตลกสุดๆ...โชคชะตามีจริงที่ไหนกัน
อารียายิ้มเย้ยตัวเองกับความคิดไร้สาระที่ผุดขึ้นมาในสมอง
ทั้งที่แวมไพร์ส่วนใหญ่เดิมก็เป็นมนุษย์ธรรมดา ที่ถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นผีดูดเลือด มีเพียงส่วนน้อยที่เป็นแวมไพร์สายเลือดบริสุทธิ์ ซึ่งแทบไม่เจอะเลยในรอบร้อยกว่าปีที่ตระเวนท่องเที่ยวไปรอบโลก คาดว่าหลังสงครามใหญ่ คงสลายกลายเป็นขี้เถ้าไปเยอะ     
หล่อนหยุดยืนหน้าอาคารพาณิชย์ที่ตั้งอยู่ในตลาดสด เงียบสงัดในเวลาตีสามเศษ ยกมือเคาะเบาๆ สองครั้งที่ประตูเหล็ก
“ใครคะ?” เสียงผู้หญิงร้องถามออกมา
“อารียา”
ทันทีที่ได้ยินคำตอบ ประตูเหล็กก็เปิดขึ้น ส่งเสียงดังสั่น หญิงชุดดำพูดกับแวมไพร์สาวอย่างคุ้นเคย
“คุณไอเชิญค่ะ”
“ขอบใจนะ”  
พออารียาก้าวเข้าไป ริต้าก็รีบปิดประตูลงล็อคตามเดิม
“เฟสยังไม่มาเหรอ?”
“ยังค่ะ เห็นบอกว่าอีกสองสามวัน” แม่มดสาววัยเยาว์ตอบอย่างนอบน้อม เดินนำแขกพิเศษไปยังห้องพักที่อยู่ชั้นใต้ดิน “คุณไออยากได้เลือดไหมคะ?”
สาวสาวเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
“มีเหรอ?”
“มีสำรองนิดหน่อยค่ะ ใส่ไว้ในตู้เย็นในห้องแล้วค่ะ” ริต้าบอก 
“เยี่ยมมาก” สาวผมทองเอ่ยชม “ฝากแจ้งท่านทีน่าด้วยนะว่า ที่พัทยามีพวกสัตว์กลายพันธุ์ของไครอนอาละวาดอยู่”
“พวกมันมาถึงที่นี่ด้วยเหรอคะ” คนฟังทำหน้าตื่นๆ     
“อืม”
“แย่จัง! มิน่าถึงได้มีข่าวคนหายบ่อยๆ” ริต้าพึมพำเหมือนพูดกับตัวเอง เมื่อหยุดหน้าห้องพักของแขก ก็เปิดประตูให้ “ต้องการอะไรเพิ่มก็บอกฉันนะคะ”
“ขอบใจนะริต้า”
“ยินดีค่ะ” แม่มดน้อยยิ้มกว้าง ก่อนหมุนตัวเดินกลับไปข้างบน
อารียาก้าวเข้าในห้อง แล้วปิดประตูล็อค หรี่ตาเล็กน้อยโดยไม่จำเป็นต้องเปิดไฟ ตรงไปหยิบถุงเลือดที่วางเรียงในตู้เย็นมาดื่มอย่างหิวกระหาย ไม่เหลือติดก้นถุงแม้แต่หยดเดียว   
ไม่ได้ดื่มหลายวัน อร่อยสุดๆ    
เลือดถุงที่สาวสวยดื่มเป็นวิทยาการของเผ่าแม่มด ที่สังเคราะห์ของเหลวที่ให้สารอาหารไม่ต่างจากเลือดมนุษย์ แต่ให้รสชาติที่อร่อยกว่า มีคุณค่าสารอาหารสูงมาก ซึ่งเผ่าแม่มดผลิตขึ้นเพื่ออารียาโดยเฉพาะ
ชีวิตของผีดิบไม่ยุ่งยากเรื่องอาหารเหมือนคน สามารถดื่มกินได้เกือบทุกอย่าง แต่อะไรก็ไม่อร่อยและไม่ได้สารอาหารเท่าเลือด และโชคดีมากตรงที่ไม่ต้องกินวันละสามสี่มื้อ   
หากเป็นแวมไพร์อายุเยอะๆ ร้อยกว่าปี ดื่มเลือดอาทิตย์ละถุงก็เพียงพอแก่การดำรงชีพ เว้นแต่บาดเจ็บต้องดื่มเยอะขึ้นหน่อย เพื่อให้ร่างกายซ่อมแซม
อารียาถอดเสื้อฮู้ดสีดำตัวนอกและเสื้อตัวในออก สำรวจบาดแผลจากการต่อสู้ แผลที่บริเวณหน้าท้องมีขนาดยาวเกือบสองคืบ กำลังสมานอย่างรวดเร็ว ส่วนแผลที่ต้นแขนหลายแห่งเป็นแค่รอยขีดข่วน ไม่น่าเป็นห่วง ใช้เวลาพักฟื้นไม่เกินหนึ่งหรือสองวัน ก็ไม่เหลือร่องรอยอะไร
หล่อนหยิบเสื้อสีดำล้วนตัวใหม่จากเป้มาสวม นอกจากสีดำ ก็มีอีกสีที่โปรดปราน...สีชมพู อันเป็นความชอบส่วนตัว
สาวสวยทิ้งตัวนอนบนเตียง เพื่อพักผ่อนก่อนพระอาทิตย์ขึ้น  
คนส่วนใหญ่จะเชื่อว่าแวมไพร์กลัวแสงแดด แต่ในความเป็นจริงคือ ผีดูดเลือดที่อายุร้อยปีขึ้นไปในสภาพสมบูรณ์ สามารถทนแสงจ้าได้พอสมควร แต่หากโดนแดดนานเกิน จะมีอาการแสบๆ คันๆ ผุพองเป็นตุ่มเหมือนเป็นโรคผิวหนัง และสายตาพร่ามัวมองไม่ชัด ก่อนผิวจะเริ่มไหม้และสลายไป ซึ่งแก้ไขเบื้องต้นด้วยการสวมเสื้อฮู้ดปิดผิวให้มากที่สุด รวมถึงสวมแว่นกันแดด   
ดูผิวเผินแวมไพร์จะไม่ต่างจากคนทั่วไปนัก เว้นแต่ตอนโชว์เขี้ยวแหลมออกมา นัยน์ตาจะเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ   
สัตว์กลายพันธุ์เมื่อคืนแข็งแกร่งมาก ถ้าพวกมันออกไปล่าเป็นฝูง อะไรก็ต้านไม่อยู่...สุดท้ายมนุษย์คงหมดโลกแน่
อดนึกเป็นห่วงมนุษย์ผู้แสนบอบบางไม่ได้ ไม่เข้าใจเลยสักนิดว่า ไครอนค้นคว้าสัตว์ประหลาด ที่มีเลือดผีดิบเป็นส่วนประกอบไปเพื่ออะไร แถมปล่อยให้ปีศาจร้ายออกอาละวาดต่อเนื่องในหลายประเทศ ฆ่าคนดูดเลือดอีกต่างหาก ซึ่งแน่นอนว่า ความผิดเหล่านี้มักยัดเยียดให้กับเหล่าผีดิบกลายเป็นผู้ต้องสงสัยอันดับต้นๆ  
ก่อนหน้าสงครามใหญ่ ผีดิบภายใต้การปกครองของราชสำนักหรืออาณาจักรรัตติกาล เข้มงวดเรื่องการล่าคนมากขึ้น ออกประกาศห้ามฆ่าคนเป็นผักปลาตามอำเภอใจ เว้นแต่เป็นการป้องกันตัว หากทำผิดกฎ พวกผีดิบนอกคอกจะถูกตั้งค่าหัว เพื่อให้ไปรับโทษ ซึ่งโทษสูงสุดคือ ถูกจับผึ่งแดดจนสลายกลายเป็นขี้เถ้า
ต่อมาผีดูดเลือดที่มีเงินถุงเงินถัง หันไปดื่มเลือดสัตว์ หรือเลือดผสมไวน์ แม้จะไม่หอมหวานอร่อยเท่าเลือดสดๆ แต่ก็แก้ขัดไปได้ นานๆ ครั้งก็ออกไปหยิบยืมถุงเลือดจากโรงพยาบาล หรือธนาคารเลือด จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่สถานพยาบาลต่างๆ จะมีเลือดสำรองไม่พอตลอด
...เลือดถุงที่หายไปแบบไร้ร่องรอย ล้วนแล้วเป็นฝีมือของพวกผีดูดเลือดทั้งนั้น
แต่บัดนี้ไม่มีอาณาจักรรัตติกาล ไม่มีราชสำนัก ผีดูดเลือดหลายกลุ่มได้ตั้งตนเป็นใหญ่หมายเป็นราชาหรือราชินี ประกอบกับมีสัตว์กลายพันธุ์ของไครอนออกอาละวาดหลายแห่ง เชื่อว่าพวกคิลเลอร์จะต้องออก มาเคลื่อนไหว
อีกนัยก็คือ การเตรียมเปิดฉากสงครามเลือดครั้งใหม่ ไม่ช้าก็เร็ว
ประวัติศาสตร์กำลังจะย้อนกลับมาอีกแล้วหรือ?
หล่อนนึกหดหู่ใจอย่างบอกไม่ถูก การผ่านโลกมานานเกินก็ไม่ใช่เรื่องสนุกนะ ออกจะน่าเบื่อเสียด้วยซ้ำ ขยับเปลือกตาปิดแล้วเข้าสู่ภวังค์นิทรา เพื่อพักผ่อนเอาแรง  
 
ณ ห้องวิจัยลับของกลุ่มไครอน
“อะไรนะ!” มาร์คทำหน้าโกรธ หลังได้รับรายงานว่าสัตว์ร้ายเบอร์ ๓๗ ถูกกำจัดไปเมื่อคืน เขารู้สึกเหมือนโดนใครมากระตุกหนวด กัดฟันกรอด นัยน์ตาแทบจะถลนออกมานอกเบ้า “ใคร! ไอ้พวกฮันเตอร์กริชใช่ไหม?”
“ไม่ใช่ครับ” เตวิชรีบปฏิเสธอย่างเร็ว “ดูจากสภาพศพ น่าจะเป็นฝีมือผีดูดเลือด”
ชายหนุ่มทำหน้าประหลาดใจ ไม่คิดว่าจะได้ยินคำตอบแบบนี้  
“ผีดูดเลือด ที่นี่มีด้วยเหรอ?”
ในแถบทวีปเอเชียจะมีแวมไพร์แวะเวียนมาน้อยมาก เพราะแถบเส้นศูนย์สูตรมีอากาศร้อนจัด โดยเฉพาะประเทศไทย จึงไม่น่าอยู่ในลิสต์สถานที่น่าท่องเที่ยวของพวกนั้นแน่ แค่นอนอาบแดดไม่กี่นาที ก็อาจจะสลายเป็นฝุ่นผง   
เยี่ยม! จะได้รู้กันไปว่า สัตว์ร้ายของฉันหรือผีดูดเลือด ใครจะเก่งกว่ากัน?
มาร์คเกลียดความพ่ายแพ้อย่างที่สุด และคิดหาวิธีสร้างตัวใหม่ที่เก่งกว่าเดิม  
“รีบสร้างตัวใหม่ออกมาให้เร็วที่สุด เอาแบบที่แข็งแกร่งกว่าเดิมนะด็อก” เขาย้ำ
“ครับ” ลูกน้องวัยห้าสิบเศษรีบรับคำอย่างกระตือรือร้น
มาร์คหรี่ตาลงเล็กน้อย ความสนเท่ห์บังเกิดขึ้นในใจ ด้วยเขารู้จักธรรมชาติของผีดิบมาก หรืออาจจะมากกว่าธรรมชาติของคนเสียด้วยซ้ำ
“แล้วตัวที่ชนะเบอร์ ๓๗ โผล่มาจากไหน พอจะรู้ไหม?”
“ยังไม่ทราบข้อมูลอะไรเลยครับ” อีกฝ่ายตอบตามตรง เหงื่อเริ่มซึมหน้าผาก 
“อะไรนะ!” ชายหนุ่มตวาดเสียงเข้มอย่างไม่พอใจ เดินหงุดหงิดงุ่นง่านไปมา ก่อนออกคำสั่ง “ต้องจับเป็นมาให้ได้”
หา!
หัวหน้าห้องแล็บอึ้งงั้นไปหลายวินาที กับคำสั่งที่ไม่ต่างจากส่งลูกน้องไปตาย เขาพอรู้ว่ามาร์คเลือดเย็นขนาดไหน สามารถทำได้ทุกอย่างเพื่อเป้าหมาย โดยไม่แยแสกับชีวิตใครทั้งสิ้น สั่งกำจัดง่ายกว่าเป็นสิบเท่า
ใครจะกล้ารับงานนี้ล่ะเนี่ย
เตวิชคิดในใจ
“ไม่แน่เราอาจจะได้ ผีดูดเลือดสายพันธุ์หายากก็ได้” ประธานกลุ่มไครอนพูดอย่างมีความหวัง
เขารับมรดกสถานวิจัยแห่งนี้มาจากปู่ ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้ง เคยเห็นผีดิบจริงๆ แค่เพียงตัวเดียว ตัวที่ถูกขังอยู่ในห้องใต้ดินที่ถูกจับมานานมากแล้ว ซึ่งเขาก็ไม่รู้รายละเอียดเกี่ยวกับผีดูดเลือดตนนั้นนัก นอกจากเคยได้ยินปู่เล่าว่า แวมไพร์ตนนั้นมีสายเลือดค่อนข้างบริสุทธิ์ แต่บริสุทธิ์แค่ไหนมาร์คก็ตอบไม่ได้   
ถ้าหากจับแวมไพร์ได้อีกตัว แล้วคัดเอาเฉพาะเซลล์ที่แข็งแรงไว้ สัตว์กลายพันธุ์รุ่นใหม่ๆ ก็น่าจะแข็งแกร่งขึ้นไปอีก   
มาร์คคิดแต่เพียงว่า การได้เชื้อแวมไพร์ที่แข็งแกร่งมา อาจทำให้การทดลองของเขาได้ผลดีขึ้นกว่าเดิม
“ครับ” เตวิชรับคำ น้อยครั้งที่เขาจะเอ่ยคัดค้านผู้เป็นเจ้านาย แม้จะไม่เห็นชอบด้วยนักก็ตาม
“รีบจับให้ได้โดยเร็ว ก่อนที่มันจะหนีไปที่อื่น” ประธานหนุ่มเร่งตามประสาคนใจร้อน “แล้วเอานักล่าที่จับได้มาทดลองเร็วๆ ฉันอยากได้สัตว์เลี้ยงตัวใหม่ ที่มีคุณสมบัติร้ายกาจยิ่งกว่าเดิม”
“ผมจะรีบดำเนินการทันที”
“ดี”  
หัวหน้าห้องแล็บค้อมหัวต่ำ มองตามหลังเจ้านายของตัวเองเดินผ่านประตูไป ก่อนเป่าลมออกริมฝีปากอย่างโล่งอก หลังนึกว่าจะโดนต่อว่าเป็นชุดที่สัตว์ทดลองเบอร์ ๓๗ ถูกฆ่าตาย
รอดตัวไปทีเรา
เขานึกในใจ ก่อนยกโทรศัพท์ติดต่อไปยังอีกห้อง เพื่อเร่งผู้ช่วยให้เตรียมตัวสำหรับการทดลองครั้งใหม่
 
มาร์คเดินกลับไปยังห้องทำงาน ใบหน้าหล่อเหลายกยิ้มเจ้าเล่ห์ ประหนึ่งกำลังพึงพอใจสุดๆ คว้าขวดแก้วสูงที่บรรจุของเหลวสีแดงเทใส่แก้วก้าน แล้วยกดื่มรวดเดียวหมด นัยน์ตาเปลี่ยนเป็นสีเข้มราวกับสีของโลหิต แวบหนึ่งก็เปลี่ยนกลับมาเป็นสีเดิม
…ที่แท้ในเครื่องดื่มนั้นมีเลือดผสมอยู่ด้วย    
เขาถลกแขนเสื้อเชิ้ตซ้ายขึ้น มีรอยเข็มฉีดยาหลายสิบรอย อันเกิดจากการที่ฉีดเซรุ่มของแวมไพร์กับตัวเอง แต่ในปริมาณน้อยกว่าของสัตว์กลายพันธุ์ในหลอดแก้วที่ทดลอง มองเวลาเห็นว่าครบกำหนด จึงตรงไปโต๊ะทำงาน หยิบหลอดฉีดยาที่วางเรียงอยู่ในลิ้นชักเกือบสิบหลอด ฉีดเข้าเส้นเลือดตัวเองหนึ่งหลอด จากนั้นก็นั่งนิ่งๆ พักหนึ่ง    
ชายหนุ่มรู้สึกว่าตนแข็งแรงกว่าเมื่อก่อน ทั้งพละกำลังและความว่องไว ทว่านัยน์ตาไม่สามารถทนแสงแดดจ้าช่วงเที่ยงวันได้ แต่ร่างกายทนแสงแดดได้โดยไม่บุบสลาย ซึ่งถือว่าดีกว่าผีดูดเลือดทั่วไป     
มาร์คต้องการปรับปรุงสัตว์ร้ายของตนให้ดีขึ้นเรื่อยๆ ส่วนหนึ่งก็เพื่อความเป็นอมตะของตนเอง
ความฝันของปู่ใกล้จะเป็นจริงแล้วนะครับ อีกไม่นานหลานของปู่จะเป็นอมตะ 

OoXoO



Create Date : 18 เมษายน 2562
Last Update : 18 เมษายน 2562 19:13:25 น.
Counter : 581 Pageviews.

0 comments
: รูปแบบของการตระหนักในการรับรู้ : กะว่าก๋า
(15 เม.ย. 2567 05:37:45 น.)
เรา คือ เอไอ ชีวภาพ..ที่ ทุกอย่าง ทำงาน อัตโนมัติ..อวิชชา ไม่รู้ โง่ ทุกข์..โดย อัตโนมัติ 15 CXO.Asia
(15 เม.ย. 2567 05:12:22 น.)
: หยดน้ำในมหาสมุทร 35 : กะว่าก๋า
(13 เม.ย. 2567 05:51:40 น.)
lead to better decision-making พุดดิ้งรสกาแฟ
(11 เม.ย. 2567 21:19:04 น.)
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

Nuinang.BlogGang.com

นิ้วนาง-เดียนา
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 7 คน [?]

บทความทั้งหมด