โลกที่เราเห็น โลกที่เราเป็น และ โลกที่เราฝัน
เมื่อสัปดาห์ก่อน......ลงไปทำงานต่างจังหวัด  ด้วยความตั้งใจดี๊ดี  โลกสวยๆ อยากช่วยชาวบ้าน แต่ไม่เคยสัมผัสจริงๆ ว่า ชาวบ้านแท้จริง เป็นอย่างไร อยู่ด้วยบริบทไหน พบเจอกับอะไรบ้าง

เรารู้แต่ว่า อาจจะลำบาก ยากจน สาธารนูปโภคเข้าไม่ถึง รายได้น้อย การศึกษาไม่มีคุณภาพ ปัญหายาเสพติด และ แม่วัยรุ่น และอื่นๆ อีกมากมาย  แต่ในบางแง่มุม ก็ทำเอา โลกสวยที่วาดฝัน สั่นคลอนพอประมาณ.... เพราะ ทุกปัญหา เชื่อมโยงถึงกัน ผูกกันอิรุงตุงนัง  

และที่สำคัญ....เริ่มรู้ซึ้ง ว่า ในฐานะคนเมือง อย่างเราๆ ไม่มีทางที่เราจะใช้ชีวิตอยู่สุขสบาย ตั้งหน้าตั้งตาทำมาหากิน แค่มีงานทำดีๆ มีธุรกิจของตัวเอง เลี้ยงปากเลี้ยงท้อง เที่ยวเมืองนอก กินข้าวร้านอาหาร ใช้ของแบรนด์เนม ถ่ายรูปโพสลงเฟส  หรือ มองหาที่เรียนดีๆ อนาคตดีๆ ให้ลูก   อย่างเดียวอีกต่อไป ถึงเวลาเปลี่ยนผ่านทางการเมือง  เราก็คาดหวัง จะได้เห็นอะไรที่ดีกว่า....(ณ จุดนี้ สิ่งที่ดีกว่า จากภายนอก มันมีอยู่จริงหรือไม่ ก็น่าจะพอตอบคำถามได้ด้วยตัวเอง)   พอมีม็อบ ก็วิจารณ์ ถึงเวลาใส่เสื้อสี ก็แห่กันไปเดินขบวน....  มุมมองคนเมืองอย่างเรา อาจจะมองเห็นสภาพความเป็นจริง แค่เสี้ยวนึงเท่านั้นเอง

อนาคตดีๆ ที่เรามองไว้สำหรับตัวเราและลูกเรา อาจจะเป็นแค่ภาพลวงตา เพราะบ้านที่เราอยู่  เสาปักอยู่บนขี้เลน ชัดๆ แล้วเราจะอยู่อย่างมีความสุขต่อไปได้อีกนานแค่ไหน ?

เมื่อวาน มาร์ค ซัคเกอร์เบิร์ก และ พริสซิลล่า ออกมาเขียนจดหมายถึงลูกสาว แม็กซ์ พร้อมกับประกาศยกหุ้น  99% ของตัวเองให้การกุศล ในระยะเวลาที่ยังมีชีวิต มูลค่า กว่าล้านล้านบาท เพื่อพัฒนาโลกให้ดีกว่าที่เป็นอยู่นี้ 

เนื้อความในจดหมายภาษาไทย  ชอบที่เค้าแปลไว้มากเลยค่ะ ยกมาเลยแล้วกัน ทีแรกว่าจะเขียนถึงเรื่องนี้พอดี  เพราะเราเชื่อในสิ่งเดียวกัน แทนถ้อยคำจากหัวใจเลยจิงๆ  (เพียงแต่ว่า เราไม่ใช่มาร์ค รึเมียมาร์ค เลยไม่มีเงินบริจาค ล้านล้านอะ 55) 

"พ่อและแม่รู้ดีว่าเบื้องหน้าของลูกนั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยสิ่งต่างๆที่รอลูกอยู่ 
และนั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้เราเริ่มไตร่ตรองดูว่าโลกแบบไหนกันนะ ....

ที่พ่อและแม่ปรารถนาให้ลูกเติบโตขึ้น 

ก็คงเหมือนคนเป็นพ่อแม่ทุกคนเราปรารถนาให้ลูกเติบโตขึ้นบนโลกที่ดีกว่าที่เป็นอยู่ 
โลกที่พาดหัวข่าวทุกวันนี้ อาจมีแต่เรื่องที่ไม่พึงปรารถนา 
แต่ในขณะเดียวกัน อีกหลายแง่มุมของโลกใบนี้นั้นก็ค่อยๆพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ 

เรามีสุขภาพที่ดีขึ้น ความยากจนที่ลดน้อยลง มีความรู้ในเรื่องต่างๆที่มากขึ้น เทคโนโลยีในสาขาต่างๆที่ก้าวหน้าไปมากและ คนบนโลกนี้..ก็เริ่มเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันมากขึ้น 

 นั่นหมายความว่า...“หนูควรมีชีวิตที่ดีกว่าพวกเรามาก” 
 ซึ่งพ่อ และ แม่ จะทำในส่วนที่เราสามารถทำได้ เพื่อให้หนูมีชีวิตที่ดีขึ้นจริงๆโดยที่เราทำนั้น 
ไม่ใช่เพียงเพราะ พ่อ และ แม่ ...รักหนูมาก 
แต่เพราะเราเชื่อว่านี่คือความรับผิดชอบของพวกเรา ที่มีต่อเด็กๆในรุ่นหนู และ รุ่นต่อๆไป 

พ่อและแม่เชื่อว่าทุกชีวิตบนโลกใบนี้มีคุณค่า และ เท่าเทียมกันทุกชีวิตในที่นี้ไม่ใช่เพียงแค่ชีวิตที่มีอยู่แล้ว แต่หมายรวมถึง ทุกชีวิตในอนาคตด้วย และนั่นเป็นภาระหน้าที่ของสังคมนี้ที่ต้องช่วยกันทุ่มเท...เพื่อให้ทุกชีวิตที่จะเกิดมาในอนาคตมีชีวิตที่ดีขึ้น"


Original Message by Mark Zuckerberg 


บันทึกบทเรียนจากประเทศไทยในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา 
"โลกที่เราเห็น โลกที่เราเป็น และโลกที่เราฝัน" 

บทเรียนที่ 1.

เชื่อว่าคนส่วนมาก โดยเฉพาะคนไทย เติบโตมาด้วยบริบทคล้ายๆกัน  เรามักคิดว่า เราเป็นคนตัวเล็กตัวน้อย ไม่สามารถทำอะไรได้ ไม่สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงได้ อย่าว่าแต่ชาวบ้าน คนเมือง คนมีการศึกษา ก็ยังใช้ชีวิตกันอยู่ด้วย วิถีแบบนี้.... มันจริงหรือเปล่า ที่เราทำอะไรไม่ได้เลย  ต้องรอผู้มีอำนาจ  ต้องรอรัฐบาล  ต้องรอให้มีการปฏิรูปการศึกษา ต้องรอให้ "พร้อม" เราปล่อยให้ตัวเรา และลูกเรา ดำรงอยู่ในกระแสของสังคม ในแบบที่มันเป็นปัจจุบัน  ร่ำเรียนกันจนหัวโตตั้งแต่อนุบาล เพียงเพราะ ใกล้บ้านเราไม่มีโรงเรียนดีๆ ไม่มีโรงเรียนทางเลือก  เราต้องทำงาน เช้าจรดเย็น ไม่มีเวลาให้ครอบครัว เพียงเพราะ เราต้องใช้เงิน ในการซื้อหาความสุข ความสะดวกสบาย เพื่อ"อนาคตดีๆ" ที่ยังมาไม่ถึง

เราไม่มีทางเลือกในชีวิตจริงหรือ  อนาคตที่เราฝันไว้ มันจะสร้างได้ด้วยการ มีเงิน ทำงานดีๆ ใช้ชีวิตดีๆ ส่งลูกเรียนที่ดีๆ จริงๆ หรือ...

มองออกไปข้างนอกนั่น เรายังเห็นคนยากจนอีกมากมาย  ปัญหาสังคมอีกเยอะแยะ  เราไม่มีส่วนทำให้มันเกิดขึ้นจริงๆหรือ  (อ้าวแล้วจะทำอะไรได้ล่ะ  ทุกวันนี้ก็ทำเท่าที่ทำได้แล้วนี่.... เสียงเอคโค่ดังกลับมา) 

การรวมตัวกัน เพื่อให้มีชีวิตที่ดีขึ้น  ดูเป็นเรื่องยาก และลำบาก  เพราะเรา "รอ" ใครสักคน ลุกขึ้นมาเป็นฮีโร่ หรือ รอปัจจัยภายนอก ที่ควบคุมไม่ได้  ในขณะที่การทนอยู่ในสภาวะปัจจุบันก็ไม่ได้มีอะไรดีขึ้น มีแต่แย่ลงด้วยซ้ำ...(อย่างน้อย ก็มีเรื่องให้เราได้พร่ำบ่น หรือ มีความหวังลมๆ แล้งๆ ว่าจะมีใครสักคน มานำพวกเราไปนั่นแหละนะ) 

เรา(assume ว่ายินดี) ว่ายวนอยู่ในคุณภาพชีวิตที่แย่ๆ แต่เราก็ทนกับมันได้ แถมยังคิดว่า เราไม่สามารถทำอะไรได้อีก.... นี่คือภาพสะท้อนจากกระบี่  และสะท้อนภาพของทั้งประเทศไทย


คำถามคือ....เราทำอะไรไม่ได้จริงๆ หรือ.....เรา ไม่ใช่ "ใครสักคน" ที่โลกกำลังตามหาอยู่ จริงๆ หรือ


บทเรียนที่ 2

ความช่วยเหลือที่มากเกินไป การให้เปล่า ด้วยความรัก บางครั้งเป็นผลเสียมากกว่าผลดี..
(โดยเฉพาะ การบริจาคแบบไทยๆ ไม่อยากตีตราว่า ไทยเลยน่ะ เหมือนเหมารวม อนุญาตให้ด่าได้ แต่คนไทยนิยมบริจาค และให้ เพราะคิดว่าเป็นการทำบุญ ทำทาน ตัวเองจะได้บุญขึ้นสวรรค์ จริงๆ นะ ) 

ลองนึกถึงเวลาเราเลี้ยงลูก  เรารักลูก อยากให้แต่สิ่งดีๆ(แต่ในความจริง เราอาจมี hiden agenda ว่า กลัวว่าคนอื่นจะมองว่าเราเป็นพ่อแม่ไม่ดีก็เป็นได้) เมื่อลูกเจออุปสรรค์ เรายื่นมือเข้าไปช่วยเหลือ ให้เงิน สนับสนุนทุกอย่าง เพียงลูกเอ่ยปากขอมา (หรือบางที ไม่ได้ขอก็ให้ไปก่อน) ใครๆ ก็บอกว่าการเลี้ยงดูแบบนี้ เป็นการสปอยด์เด็ก...เช่นเดียวกัน ประชาชนคนไทยเรากำลังตกอยู่ในสภาวะ ถูกสปอยด์ 

ลูกที่ถูกสปอยด์ ไม่รู้เหตุผลที่มาที่ไปของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายนอก ไม่เคยสังเกตว่าพ่อแม่ หาเงินมาด้วยความยากลำบาก  ไม่เคยเอาใจเขามาใส่ใจเรา  พูดแต่ว่า ทีคนนั้นยังได้เลย ทำไมหนูไม่ได้บ้าง มันเป้นหน้าที่ของพ่อแม่ ที่จะต้องให้ลูกนะ!! 

สุดท้าย เมื่อถึงจุด จุดนึง แม้จะถามว่า จริงๆ แล้ว หนูอยากได้อะไร อยากเรียนอะไร โตขึ้นอยากเป็นอะไร ลูกตอบว่า เรียนอะไรก็ได้ ที่ได้เงิน มีเงินมารอตรงหน้า จะดีมาก


ประเทศเรากำลังดำเนินไปในทิศทางนี้........

คำถามคือ..... เราจะทำยังไงกับลูกที่ถูกสปอยด์ไปแล้ว  เราจะช่วยเหลืออย่างมีเมตตา เข้าใจ ว่า ไอ่การเป็นเด็กถูกสปอยด์นี่มันไม่ใช่ความผิดเด็กซะทีเดียว....พ่อแม่รังแกฉันชัดๆ และในฐานะ เรา ผู้เสียภาษี  เรามีส่วนร่วมในการสปอยด์ด้วยเช่นกัน..... 

บทเรียนที่ 3 
โอกาส และความช่วยเหลือ มักจะเดินมาเจอกันครึ่งทาง  คนนึงยื่นมือส่งให้ อีกคน ยื่นมือมารับ

เราบอกว่า เราไม่มีความรู้....เมื่อถามว่า แล้วเราอยากรู้อะไร.... เราก็ไม่รู้ ว่าเราอยากรู้อะไร
เราบอกว่า เราไม่เคยได้รับข่าวสาร.....เมื่อถามว่า แล้วปรกติ เราเสพข่าวสารทางไหน.... เราแค่ใช้ไลน์ส่งดอกไม้หาเพื่อนน่ะ 
เราบอกว่า เราอยากรวมกลุ่มกัน เพื่อให้มีสิทธิมีเสียง เมื่อถามว่า ทำไมไม่รวมล่ะ  ไม่มีใครนำ และอีกอย่าง อยู่คนเดียวแบบนี้ สบายดี 
เราบอกว่า โอกาสไม่เคยมาถึง.....เมื่อถามว่า เราเริ่มต้นทำอะไรแล้วหรือยัง....คำตอบคือความเงียบ 

บทเรียนบทที่ 4
แนวทางเศรษฐกิจพอเพียงตามพระราชดำริของในหลวง เป็นอะไรที่ใช้ได้เสมอ 
เราจะมองเห็นแววตาที่สดใสและมีความหวัง จากคนที่สามารถพึ่งพาตัวเองได้ พวกเขาจะสามารถควบคุมปัจจัยต่างๆ ที่เกิดขึ้น และ เป็นต้นเหตุของสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตตัวเองได้มากเท่าที่จะสามารถ  นอกเสียจากภัยพิบัติ ภัยธรรมชาติ เราก็มีชีวิตอยู่ได้อย่าง สตรอง มากๆ(เอาจริงๆ ต่อให้มีภัยพิบัติ น้ำไม่ไหล ไฟดับ เน็ตไม่มี คนพวกนี้น่าจะเดือดร้อนน้อยกว่าเราด้วยซ้ำ) ไม่ต้องกังวล  ราคาพืชผลผลิตตกต่ำจากเกษตรเชิงเดี่ยว  ข้าวก็มีกิน อาหาร น้ำ ยารักษาโรค มีหมด ไม่ได้ขึ้นกับว่า จะมีที่ดินกี่สิบ หรือกี่ร้อยไร่ ไม่มีวันจน แน่นอน 

ประเทศไทย ไชโย๊.....เราจะเปิด AEC กันวันที่ เท่าไหร่นะ...สิ้นปีนี้ใช่ไม๊.....ไชโย๊...

คำถามคือ.....

เรา (คนที่อ่านอยู่นี่นะ)....ทำอะไรได้มากกว่านี้ไหม....(คือรู้ว่า ทุกคนก็ทำอยู่แล้วในแบบของตัวเองแหละนะ แต่ดูจากสภาพแล้ว....ไหวป่ะล่ะ) 

คำถามสุดท้าย......จะทำเมื่อไหร่



Create Date : 04 ธันวาคม 2558
Last Update : 7 มกราคม 2559 11:14:47 น.
Counter : 1037 Pageviews.

0 comments
ถนนสายนี้มีตะพาบ 387 "ผ่านความทุกข์" kae+aoe
(22 ต.ค. 2568 08:20:20 น.)
วันนวมินทรมหาราช...ไม่มีวันไหนไม่คิดถึง haiku
(13 ต.ค. 2568 15:47:41 น.)
2 ส.ค. 68 DAY.4 คลองบางหลวง+ไอคอลสยาม kae+aoe
(29 ส.ค. 2568 14:52:22 น.)
30 ก.ค. 68 ​​​​​​​DAY.2 พักผ่อนคนป่วย kae+aoe
(29 ส.ค. 2568 14:51:43 น.)
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Nugade.BlogGang.com

กุ๊ดจัง
Location :
นนทบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 75 คน [?]

บทความทั้งหมด