ตะพาบประจำหลักกิโลเมตรที่ 138 "เส้นตาย"
 
ตะพาบประจำหลักกิโลเมตรที่ 138 "เส้นตาย"
การบริหารเวลากับเส้นตาย
เทคนิคการตาย



เส้นตาย ...

โจทย์นี้ เห็นแล้วคิดว่าจะเขียนอย่างไรดี คนหาทางอิตเตอร์เนต ได้ความคิดว่าเอา การบริหารเวลากับเส้นตายโดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 มาให้เพื่อนบล็อกวัยทำงานอ่านกัน

สำหรับเทคนิคการตาย จขบ.อ่านจากหนังสืองานศพของคุณพ่อของเพื่อน รู้สีกว่าเข้าใจง่าย และสามารถนำมาปฎิบัติได้ไม่ยาก




ขอขอบคุณภาพจากอินเตอร์เนต

การบริหารเวลากับเส้นตาย
กฎของพาร์คินสัน คิดโดยศาสตราจารย์พาร์คินสัน มีอยู่ทั้งหมดด้วยกัน 10 ข้อ แต่ในที่นี้กระผมขอกล่าวเฉพาะข้อที่ 1 ซึ่งมีหลักการที่สามารถนำมาใช้เกี่ยวกับเรื่องการบริหารเวลาได้เป็นอย่างดี คือ “ งานย่อมยืดออกไปจนกว่าจะครบเวลาที่จะส่งงานหรือเพื่อให้งานเสร็จ”


การบริหารเวลากับเส้นตาย
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
//www.drsuthichai.com

กฎของพาร์คินสัน คิดโดยศาสตราจารย์พาร์คินสัน มีอยู่ทั้งหมดด้วยกัน 10 ข้อ แต่ในที่นี้กระผมขอกล่าวเฉพาะข้อที่ 1 ซึ่งมีหลักการที่สามารถนำมาใช้เกี่ยวกับเรื่องการบริหารเวลาได้เป็นอย่างดี คือ “ งานย่อมยืดออกไปจนกว่าจะครบเวลาที่จะส่งงานหรือเพื่อให้งานเสร็จ”

ดังตัวอย่างที่ศาสตราจารย์พาร์คินสันได้ยกตัวอย่างเอาไว้ดังนี้ “คนที่ยุ่งที่สุดคือคนที่มีเวลาเหลือ” ดังนั้น หญิงชราที่มีเวลาว่างอาจจะใช้เวลาทั้งวันในการเขียนจดหมายถึงหลานสาว เธออาจจะใช้เวลาหนึ่งชั่วโมงค้นหาไปรษณียบัตร หนึ่งชั่วโมงค้นหาแว่นตา ครึ่งชั่วโมงค้นหาที่อยู่ อีกหนึ่งชั่วโมงสิบห้านาทีเป็นเวลาเขียนข้อความ และใช้เวลาอีกยี่สิบนาทีตกลงใจว่าเมื่อออกจากบ้านไปทิ้งจดหมายที่ตู้ไปรษณีย์ที่ถนนถัดไป จะนำร่มไปด้วยหรือไม่ ในความพยายามทั้งหมดนี้ ถ้าเป็นคนที่มีภาระมากเขาอาจจะใช้เวลาเพียง 3 นาทีเท่านั้น

คนเราส่วนใหญ่เมื่อมีงานที่จะต้องทำส่งกำหนดภายในอีก 5 เดือน เรามักจะไม่ค่อยอยากที่จะทำโดยทันที แต่เราจะเอาไว้ทำตอนใกล้จะครบกำหนดการส่งมอบงาน ดังนั้น ศาสตราจารย์พาร์คินสันจึงได้ออกกฏออกมาว่า ถ้ากำหนดให้งานเสร็จหรือมอบงานให้น้อยลง คุณย่อมที่จะทำมันให้เสร็จเร็วขึ้น

จากกฎของพาร์คินสัน หากว่าพวกเราพิจารณาก็คงเห็นว่าเป็นความจริงมากเลยทีเดียว ดังนั้นหากว่าคุณได้รับมอบหมายให้ส่งงานภายในกำหนด 5 เดือน คุณก็ควรเขียนเส้นตายให้กับตัวคุณเองว่า เราต้องทำให้เสร็จภายใน 4 เดือน หากคุณกำหนดเส้นตายให้กับตัวเอง คุณก็จะมีแรงกดดันเพื่อที่จะให้งานนั้นเสร็จได้เร็วยิ่งขึ้น

การกำหนดเส้นตายจะช่วยให้คุณเกิดประสิทธิภาพในการทำงานที่ดีและรวดเร็วขึ้น ตรงกันข้ามหากคุณไม่มีการกำหนดเส้นตายเลย คุณก็จะปล่อยให้งานนั้นบานปลายทำงานไม่เสร็จสิ้น อีกทั้งเมื่อถึงเวลาที่จะส่งมอบงาน คุณจะต้องทำงานจนหามรุ่งหามค่ำแทบจะไม่ได้หลับนอน ฉะนั้นการกำหนดเส้นตายจึงเป็นการเพิ่มแรงจูงใจในการทำงานที่ดีวิธีหนึ่ง

ดังนั้น หากว่าคุณต้องการบริหารเวลาอย่างมีประสิทธิภาพ คุณจำเป็นต้องกำหนดเส้นตาย อีกทั้งจงเคารพและมีวินัยในเส้นตายที่คุณกำหนด เพราะถ้าหากว่าคุณยืดหยุ่นเส้นตายออกไปเรื่อยๆ การบริหารเวลาของคุณก็จะไม่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล

บันทึกนี้เขียนที่ GotoKnow โดย ดร.สุทธิชัย

************





เทคนิคการตาย

ผู้เขียนไม่ได้คิดชักชวนท่านผู้อ่านให้ทิ้งบ้านเรือน เข้าป่าหาความวิเวกถือสันโดษจนสันโดดเป็นพระอรหันต์แต่ประการใด แต่เนี่องจากเชื่อแน่ว่าบาป-บุญ มีจริงจีงเกิดความเป็นห่วงญาติมิตรทุกท่านว่า ทุกคนเกิดมาต้องตายแน่นอน และขณะที่เราท่านกำลัง อยู่ในภาวะ “ตรีทูต” หรือฝร้งเรียกว่า “โคม่า” อันเป็นยามคับขันในทีสุดในชีวิตของเราเองนั้น เราจะตั้งสติทำจิตทำใจของเราอย่างไรดี เราจึงจะตายอย่างมีความสุข คือไม่ไปอบายมุขภูมิ หรือพรหมภูมิเป็นที่หมาย ก็ขอเรียนว่าต้องใช้ “เทคนิค” ก้นหน่อยละ

ถ้าตายอย่างไม่มีเทคนิคถือว่าตายไม่เป็น ไม่สมกับที่เกิดมาเป็นมนุษย์ และมันก็ไม่แนว่าท่านอาจจะลงนรกไปก็ได้ ทั้งๆที่ทำบุญอยู่บ่อยๆนี่แหละ เพราะนิมิตรแห่งอกุศลกรรม มาแรงเหลือเกินในขณะนั้น

เมื่อท่านอ่านขอให้ท่านได้โปรดถามตัวเองเสียก่อนว่า ท่านเป็นคนทีเชื่อถือเรื่อง บาป-บุญ หรือไม่ ถ้าถามแล้ว ยังลังเลตอบไม่ถูกเพราะตัวท่านเอง ก็ยังไม่เคยเห็นด้วยตาสักทีว่าหน้าตาของบาป-บุญ เป็นอย่างไร ก็มองดู ที่คอของท่านว่ายังแขวนพระ หรือมีสิ่งที่ท่านเชื่อถือว่าศักดิ์สิทธิ์ คุ้มครองท่านได้อยู่ในต้วท่านบ้างหรือไม่ ถ้ามี ผู้เขียนคิดว่าหนังสือเล่มนี้ ท่านอ่านแล้วพอจะได้ประโยชน์ เพราะแสดงว่าท่านเป็นผู้หนื่งที่เชื่องว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และบาป-บุญในโลกนี้มีจริง ถึงท่านไม่มีอะไรอยู่ในตัวท่านเลยแต่ในหัวใจของท่าน ถือพระธรรมคำสอนของพระศาสดาศาสนาใด ก็ได้ที่สอนให้คนทำดี เป็นหลักปฎิบัติอยู่แล้ว

ผู้เขียนก็คิดว่าท่านอาจได้ประโยชน์ จากหนังสือเล่มนี้ไม่มากก็น้อย แต่ถ้าหากท่านเป็นผู้ไม่เชื่อถือว่าบาป-บุญ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในโลกนี้มีจริงจะอ่านเล่น เป็นเรื่องขำขันของท่านก็ไม่เสียหาย หรือขาดทุนอะไรทั้งสิ้น เพียงแต่จะยังประโยชน์ให้ท่านได้มากหรือน้อย สุดแต่กุศลแต่อดีตชาติของท่านได้สะสมมามากหรือน้อยเพียงใดในทางนี้ บางท่านพอได้แนวทางจากผู้แนะนำ หรือครูบาอาจารย์ก็เกิดความศรัทธา ตั้งใจปฎิบัติจนได้ผลดีก้าวหน้าเสียยิ่งกว่าครูผู้แนะนำสั่งสอนเสียอีก

พระพุทธองค์ท่านทรงเปรียบว่าบุคคลเช่นนั้น เสมือนดอกบัวที่โผล่ขี้นมาชูช่อรออยู่แล้ว พอได้รับแสงสว่างจากดวงอาทิตย์ เพียงเล็กน้อยก็บานเต็มที่ส่งกลิ่นหอมชื่นใจ แต่บางท่านไม่เคยมีจริตทางนี้มาก่อย ต่อให้มีครูดึมาแนะนำสั่งสอนสักปานใด ก็พ้งหูซ้ายทะลุหูขวาไม่เกิดผลอะไรดีขี้นเลย ซี่งพระพุทธองค์ท่านทรงเปรียบบุคคลเช่นนั้นว่า เปรียบเสมือนดอกบังที่ยังจมอยู่ใต้โคลนตม อาจต้องชิ้เวลามากสักหน่อยจึงจะมีโอกาสโผล่ขึ้นมาพบแสงสว่างได้ หรืออาจไปเจอเข้ากับอุปสรรคในระหว่างชาติภพต่างๆ ที่ตนต้องผ่านไปบัวนั้นก็เลยอาจจะหัก หรือเหี่ยวเฉาจมโคลนตมเน่าเปื่อยไปในที่สุด หมดโอกาสเห็นแสงสว่างได้แค่ดวงวิญญาณของมนุษย์ที่พลัด ไปเกิดเป็นสัตว์เล็กสัตว์น้อยทั้งหลาย เช่น แมลงหวี่ แมลงวัน ยุงแมลงสาป หรือเล็กที่สุด เช่นตัวเชื้อโรคต่างๆ ซึ่งทางวิทยาศาสตร์ก็ยอมรับว่า เป็นสิ่งมีชีวิตทั้งสิ้น ทั้งหลายเหล่านี้ ย่อมหมดโอกาสที่จะกลับมาเกิดเป็นผู้เป็นคนกับเขาต่อไปอีก ซี่งเป็นที่น่าสงสารยิ่งนักแล้ว เพราะสัตว์เล็กๆ เหล่านี้ไม่มีม้นสมองที่จะรับทราบธรรมะใดๆ ได้อีกต่อไป

ถ้าเชื่อว่า บาป-บุญ มีจริงก็ต้องเชื่อกันว่า ชาติหน้ามีจริงฉะนั้นม้นจะเกี่ยวพันไปถึงชาติภพต่างๆ ที่คนเราจะต้องไปรับ กรรมดีหรือกรรมชั่วที่ตนก่อไว้ในชาตินี้หรืออดีตชาติ จุดนี้แหละน่าจะสะดุดใจเราว่าในเมื่อ เราตายจากชาตินี้ไปแล้วจะต้องไปเกิดในภพต่างๆ ต่อไปอีกไม่มีวันจบสิ้น (เว้นแต่จะบรรลุเป็นพระอรหันต์) อย่างนี้แล้ว ก็เรารู้ทั้งรู้อยู่และมีเวลาเตรียมตัวอย่างต็มที่ เหตุไฉนเราจีงไม่ตระเตรียมหนทาง หรือพูดง่ายๆว่าตระเตรียมวิธีการตายของเรา ให้มันเข้าท่าเข้าทางสักหน่อยไว้บ้าง สมเด็จพระบรมครูเจ้าองค์พระพุทธเจ้าของเรานั้น พระองค์ท่านก็ได้ทรงเมตตาชี้แนะทาง และวิธีการต่างๆ นานาไว้มากมายหลายแบบอย่าง สุดแต่ว่าท่านผู้ใดจะประสงค์เดินทางไปภพภูมิใด ท่านจะศรัทธาไปแค่ เทวภูมิหรือพรหมภูมิหลังจากที่ได้สิ้นชาติจากมนุษย์ภูมิไปแล้ว ท่านก็ฝึกฝนปฎิบัติไว้เพียงขั้น “สมถะกรรมฐาน” หรือบางท่านอาจจะเบื่อหน่ายขี้เกียจมาเกิดแล้วตาย ตายแล้วเกิดอยู่อพกไม่รู้จ้กสิ้นสุด จะประหารกิเลสเสียให้สิ้นชื้อเพื่อให้ไป สถิตนิพานภูมิเสียเลยก็ย่อยได้ โดยปฎิบัติให้ถึงซึัง “ วิป้สสนากรรมฐาน “ ถึงซี่งปัญญาละกิเลสอ้นเป็นเหตุให้ ไม่มีสิ่งใดที่จะผูกพ้นดึงให้ท่านกลับมาเกิดอีกก็ย่อมกระทำได้ สุดแต่ท่านจะศรัทธา และเป็นห่วงตนเองมากน้อยเพียงใดแต่ ถ้าท่านไม่ได้เตรียมการเตรียมใจไว้เลย ไม่ว่าวิธีใดทั้งสิ้น

ถ้าเกิดจะต้องตายขึ้นมาจริงๆ ต้วท่านจะเกิดความวิตกกังวล และหวาดกลัวต่างๆ นานาต่อการที่จะต้องเดินทางไปอยู่ในภพภูมิ หรือประเทศชาติที่ตนเองไม่เคยรู้จ้กมาก่อนเลย กฎระเบียบกติกาของเขาเป็นอย่างไรบ้างก็ไม่เคยรู้มาก่อน เมื่อเป็นด้งนี้ยิ่งทำให้จิตใจวอกแว่กหาความมั่นคงมิได้ จึงมักจะพลัดไปเกิดในอบายภูมิต่างๆเสียเป็นส่วนมาก และอบายภูมินั่นเล่าเป็นประเทศชาติหรือภพภูมิ ที่เต็มไปด้วยความทารุณลำบากและอดอยากสาหัส เนื่องจากเป็นแหล่งที่เขามีไว้รับใช้หนี้ดวงวิญญาณ ที่เคยทำความชั่วต่างๆ ไว้เช่นนี้แล้วท่านจะโทษใครเล่า นอกจากโทษต้วของท่านเองที่เสียแรง โชคดีที่มีโอกาสได้เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที ทั้งยังได้พบพระพุทธพระศาสนา อันหาได้ยากยิ่งอีกด้วยแต่เห็นที่น่าเสียดาย ที่ท่านไม่ได้เตรียมลู่ทางอ้นถูกต้องไว้ล่วงหน้าเลย เปรียบเสมือนคนที่เดินทางไปโดยไม่มีแผนที่ประกอบ ไม่มีไฟฉายนำทาง ย่อมตกเหวตกบ่อไปได้ง่ายเพราะความไม่รู้หนทางนั่นเอง

โดยปกติ คนเราเกิดมา ย่อมประกอบกรรมมาทั้งกุศลและอกุศลดรรมคละกันไป ทั้งตั้งใจและไม่ตั้งใจ กระแสคลื่นกรรมทั้งสองประเภทนี้ จะวนเวียนอยู่ใกล้ชิดกับตัวเจ้าของกรรมนั้นเอง ยามใดเจ้ากรรมนั้นๆ ทำตัว (กาย วาจา ใจ) ให้เป็นฉนวนกับกุศลกรรม ก็จะเป็นสะพานต่อเชื่อมให้กุศลกรรมแต่อดีตมีแรงพลังพุ่งเข้ามา ช่วยส่งเสริมชีวิตในปัจจุบันให้ประสบแต่สิ่งดีงามมีโชคมีลาภต่างๆ บางทีก็อย่างไม่คาดผ้น หรือบางครั้งเรามีเคราะห์โชคร้ายอย่างไม่น่าจะมีเพราะตัวเรา(กาย วาจา ใจ) เกิดความสกปรกขึ้นเป็นฉนวนกับอกุศลกรรม อกุศลกรรมก็จะเดินข้ามสะพานฉนวนนั้นเข้าสู่ต้วเราทันที เราจึงม้กมีการสะเดาะเคราะห์กัน ด้วยวิธีหารกระทำความดีต่างๆ เช่น ทำบุญ ทำทานถือศีล เป็นต้น ทั้งนี้ก็เพื่อให้สภาวะ ต้วของเราใจของเราขณะนั้นจะได้มีสภาพเป็นฉนวนของความดี เป็นฉนวนของการกุศล เพื่อคลีนของกุศลกรรม จะได้เข้าถึงตัวเราและกั้นคลื่นแห่งอกุศลกรรมไว้บ้าง จึงขอแนะนำนอกเรื่องออกไปอีกสักเล็กน้อยว่า ผู้ที่กระทำอกุศลใดๆ ไว้นั้นนไม่สามารจะลบล้างไปได้โดยวิธีล้างบาป เปรียบเหมือนการรับประทานอาหาร ผู้ใดรับประทานผู้นั้นก็ต้องเป็นคนอิ่ม ไม่สามารถจะให้ผู้อื่นอิ่มแทนได้ แต่ก็มีหนทางที่จะพรรเทาโทษลงไปได้อย่างมาก ถ้าเจ้ากรรมนายเวรที่เราได้ทำกับเขาไว้นั้นเขาอโหสิกรรมให้กรรมนั้น ก็จะไม่ผูกพ้นก้นต่อไปอีก ด้งนั้นถ้าท่านประกอบกรรมดีใดๆ ขึ้นแล้วท่านก็ควรอุทิศส่วนกุศลกรรมน้นๆ ให้แก่เจ้ากรรมนายเวรทุกๆ ตน ที่ท่านเคยก่อกรรมทำเวรไว้ให้อดีตด้วย และวิธแผ่กุศลนั้นถ้าจะให้แน่ใจจริงๆ ควรใช้วิธีกรวดน้ำไม่ใชอธิษฐานในใจเท่านั้น เพราะดวงวิญญานบางดวงอยู่ลึกจะไม่ได้รับบุญที่อุทิศให้

คราวนี้หวนมาถีงการทำสมาธิว่า มีความจำเป็นแก่คนเราเพียงใดอยู่ๆ ก็มาชวนให้มานั้งหลับตาดู ไม่เข้าท่าก็ต้องขอเรียกว่า มีสาเหตุมาจากคลื่นกรรมของทั้งกุศลและอกุศลนั้นแหละ เป็นตัวการกระแสคลื่นทั้งสองอย่างนี้ จะพยายามแย่งชิงซึ่งก้นและก้น เพื่อที่จะเอาดวงวิญญาณของต้วท่านกำลัง “ ตรีฑูต “ ตามปกติคนเรามีอายตนะ ๖ ทางได้แก่ ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ซึ่งเปรียบได้กับประตูบ้านมีอยู่ ๖ ประตูพร้อมจะเปิดรับรู้สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นซึ่งภาษาทางธรรมะเรียกว่า เกิดสภาวะธรรมขี้นเมื่อท่าน “ตรีฑูต “ อยู่นั้น ประสาท ตา หู จมูก ลิ้น ดับไปหมดสิ้นแล้ว มิใยที่ใครจะมากรอกหูว่า “ อระห้ง อระห้ง “ ท่านก็ไม่ได้ยิน มิใยที่ผู้ใดจะเอาประพุทธรูปมาให้ดู ท่านก็ไม่เห็น เพราะประสาทตาและหูดับไปเสียแล้ว กายนั้นเล่า บางคนอาจจะมีประสาท เหลืออยู่อีกบ้างเพียงดึงให้เนื้อหนังกระตุกไปตามเรื่อง โดยที่เจ้าต้วก็ไม่มีความรู้สึกอะไรแล้ว บางคนกายก็ดับสนิทไปด้วยอีก อาการโคม่าหรือตรีฑูต อย่างนี้มีสิ่งที่ยังเชื่อมโยงไว้ระหว่างความเป็นกับความตาย ก็คือใจหรือเรียกว่า “จิต” อยู่อย่างเดียว ถ้าอายตนะ สุดท้ายคือใจนี้ขาดไปด้วยคือ จิตดับ ก็หมายความว่าบุคคลผู้นั้นตายจริงๆ แล้วตั้งแต่บัดนั้น
อายตนะใจนี้แหละ คือตัวการสำคัญในขั้นตอนขณะตรีฑูตนี้ ที่จะพาท่านไปเกิดยังภพภูมิใดๆ ได้ทั้งสิ้นแล้วว่าเจ้าของใจนั้นๆ รู้วิธีจะใช้ใจของตนเป็นหรือไม่เพียงใด ความรู้สึกหรือภาพนิมิตต่างๆ ที่สามารถจะเห็นด้วยจิตนี้มีสภาพเปรียบเสมือนมดปลวกต่างๆ หลายชนิดที่ทั้งที่ไม่มีตา แต่ก็สามารถขนเสบียงอาหารหนีน้ำฝนได้ทั้งๆ ที่คนเราเองยังไม่รู้เลยว่าจะมีฝนตก หรือแม้แต่หูคนที่ตาบอดนั้น ประสาทหูจะดีกว่าคนธรรมดาได้ยินแต่เสียงเดิน บางทียังถึงกับรู้ว่าว่าเป็นใครเดินมาทั้งๆที่นานๆ เจอกันที ซี่งบุคคลนี้เมื่อสมัยตาดีๆ อยู่ประสาทหูไม่ได้ดีถึงขนาดนี้ สภาวะเช่นนี้เรียกว่า “สภาวะชดเชย” เป็นการชดเชยให้ โดยธรรมชาติเป็นไปโดยอัตโนมัติ สภาวะการณ์ของคนที่กำลังเข้าตรีฑูต เมื่อเหลืออายตนะใจเพียงอย่างเดียวจิตในขณะนั้น จีงมีสภาพพิเศษยอดเยี่ยมต่างๆชี้นมาชดเชยอายตนะอื่นๆ ที่ดับไปกล่าวคือมีสภาพเป็นตาทิพย์หูทิพย์ สามารถรู้เห็นนิมิตต่างๆ ที่ตาเปล่าๆ คนธรรมดาไมสามารถมองเห็นได้ได้ยินในเสียงที่หูธรรมดาไม่ได้ยิน บางคนยังเพ้อได้ก็เพ้อว่า “ แนะคนเขาเอาขบวนแห่ราชรถมารับพ่อแล้วพีอจะไปละ “ บางคนก็เพ้ออย่างหวาดกลัวว่า “ เขาจะมาจับต้วพ่อช่วยทีช่วยที “ อย่างนี้เป็นต้น แล้วแต่คลีนกรรมของกระแสใดจะมาถึงดวงจิตดวงนั้น ซื่งแพทย์สม้ยใหม่บอกเราว่า คนไข้เพ้อส่งเดชไม่มีสาระอะไรที่น่าสนใจหรอก ใครๆ ก็รู้ว่ธรรมดาคนใกล้ตายนั้นไม่โกหกใครเพื่อประโยชน์อะไรอีกแล้ว อันภาพนิมิตที่เขาได้เห็นนั้นเป็นการเห็นด้วยจิตหรือ เรียกว่าเห็นด้วยตาใน ไม่ใช่ด้วยตาเนื้อเป็นนิมินนที่พรั้งพร้อม เข้ามาก็เพื่อจะแย่งชิง เอาดวงวิญญานของคนที่จะตายนั้น ไปเสวยกรรมในภพภูมิแห่งนิมิตนั้นๆ เปรียบเสมือนเครื่องบินที่มารอรับคนโดยสารอยู่ ณ ท่าอากาศยาน ถ้าพิจารณาเลือกขี้นให้ดีก็เลือกได้ปลายทางสวิสเซอร์แลนด์ หรือชั้นรองๆ แค่อเมริกาก็ยังดี ถ้าพิจารณาเลือกไม่เป็น อาจจะไปขึ้นเอาเครื่องบินที่ปลายทางไปลงเขมร หรือลาว หรือแดนกลียุคอื่นเข้าก็รับเคราะห์ไปยากจะช่วยเหลืออะไรก้นได้

คราวนี้ก็จะมาถึงจุดที่ว่าก็แล้วจะให้ทำอย่างไรดีเล่า พูดอ้อมค้อมอยู่ได้ ธรรมดาจะชี้แจงให้เข้าใจ ก็จำเป็นอยู่เองที่ต้องยกตัวอย่างและเปรียบเทียบต่างๆมาให้ดูก่อน ขอกล่าวถึงจุดยืนที่สำคัญของจิตที่เราควรขะต้องกระทำ ขณะที่เราอยู่ภาวะตรีทูตซึ่งผู้เขียน ได้พยายามคัดเลือกมาว่า เป็นวิธีที่ง่ายที่สุดมากกว่า วิธีอื่นในขั้นเพียงสมถะกรรมฐานและเป็นหนี่งใน 40 วิธีที่มีอยู่เป็นหนทางที่ จะเดินไปเพียงเทวภูมิหรือพรหมภูมิเท่านั้น ไม่สามารถเดินทางไปถึงนิพพานภูมิได้ หว้งว่าท่านผู้อ่านคงจะจดจำข้อความสำคัญนี้ไว้ให้ดีดี ขณะที่เรารู้สีกต้วอยู่และเชื่อแน่ว่าเราต้องตายแน่ๆแล้ว ก็ขอให้ญาติพี่น้องพ่อแม่ ภรรยา ลูกหลานทั้งหลาย อย่าได้มารบกวนเราไม่ว่าด้วยการบีบนวดเฟ้นหรือส่งเสียงด้งใตๆ เพื่อนให้โอกาสเราให้ตั้งสมาธิจิตเจริญกรรมฐาน กำหนดหมายเอาสิ่งดีงามใดๆ สักสิ่งหนี่งเป็นอารมณ์

ผู้เขียนคัดเลือกเอานิมิตง่ายๆ ซี่งมีบารมีคุ้มครองยิ่งใหญ่ และจดจำกันได้ทุกคนอยู่แล้ว คือให้ตั้งจิตแน่วแน่ นีกถีงพระพุทธรูปองค์ใดองค์หนี่งที่เคยจำได้แม่นยำ ให้ปรากฎเป็นองค์พระพุทธรูป ลอยเด่นอยู่ในห้วงนีก และภาวนาในใจว่า " พุทโธ " หรือสัมมาอาระหัง เป็นต้น จิตจะจับนิ่งอยู่ที่พระพุทธรูปเช่นนั้น ไม่ยอมคลาดเกาะติดแน่น แม้จะมีนิมิตรร้ายใดๆ ผ่านมาให้เห็นหรือมาคุกคามเพียงใดแล้ แม้จะรู้สึกอึดอัดเพราะมีลมหายใจ เหลืออยู่น้อยเพียงใดก็ไม่สนใจ ซี่งทางธรรมะเรียกว่า "การเจริญพุทธานุสสติกรรมฐาน" เกาะนิ่งแน่วแน่อยู่เช่นนี้น จนจิตถึง ซี่งอย่างน้อยปฐมฌานและทรงจิตไว้ระดับนี้ กระทั่งจิตดับเพียงทำได้เท่านี้ก็สามารถกั้นอบายภูมิ ได้ชั่วคราวสำหรับการตายเที่ยงนี้แล้ว การตายอย่างนี้เขาเรียกว่า "ตายในฌาน" จะไปเกิดในพรหมภูมิอย่างแน่นอน แต่ผู้ใดจะกระทำได้ปฐมฌาณรวดเร็วชัดเจนมั่นคงเพียงใด ก็สุดแต่ผู้นี้นจะเคยฝีกฝนมาเพียงใด ซึ่งการฝึกฝนนั้นใช้เวลาก่อนนอนหรือเช้าๆ ตี่นนอนสักว้นละ 20 นาทีก็พอแล้วไม่ได้รบกวนเวลาทำมาหากินอะไรเลย ต่อเมื่อมีศรัทธามากขึ้น ก็ค่อยฝึกฝนเพิ่ม
ขี้นตามอัธยาศัย

บางท่านพอจะเข้าใจ แต่ยังติดใจสงสัยนิมิตอาจถามว่าเจริญสมาธิได้อย่างนี้ ขณะดับจิตมีผลให้ไปเกิดใหม่ได้ถึงพรหมภูมิ ถ้าอย่านั้นเทวภูมิล่ะไปได้อย่างไร
ขอเรียนว่า เทวภมิคือสวรรค์ชั้นเทพนั้นก็สุขสบายดีอยู่หรอก เป็นสวรรค์ชั้นต่ำกว่าพรหมอายุชัย การเสวยบุญก็น้อยกว่าพรหม สุขสบายน้อยกว่าพรหม แต่การไปเกิดในชั้นเทวภูมินั้น มันเสียงบินสุดแต่จะไปคว้าเอาได้สายการบินสวรรค์หรือสายการบินนรก หมายถึงคนที่กำลังจะตายและไม่ได้ทำสมาธิจิตไว้ป้องกันตัว แต่ขณะที่ดวงวิญญาณ หรืออายตนะสุดท้ายคือจิตขาดออกจากร่างกายที่เรียกว่า "ขาดใจตาย " นั้นบังเอิญขณะนั้น นึกถึงบุญกุศลใด ๆ สักชิ้นหนี่งที่ทำไว้พอดี เมือนีกถึงกุศลก็วิ่งมารับต้วไว้ ก็ไปเกิดใหม่เพื่อเสวยสุขในกุศลนั้นๆ เป็นเทพในเทวภูมิไป ผู้เขียนเห็นว่าเป็นการเสี่ยงเกินไป ที่เราจะหลับตนเลือกสายการบินเดินทางไปส่งเดชเช่นนั้น เพราะอาจไปเจอเอานิมิตของอกุศลกรรมซี่งมักจะรุนแรงอย่างยิ่ง เข้าก่อนก็จะเป็นภัยแต่ตัวเอง ทางที่ปลอดภัยควรใช้สมาธิ
เจริญพุทธานุสติ เป็นตัวกระสายยาช่วยในการดับจิตจึงจะเรียกว่า “ ตายเป็น” หมายความว่ารู้จ้กใช้และฉวยโอกาศตอนตาย ให้เป็นประโยชน์แก่ตนเอง จึงเรียกว่าเป็นการตายอย่างมี “ เทคนิค “ สำหรับท่านที่ปฎิบัติธรรมกรรมฐานได้ผลบ้างแล้ว และเห็นว่ายังไม่เพียงพอ แต่จะต้องการปฎิบัติให้มากขึ้น กว้างขวางละเอียดละออยิ่งขี้น จนถึงขั้นละอวิชชาได้เรียกว่า ถึงขั้นปัญญาแห่งการหลุดพ้นจาก
วัฎฎะสงสารคือวิปัสสนาปัญญา โดยรู้ว่ากิเลสต่างๆ เกิดมาได้และดับไปอย่างไร มากระทบอายตนะทั้ง 6 ตรงไหน ทรงอก และดับไปได้อย่างไร เรียกว่ารู้รูปนามเกิดดับของสภาวะธรรมทั้งหลาย จึงเกิดความเบื่อหน่ายละกิเลสหมด ไร้สิ่งผูกพันที่จะต้องทำให้กลับมาเกิดใหม่ เช่นนี้แล้วก็จะยิ่งเป็นผลดีและมหากุศลของท่านยิ่งๆ ขึ้นไป ซี่งจะเป็นหนทางก้าวเข้า สู่นิพพานภูมิอันสูงสุดต่อไป ทั้งนี้ก็แล้วแต่ศรัทธาและวิริยะของแต่ละท่านมากน้อยเพียงใด และในขั้นตันนี้ขอให้เร่งฝีกฝนให้ได้อย่างนัอย “ ปฐมฌาณ “ ไว้ป้องก้นตัวก่อนเกิด เพราะอาจจำเป็นต้องใช้เมื่อไรก็ไม่รู้ บรรดาทรัพย์สินเงินทองยศฐาบรรดาศักดิ์ทั้งหลายที่ท่านใฝ่หาไว้นั้น ไม่สามารถจะติดตามท่านไปในชาติหน้าได้ และก็ไม่อาจใช้ปกป้อง คุ้มครองตัวท่านเอง ในยามคับขันในที่สุดของชีวิตได้ด้วย

ท้ายสุดนี้ ผู้เขียนหวังว่าญาติสนิท มิตรสหายทุกท่าน ซึ่งมองเห็นภัยในวัฎฎะคง จะได้ประโยชน์จากหนังสือเล่มนี้บ้างไม่มากก็น้อย และหากมีสิ่งใดที่ผิดพลาดด้วยความไม่รู้หรือน้อยวิชาของข้าพเจ้า ขอท่านผู้รู้โปรดให้อภัย

พ้นตำรวยเอก( พิเศษ ) กำพล ยุทธสารประสิทธิ์
รองผู้บังคับตำรวจดับเพลิง

ขอขอบคุณยูทูปจากอินเตอร์เนต


Peace and Love
Phil HOZOFF



newyorknurse





Create Date : 12 กันยายน 2558
Last Update : 12 กันยายน 2558 18:40:04 น.
Counter : 1793 Pageviews.

21 comments
หนังสือและอุปกรณ์การเรียนสำหรับเด็ก ป.1 ของโรงเรียนประถมที่ญี่ปุ่น SN_monchan
(7 เม.ย. 2567 05:39:08 น.)
อย่ามาบ้ง!นะ peaceplay
(5 เม.ย. 2567 15:53:18 น.)
เมนูที่เต็มไปด้วยคุณค่าอาหาร ข้าวยำ สมาชิกหมายเลข 4313444
(4 เม.ย. 2567 00:28:04 น.)
เกี่ยวกับข้อมูลภาษี Google Adsence กว่าจะอนุมัติ Ep.1 SN_monchan
(16 มี.ค. 2567 07:48:15 น.)
  
ตัวอย่าง 'คนที่ยุ่งที่สุดคือคนที่มีเวลาเหลือ' เรื่องนี้ดีเลยค่ะ
เพราะคนเราก็มีเวลาวันละ 24 ชม.เท่าๆกัน
การบริหารเวลานี่สำคัญมาก
ลำดับความสำคัญก่อนหลังด้วยค่ะ
ไม่งั้นชีวิตยุ่งยากมากมายนะคะพี่น้อย

โดย: ที่เห็นและเป็นมา วันที่: 12 กันยายน 2558 เวลา:21:11:29 น.
  
อ่านแล้วนะคะ แต่ท่าทางเครียด ขออ่านเก็บมาคิดเบาๆ นะคะ ขอบคุณที่เขียนเรื่องราวดีๆ อีกแง่มุมค่ะ
โดย: SeaSnow วันที่: 13 กันยายน 2558 เวลา:1:40:10 น.
  
เรื่องการจัดสรร เวลา... ผมก็เคยอ่าน แนวคิดในหนังสือ
อะไรจำไม่ได้แล้วครับ เคยอ่านเมื่อประมาณ 25 ปี
มาแล้ว..

เขาบอกว่า เขาจะเรียบเรียง หรือจัดงานที่จำต้องทำ
ก่อน เรียกว่าอะไรก็ได้ที่จำเป็น และทำให้งานลื่นไหล

แม้แต่ ตื่นขึ้นมา แปรงฟัน โกนหนวด ล้างหน้า ดื่มน้ำ
เข้าห้องน้ำ แต่งตัว กินข้าวไปทำงาน

อันนี้น่าคิด.. เพราะบางคน แปรงฟันล้างหน้า แต่งตัว
แล้วเข้า ห้องน้ำ 555 อ่านแล้วมองเหมือนธรรมดา

สิ่งเล็กน้อย ถ้าไม่เรียงลำดับ ก็จะทำให้เสียเวลา หรือ
บางอย่างรวนไปหมด..

แต่มีอีกอย่าง... เขาแนะนำว่า มีบางอย่าง ทำตัว
อยู่ในกรอบของ"คนเอื่น" ทำให้ตัวเราเอง อึดอัด

ถ้าคิด นอกกรอบ.. ของคนอื่น แล้ว มันเสียหายเป็น
เงินเท่าใด.. อ้อ.. เพียงแค่นี้ แต่งานส่วนรวม ดีขึ้น
ก็ น่าจะนอกกรอบบ้าง..ครับคุณน้อย

แต่.... ผมยังไม่ได้คิดไกล ถึง การตายแบบข้างบน
นะครับ 555 นี่เรื่องจริง..

เพียงแต่ อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิด.. ไม่คิดอะไรมากนัก
คอยปรับแต่ง ให้พอไปได้ก็พอ

แต่ไม่ได้คัดค้านนะครับ.... เพราะบางอย่างเหมาะกับ
คนแต่ละคน..

แต่ การทำสมาธิ... เป็นสิ่งที่ดี เหมาะมาก.. ทำให้เกิด
ปัญญา มีจิต เข้มแข็ง ตัดสินใจอะไรถูกต้องมากขึ้น
ครับ
โดย: ไวน์กับสายน้ำ วันที่: 13 กันยายน 2558 เวลา:6:08:15 น.
  
สวัสดียามเช้าครับพี่น้อย

ผมจึงชอบคำสอน "ตายก่อนตาย" ของท่านพุทธทาสมากจริงๆครับ
คนเราถ้าไม่คิดถึงความตายไว้บ้าง
ก็จะประมาทในการใช้ชีวิตจริงๆ


โดย: กะว่าก๋า วันที่: 13 กันยายน 2558 เวลา:7:14:37 น.
  
หมิงหมิงตอนนี้สูงที่สุดในชั้นครับพี่น้อย
ตัวสูงกว่าผมตอนเป็นเด็กเยอะเลยครับ 5555

โดย: กะว่าก๋า วันที่: 13 กันยายน 2558 เวลา:8:12:42 น.
  
สวัสดีค่ะพี่น้อย
การวางแผนกำหนดเส้นตายในการทำงาน ดีกว่าถึงเส้นตายแล้วค่อยมาทำเยอะเลยนะคะ
โดย: เนินน้ำ วันที่: 13 กันยายน 2558 เวลา:9:05:04 น.
  
ได้ความรู้ดี จะนำไปฝึกใช้ก่อนนอนค่ะ


newyorknurse Klaibann Blog ดู Blog
โดย: ร่มไม้เย็น วันที่: 13 กันยายน 2558 เวลา:10:42:36 น.
  
ได้ความรู้ดีครับ

กำหนดเส้นตายเอง และปฏิบัติเอง กดดันตัวเองแบบนี้มันโอเคกว่า ถ้าเราเร่งทำแล้วพอเสร็จแล้ว ถ้ามันเกิดอะไรผิดพลาดมันจะยังเหลือเวลาแก้ไข ดีกว่ามาเร่งทำตอนใกล้ๆ

บาปบุญมีจริงหรือไม่ ชาติหน้ามีจริงหรือไม่ ไม่จำเป็นต้องคิด เอาชาตินี้ก่อนดีกว่า ขอแค่เราไม่ทำบาปก็พอ (แบบนี้ง่ายสุดละ)

+
โดย: คุณต่อ (toor36 ) วันที่: 13 กันยายน 2558 เวลา:17:43:40 น.
  
ไม่กำหนดเส้นตาย งานมักไม่ถึงเป้าหมาย

ส่วนเรื่องการเตรียมตัวตาย เคยได้อ่านแล้ว

เราทำดีกุศลกรรมมันก็อยู่ในจิตสำนึก ถึงเวลาตายจิตสำนึกก็จะคิดแต่สิ่งดีๆที่ผ่านมา ทำให้ได้ไปอย่างสบายและไม่ทิ้งความห่วงไว้ค่ะ
โดย: ซองขาวเบอร์ 9 วันที่: 13 กันยายน 2558 เวลา:18:35:29 น.
  
สวัสดีค่ะ พี่น้อย ^^
โดย: ปรัซซี่ วันที่: 13 กันยายน 2558 เวลา:20:44:09 น.
  
มาส่งกำลังใจค่ะ
ตะพาบเนี่ย พี่เลยเส้นตายแระ แต่ยังงมๆอยู่ครึ่งทาง
คงได้อัพพรุ้งนี้ แงแง

ผู้เขียน Blog หมวดเนื้อหา Blog ได้รับโหวต
กะว่าก๋า Parenting Blog ดู Blog
toor36 Cartoon Blog ดู Blog
เนินน้ำ Food Blog ดู Blog
newyorknurse Klaibann Blog ดู Blog

โดย: ภาวิดา (คนบ้านป่า ) วันที่: 13 กันยายน 2558 เวลา:22:08:28 น.
  
มาอ่านข้อคิดดีๆครับ

ผู้เขียน Blog หมวดเนื้อหา Blog ได้รับโหวต
haiku Fanclub Blog ดู Blog
phunsud Food Blog ดู Blog
mambymam Music Blog ดู Blog
สายหมอกและก้อนเมฆ Photo Blog ดู Blog
newyorknurse Klaibann Blog ดู Blog
ระบบจะบันทึกคะแนนโหวต เฉพาะการโหวต 5 ครั้งล่าสุดในแต่ละวันเท่านั้น
โดย: moresaw วันที่: 14 กันยายน 2558 เวลา:9:34:32 น.
  
สวัสดีครับพี่น้อย


โดย: กะว่าก๋า วันที่: 14 กันยายน 2558 เวลา:10:03:55 น.
  
newyorknurse Klaibann Blog ดู Blog

คิดถึงตอนสมัยเรียนมหาวิทยาลัย
ถ้าไม่สอบก็ไม่อ่านหนังสือ
ถ้าไมถึงกำหนอดส่งงาน ก็แก้อยู่นั่นแหละ
และ
ถ้าส่งเร็วไป อาจารย์ก็ให้กลับมาแก้งงานอยู่นั่นแหละค่ะ
โดย: tuk-tuk@korat วันที่: 14 กันยายน 2558 เวลา:10:53:57 น.
  
อ่านแล้วได้ข้อคิดทั้ง 2 เรื่อง

เรื่อง "เส้นตาย" คิดถึงตอนเรียนหนังสือ ตั้งแต่ประถมฯ จนจบมหาวิทยาลัย นิสัยผมเป็นแบบนั้นจริง ๆ ถ้ายังไม่ใกล้กำหนดส่ง ไม่ยอมทำรายงาน พอไฟลนก้นค่อยมาทำก็เครียด สุดท้ายสักแต่เผางานให้เสร็จเพื่อให้มีส่งทันเวลา

พอมาทำงานกลับไม่เป็นแบบนี้ เปลี่ยนเป็นคนละคน พยายามทำงานให้สำเร็จโดยเร็ว สงสัยมีเรื่องของเงินกับความก้าวหน้ามาเป็นสิ่งจูงใจ
โดย: แมวเซาผู้น่าสงสาร วันที่: 14 กันยายน 2558 เวลา:12:26:10 น.
  

อ่านแล้วได้ความรู้ดีมากเลยค่ะคุณน้อย

newyorknurse Klaibann Blog ดู Blog
ระบบจะบันทึกคะแนนโหวต เฉพาะการโหวต 5 ครั้งล่าสุดในแต่ละวันเท่านั้น
โดย: พรไม้หอม วันที่: 14 กันยายน 2558 เวลา:13:45:04 น.
  
ขอบคุณสำหรับ comment ครับ
โดย: ผู้ชายในสายลมหนาว วันที่: 14 กันยายน 2558 เวลา:14:41:44 น.
  
น่าสนใจมากค่ะ บุคมาร์คไว้ก่อน เดี๋ยวกลับมาอ่านใหม่
โดย: ชลบุรีมามี่คลับ วันที่: 15 กันยายน 2558 เวลา:13:00:46 น.
  
newyorknurse Klaibann Blog ดู Blog
เดี๋ยวเย็นๆไว้กลับมาอ่านจ้ะ
โดย: Opey วันที่: 15 กันยายน 2558 เวลา:17:15:14 น.
  
มีสติ มีเทคนิค ในการดำรงชีวิต
ทำให้เราเดินไปได้อย่างมั่นใจที่สุดเลยนะคะ ^^



บันทึกการโหวต Blog ในวันนี้

ผู้เขียน Blog หมวดเนื้อหา Blog ได้รับโหวต
ชีริว Cartoon Blog ดู Blog
newyorknurse Klaibann Blog ดู Blog



โดย: Rinsa Yoyolive วันที่: 15 กันยายน 2558 เวลา:22:51:15 น.
  
น่าอ่านมากค่ะ เดี๋ยวคืนนี้จะกลับมาอ่านให้จบค่ะ น่าสนมากจริงๆค่ะ
โดย: Max Bulliboo วันที่: 16 กันยายน 2558 เวลา:17:32:36 น.
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

Newyorknurse.BlogGang.com

newyorknurse
Location :
ราชบุรี .. New York ...   United States

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 164 คน [?]

บทความทั้งหมด