เมืองมรดกโลก เมซกีตา - กาเตดรัล กอร์โดบา ( The Mosque - cathedral of cordoba ) ประเทศ สเปน
วันที่ 10 เมษายน 2017 ช่วงบ่าย
เดินมาเที่ยวชมมรดกโลก The Mosque - cathedral of Cordoba
เดอะ เมซกีตา - กาเตดรัล กอร์โดบา ของประเทศ สเปน
ค่าบัตรเข้าชมคนละ 10 EU

บริเวณด้านหน้าซื้อตั๋วผ่านประตู



ขอขอบพระคุณ เว็ปไซร์วิกิพีเดีย ประวัติศาสตร์ของกอร์โดบา ค่ะ
มหาวิหาร และอดีต มัสยิดใหญ่แห่งกอร์โดบา
มีชื่อเรียกในศาสนาคริสต์ว่า มหาวิหารการอัสสัมชัญพระแม่มารี
(สเปน: Catedral de Nuestra Señora de la Asunción)
และเป็นที่รู้จักในท้องถิ่นว่า เมซกีตา-กาเตดรัล (Mezquita-catedral,
มัสยิด-มหาวิหาร) ปัจจุบันเป็นแหล่งมรดกโลก
ร่วมกับพื้นที่ส่วนประวัติศาสตร์ ตั้งอยู่ในเมืองกอร์โดบา
ในแคว้นอันดาลูซีอา ทางตอนใต้ของประเทศสเปน
ด้านประวัติความเป็นมานั้น เริ่มจากในปี ค.ศ. 768
หลังจากการรุกรานของชาวมุสลิมบนคาบสมุทรไอบีเรีย
การก่อสร้างได้เริ่มขึ้นบนพื้นที่ซึ่งแต่เดิมเป็นที่ตั้งของโบสถ์
แห่งนักบวช บีเซนเต มาร์ตี โดยที่โบสถ์แห่งนี้
ได้ถูกทำลายลงและสร้างมัสยิดกอร์โดบาขึ้นมาแทนที่
ถ้ามองในมุมมองของมัสยิดแล้ว มัสยิดกอร์โดบา
ถือได้ว่าเป็นสิ่งที่แสดงถึงความเจริญรุ่งเรือง
ของอาณาจักรกาหลิบแห่งกอร์โดบา
ด้วยพื้นที่ขนาด 23,400 ตารางเมตร
ทำให้มัสยิดกอร์โดบามีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่สองของโลกเมื่อตอนที่สร้าง
อันดับที่หนึ่งเป็นของมัสยิดแห่งนครมักกะฮ์
(ภายหลังในปี ค.ศ. 1588 อันดับที่สองตกเป็น
ของมัสยิดแห่งสุลต่านอะห์มัด ประเทศตุรกี)
ลักษณะเด่นอย่างหนึ่งที่น่าสนใจมากคือ กิบลัต
(ชุมทิศที่ชาวมุสลิมหันหน้าไปยามละหมาดและขอดุอาอ์)
นั้นไม่ได้ชี้ไปยังทิศของนครมักกะฮ์
แต่ว่าชี้ไปยัง 51 องศาทางใต้ของทิศที่เป็นที่ตั้งนครมักกะฮ์
เหตุผลที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าที่ตั้งที่ติดกับแม่น้ำกวาดัลกีบีร์
จึงไม่สามารถทำการขยายการก่อสร้างออกไปทางทิศใต้ได้
จนกระทั่งภายหลังชาวสเปนสามารถพิชิตดินแดนคืนได้สำเร็จ
ในปี ค.ศ. 1238 มัสยิดกอร์โดบา
ก็ได้กลายสภาพมาเป็นโบสถ์ตามคำสั่งของมุขนายก โลเป เด ฟีเตโร
(มุขนายกคนแรกของมหาวิหารกอร์โดบา) ใ
นปี ค.ศ. 1523 เริ่มการก่อสร้างโบสถ์ในส่วนกลาง
ของมัสยิดโดยใช้รูปแบบปลาเตเรสโก (Plateresco)
ในภาษาสเปน "ปลาตา" (plata) หมายถึงแร่เงิน
ส่วนคำว่า "ปลาเตเรสโก" ต้องการสื่อถึงตามวิถีทางของช่างเงิน
มหาวิหารกอร์โดบาถือได้ว่ามีความสำคัญมาก
ต่อกอร์โดบาและสถาปัตยกรรม
อัลอันดะลุสเช่นเดียวกับอาลัมบรา (Alhambra)
=================
ส่วนรูปป้าซิ่ง ถ่ายเองนะคะ
บ้างรูปก็เซลฟี่เอง เพราะอยากมีส่วนร่วมกับการได้รู้ได้เห็นกับสถานที่ไปค่ะ



ภายในโบส์ถจะมีส่วนโค้งเป็นปูนออกสีขาวและสีส้มสลับ
เป็นแนวโค้งรูปเกือกม้า เป็นสองชั้น ภายในมืดๆ
จะได้แสงสว่างจากภายนอกมาบ้าง และไฟดวงเล็กๆบางดวง

มีรูปปั้นของพระเยซู พระแม่มารี และรูปนักบวชต่างๆ
เทพเจ้า เทพบุตร และภาพวาด สวยงาม



===





ความโอ่อ่า และ เพดานสูง





เข้ามาคนเดียว บัตรราคาก็แพง ป้าซิ่งเลยต้องเซลฟี่บ้างค่ะ
การเซลฟี่ก็ง่ายหากต้องการภาพเต็มตัว
ก็วางไว้ที่เสาใดเสาหนึ่งตรงหน้าได้เลยค่ะ




บางที่ ตรงพื้นก็มีจารึกอะไรไว้แบบนี้ค่ะ







เดินมาถึงจุดนี้สวยงามอลังการณ์งานสร้างมากๆๆๆค่ะ
ป้าซิ่งเลยต้องหยุดอยู่ตรงนี้นานหน่อย เพียงครึ่งชั่วโมงก็พอค่ะ
สถาปัตยกรรมวิจิตรบรรจงจริงจัง
เป็นสถานที่ประกอบพิธีอันศักดิ์สิทธิ์ เพราะมีชั้นวาง มีที่นั่งสวดมนต์อธิษฐาน
มีพื้นที่นั่งของบุคคลสำคัญ




ฝ้าเพดานสูงมากๆขนาดนี้ มีรูปหน้าตาคนบนที่สูงๆด้วย ทำได้งัยนี่

//ภาพนี้ตรงพื้นเดิน




ส่วนโซนนี้ ดูเหมือนที่นั่งประชุมกันรึเปล่านะ??
เพราะเห็นมีเก้าอี้ นั่งได้สองชั้น และ เก้าอี้ก็สลักหน้าตาแปลกๆ








ภาพวาด และ รูปวาดมีกระจกสี


===



ในวงกลมเป็นรูปปั้นวัว



ป้าซิ่งเดินออกจากสถานที่ประกอบพิธีไปแล้ว
ก็ยังมีรูปเกือกม้าทรงโค้งๆให้ดูอยู่ตลอดเส้นทาง






สิ่งของสำคัญทางประวัติศาสตร์ของที่นี่




เดินขึ้นหน้าต่อไปค่ะ






คัมภีร์ไบเบิ้ล ที่เก็บรักษาไว้




====





ฝาโลง กับ โลงศพ สมัยโบราณกาล


เกือบจะหาทางออกไม่ได้เพราะข้างในค่อนข้างมืด
ต้องหาคำว่า " SALIDA " แปลว่า ทางออก
ถ้าเจอะแล้วมีลูกศรชี้ทางด้วย ก็ออกจากสถานที่นี้ได้ค่ะ

จบแล้วค่ะ ต่อด้วยบล๊อคหลัก อาหารการกิน ในอันดับต่อไปนะคะ
ขอบคุณเพื่อนๆที่แวะเข้ามาชม นะคะ
