เคล็ดลับการช็อปปิ้งห้าข้อ สำหรับผู้ป่วยเบาหวาน และผู้ไม่อยากเป็นเบาหวาน (ตอนที่ 3)
ไปอ่านตอนที่สอง


สำหรับตอนนี้เป็นคีย์เลยครับ สำหรับผู้เป็นเบาหวานประเภทสองในระยะแรก สามารถหายได้เมื่อรับประทานอาหารที่มีไฟเบอร์สูง งดอาหารแปรรูปทั้งหมด

เชิญอ่านครับ....



เคล็ดลับข้อที่สาม อย่าเชื่อคำอ้างเกี่ยวกับสุขภาพบนผลิตภัณฑ์นั้นในทันที


ให้เป็นผู้มีความเฉลียว ให้สงสัยไว้ก่อนว่าคำอ้างข้างห่อที่ว่ามีดีอย่างนั้น อย่างนี้ เป็นความจริงหรือไม่ ซึ่งส่วนใหญ่ มักจะเป็นข้อความชวนให้เข้าใจผิด และไม่ให้ข้อมูลที่เป็นจริงเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์นั้นๆ

ยกตัวอย่างเช่น ข้าวโอ๊ตกึ่งสำเร็จรูปที่เติมน้ำแล้วกินได้เลยนั้น อ้างว่าดีต่อสุขภาพ เพราะทำจากข้าวโอ๊ต แม้ว่าจริงๆ แล้วมันผ่านกรรมวิธีต่างๆ มาจนไม่เหลือของดี ทั้งยังทำให้กลายเป็นอาหารทำลายสุขภาพ เพิ่มปริมาณน้ำตาลในเลือด ทำให้น้ำตาลขึ้นๆ ลงๆ แย่ต่อสุขภาพของผู้ป่วยโรคหัวใจและเบาหวาน ซึ่งผมคิดว่าคำโฆษณาพวกนี้ไม่ควรได้รับอนุญาต

ผมเห็นผลิตภัณฑ์นมรสสตรอเบอรี่ โฆษณาว่า มีแคลเซี่ยมสูง แต่ถ้ารู้ทันคำลวง จะไปสนใจทำไมกับแคลเซี่ยมที่ใส่เพิ่มเข้าไปนิดหน่อย เมื่อเทียบกับข้อเสียที่มันมีน้ำตาลจำนวนมาก กับรสและกลิ่นสังเคราะห์ ถ้าคุณอยากทานนม แล้วคุณก็หยิบนมสตรอเบอรี่นี่มาทาน คุณได้อะไร ? คุ้มหรือไม่ระหว่างกับน้ำตาลจำนวนมาก กับ แคลเซี่ยมนิดหน่อย โดยเฉพาะผู้ป่วยเบาหวาน

แล้วข้าพเจ้าก็ยังเคยเห็นน้ำสลัด ที่ระบุว่า ทำจากน้ำมันมะกอกพิมพ์บนฉลากตัวโตๆ แต่พอไปอ่านส่วนประกอบจริงๆ กลับเป็นว่า มีน้ำมันคาโนล่าเป็นองค์ประกอบหลักซะนี่ (น้ำมันคาโนล่า ผลิตจากเมล็ด rapeseed มีต้นกำเนิดในคานาดา ปัจจุบัน Canola กลายเป็นเครื่องหมายการค้าของน้ำมันจาก rapeseed ที่เป็นพืช GMO) และก็ยังพบผลิตภัณฑ์ที่น่าประหลาดอีกอย่างคือ ซอสจิ้ม guacamole (กัวคาโมล คือ ซอสจิ้มที่ทำจากอะโวคาโด มีต้นกำเนิดจากชาวแอซเท็ค เป็นการถนอมอะโวคาโดไว้รับประทานในรูปซอสจิ้ม) ซึ่งเจ้าซอสกัวคาโมลนี้กลับไม่มีอะโวคาโด คุณคิดดู ซอสอะโวคาโด ที่ไม่มีอะโวคาโดเป็นส่วนประกอบ ?! และผลิตภัณท์อีกมากมายเลยที่โฆษณาว่าไขมันต่ำ มีไฟเบอร์ ฯลฯ กินแล้วหุ่นดีทั้งหลาย แต่กลับมีน้ำตาลมากมาย เพราะเมื่อเอาไขมันออก ก็ต้องชดเชยรสชาติที่ขาดไปด้วยน้ำตาลเพื่อให้คงรสชาติเดิมไว้

ทุกท่านที่สนใจรักษาสุขภาพ อยากมีสุขภาพที่ดี จะต้องเรียนรู้ที่จะไม่สนใจต่อคำโฆษณาชวนเชื่อเกี่ยวกับสุขภาพต่างๆ คำโฆษณามีมากมายที่ชวนให้เข้าใจผิด และแม้จะผ่านอนุมัติจาก อ.ย. แต่มันก็ไม่ได้บอกถึงสิ่งที่บรรจุอยู่ในผลิตภัณฑ์จริงๆ ดังนั้น อย่าเชื่อคำโฆษณาที่แปะอยู่หน้าบรรจุภัณฑ์ซึ่งล้วนแต่พาให้เข้าใจผิด






เคล็ดลับข้อที่สี่ ซื้ออาหารสดและวัตถุดิบสดที่ไม่ได้ปรุงแต่ง

ซื้อวัตถุดิบต่างๆ ที่ไม่ได้ผ่านการปรุงแต่งใดๆ แทนที่จะบริโภคอาหารจำพวกแป้งขาว เช่น ซื้อขนมปังที่ผลิตจากเมล็ดข้าวสาลี แทนที่จะเป็นแป้งสาลี หรือเป็นธัญพืชอื่นๆ เช่น kamut (พืชชนิดหนึ่ง คล้ายข้าวสาลี ต้นกำเนิดมาจากอียิปต์โบราณ) แต่ระวังอย่าสับสนระหว่างขนมปังแป้งข้าวสาลี (wheat bread กับ white bread เป็นขนมปังแป้งขาวเหมือนกัน) กับ ขนมปังจากเมล็ดข้าวสาลี (whole-grain wheat bread) เวลาเลือกซื้อให้สังเกตให้ดีด้วย

เวลาเลือกซื้อ ให้สังเกตจากฉลาก อย่าซื้อเพราะสีของมัน ให้อ่านฉลากวัตถุดิบให้ดีว่ามันทำจาก เมล็ดข้าวสาลี whole-grain wheat เท่านั้น ข้อสังเกตนี้ใช้ได้กับผลิตภัณฑ์หลายๆ อย่าง ปัจจุบันนี้ มีอาหารเช้าซีรีล ขนมปัง และอื่นๆ ที่ทำจากเมล็ดธัญพืชให้เลือกซื้อ ให้สังเกตให้ดี

แล้วทำไมธัญพืชที่ยังคงสภาพเป็นเมล็ด หรือ whole-grain จึงดีต่อสุขภาพ และแนะนำให้ผู้ป่วยเบาหวานทานล่ะ? เพราะเมล็ดธัญพืชดังกล่าว มีไฟเบอร์ และไขมันที่เป็นประโยชน์ ซึ่งช่วยรักษาระดับน้ำตาลได้ และยังลดความเร็วในการดูดซึมคาร์โบไฮเดรตเข้าสู่กระแสเลือดอีกด้วย เมื่อคุณรับประทานอาหารพวกแป้งขาว ขนมปังขาว ก็เหมือนกับการฉีดน้ำตาลเข้าเส้นเลือด อาหารที่ทำจากแป้งขาวดังกล่าวทั้งอ่อน และยุ่ยง่าย มีพื้นที่ผิวสัมผัสมาก ซึ่งจะถูกย่อยและดูดซึมได้ง่ายและเร็วมาก เปลี่ยนเป็นน้ำตาลในเลือดระหว่างกระบวนการย่อย แต่ถ้าเป็นอาหารที่ทำจากเมล็ดธัญพืช whole-grain กระบวนการนี้จะช้าลง และไม่ทำให้น้ำตาลในเลือดเพิ่มเร็วเกินไป แต่กลับยังให้คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน ซึ่งช่วยรักษาระดับน้ำตาลให้คงที่ในระยะเวลาที่ยาว นานกว่า ซึ่งง่ายต่อการจัดการของตับอ่อน ช่วยให้คุณลดความจำเป็นในการใช้อินซูลิน นอกจากนี้ยังช่วยให้อารมณ์แจ่มใส ลดสภาวะน้ำตาลเกินซึ่งอันตรายต่อระบบประสาท และอื่นๆ ที่มีผลกับเบาหวาน

เมื่อเดินเข้าซุปเปอร์มาเก็ต หรือร้านโชวห่วย ให้ซื้อผลิตภัณฑ์อาหารประเภทเมล็ดธัญพืชให้มาก และหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่ทำจากแป้งขาว ไม่เพียงแต่อาหารตระกูลแป้งสาลี แต่ต้องระวังอาหารพวกข้าวโอ๊ตด้วย อย่าซื้อข้าวโอตกึ่งสำเร็จเด็ดขาด ให้ซื้อเป็นเมล็ดข้าวโอ๊ตแทน
ถ้าคุณไม่เคยเห็นว่าเมล็ดข้าวโอ๊ตจริงๆเป็นอย่างไร ให้เลือกข้าวโอ๊ตชนิดที่ไม่ได้แค่ปรุง 3-5 นาทีเสร็จ ให้เลือกชนิดที่ใช้เวลาปรุงนานๆ ยิ่งเป็นชนิดที่จำเป็นต้องปรุงนานเท่าไรก็ดีเท่านั้น อาหารทุกอย่างที่กึ่งสำเร็จรูป ใส่น้ำร้อนก็ทานได้ทันทีทุกชนิดไม่ดีต่อสุขภาพและเร่งการเป็นเบาหวานทั้งสิ้น

ถ้าคุณรับประทานข้าว ผมแนะนำให้ทานข้าวซ้อมมือ ซึ่งนอกจากจะป้องกันโรคเบาหวานแล้ว ยังช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือด และเนื่องจากข้าวซ้อมมือมีไฟเบอร์สูง จึงสามารถป้องกันมะเร็งลำไส้ได้ ข้าวซ้อมมือนี้ใช้เป็นยารักษามะเร็งกันในทวีปเอเชีย โดยใช้ร่วมกับชาเขียว เห็ดบางชนิด และวิตามิน D แต่รายละเอียดนี้อยู่ในหนังสือเล่มอื่นถ้าคุณสนใจ ส่วนเล่มนี้ เราจะเน้นให้คุณซื้อหาเฉพาะธัญพืชธรรมชาติให้มากที่สุดถ้าเป็นไปได้ และหลีกเลี่ยงแป้งขาว และอาหารกึ่งสำเร็จรูปทุกชนิด (ที่บ้านผมแม้ไม่มีใครเป็นเบาหวาน แต่ก็ชอบทานถั่วเขียวต้ม โดยซื้อถั่วเขียวดิบที่เพาะเป็นถั่วงอกได้มาต้ม ไม่ใช้แบบสำเร็จต้มห้านาที –ผู้แปล)


เคล็ดลับข้อที่ห้า เลือกรับประทานอาหารที่มีไฟเบอร์สูง

พยายามเลือกอาหารที่มีไฟเบอร์สูง... แล้วจะหาได้จากไหนละเนี่ย ในซุปเปอร์มาร์เก็ตมีมั้ย ? สำหรับมือใหม่ ให้มองหาอะไรก็ได้ที่ข้างห่อข้างกระป๋องระบุว่าเป็น whole-grain ตามที่แนะนำข้างต้น แต่ก็มีอีกแหล่งที่เต็มไปด้วยไฟเบอร์ (และในบ้านเราหาง่ายมากๆ --ผู้แปล) ก็คือ พืชผักผลไม้สดๆ ทุกชนิด

ถ้าคุณทานผักสดๆ อย่าง Celery สักสี่ห้าต้น คุณจะได้ไฟเบอร์ที่ดีต่อสุขภาพเข้าไปในร่างกาย นอกจากนี้ยังสามารถหาอาหารเสริมไฟเบอร์ที่มีจำหน่ายตามร้านขายยา หรือร้านสะดวกซื้อ มารับประทานเพิ่มก็ได้ แต่ต้องระวัง ผลิตภัณฑ์หลายชนิดมักใส่สารให้ความหวานแทนน้ำตาล หรือใช้น้ำตาล, น้ำตาลฟรุคโตส ซึ่งจัดอยู่ในประเภทคาร์โบไฮเดรท ซึ่งจะทำให้ไปหักล้างกับคุณประโยชน์ของไฟเบอร์ไปหมด เอาง่ายๆ อย่าซื้อที่มันมีรสหวาน

(ส่วนนี้เป็นคำแนะนำผลิตภัณฑ์ที่คงจะหาซื้อได้เฉพาะในอเมริกา โฆษณาแผงรึปล่าวนี่ตัดสินกันเองนะครับ ผมจะไม่ตัดออก --ผู้แปล)
ถ้าต้องการผลิตภัณฑ์สุขภาพที่เป็นของจริงๆ ลองดูที่ Trader Joe’s มีอาหารเสริมชื่อ Psyllium husk fiber ซึ่งไม่มีสารให้ความหวาน หรือน้ำตาลอยู่เลย รสชาติอาจไม่เดีเท่าไร แต่จะมีคุณภาพดีกว่าของยี่ห้ออื่นๆ

บริษัท Amazon Herb เสนอผลิตภัณฑ์ที่ชื่อ Fiberzon ซึ่งใช้ไฟเบอร์ของ Psyllium husk แต่เพิ่มสมุนไพรที่ดีต่อระบบทางเดินอาหารเข้าไปด้วย ช่วยระบายสารพิษจากอาหารเก่าที่ค้างในลำไส้ ซึ่งช่วยป้องกันมะเร็งจากพิษต่างๆ และจากอาหารที่ย่อยไม่หมด มันจะช่วยให้กากอาหารผ่านออกไปจากระบบได้เร็วขึ้น

ข้าพเจ้าเคยพบกับคนหลายคนที่ทานอาหารเสริมนี้แล้วช่วยให้หายจากอาการอ่อนเพลีย มีอารมณ์ที่แจ่มใสชึ้น และมีสุขภาพดีขึ้นจริงๆ สำหรับบริษัท Amazon Herb นี้เป็นบริษัทที่ข้าพเจ้าเชื่อใจ และสนับสนุน ไม่เพียงแต่เฉพาะผลิตภัณฑ์ แต่ด้วยปรัชญาของบริษัทที่พยายามรักษาป่าฝน และสร้างฐานเศรฐกิจที่ยั่งยืนให้กับวัฒนธรรมทางอเมริกาใต้

อย่างที่ท่าน ทราบ ข้าพเจ้าไม่ได้มีส่วนได้เสียใดๆ กับบริษัท Amazon Herb ไม่มีความสัมพันธ์ทางการเงินใดๆกับบริษัท ไม่ใช่ผู้แทนจำหน่าย ไม่ได้ค่าคอมมิชชั่นใดๆ แต่ถ้าท่านจะติดต่อผู้แทนจำหน่าย ข้าพเจ้าแนะนำให้ได้ และข้างล่างนี้คือบุคคลที่แนะนำให้ติดต่อ ซึ่งเป็นคนที่เปิดใจ ตรงไปตรงมา ข้าพเจ้าคิดว่าบุคคลนี้จะแนะนำท่านได้อย่างดี

Terry Pezzi
Phone: (520) 247-1700
Toll-free USA: 1-866-693-8622
อีเมล: amazondreams ณ amazonherb ด็อท net
Website: //www.amazondreams.amazonherb.net


ทุกครั้งที่ข้าพเข้าแนะนำผลิตภัณฑ์ในรายงาน หรือในหนังสือต่างๆ ที่ข้าพเจ้าเขียน ข้าพเจ้าไม่เคยได้ผลประโยชน์ใดๆ จากบริษัทที่กล่าวถึง บริษัทต่างๆ ไม่ได้จ่ายเงินเพื่อให้มีรายชื่อขึ้นอยู่ในงานของข้าพเจ้า ข้าพเจ้ามีจรรยาบรรณที่จะไม่รับเงินใดๆ จากบริษัทผู้ผลิตอาหารเสริม ท่านสามารถเชื่อใจได้ว่าทุกอย่างที่แนะนำนี้อยู่บนพื้นฐานของความจริงใจ โดยไม่มีผลประโยชน์หรือรายได้ใดๆ สู่ข้าพเจ้า ยกเว้นแต่เพียงเฉพาะรายได้จากการขายหนังสือและค่าลิขสิทธิ์จากงานเขียนของข้าพเจ้าเท่านั้น

เอ้าเข้าเรื่อง... ต่อกันด้วยเรื่องไฟเบอร์ จำไว้ว่าท่านสามารถตรวจดูบนฉลากคุณค่าอาหารบนผลิตภัณฑ์นั้นๆ เพื่อทราบว่ามีไฟเบอร์อยู่มากน้อยเท่าใด ฉลากคุณค่าอาหารจะมีในทุกผลิตภัณฑ์ที่ขายในอเมริกา ซึ่งจะบอกว่ามีไฟเบอร์กี่กรัมในอาหาร ในผู้ป่วยเบาหวาน รับประทานไฟเบอร์ยิ่งมาก ยิ่งดี ดังนั้น เลือกซื้ออาหารที่มีไฟเบอร์สูงๆ โดยอ่านฉลากคุณค่าอาหารทุกครั้ง

ตอนนี้ทุกท่านก็คงสงสัยแล้วว่า ทำไมไฟเบอร์ถึงดีกับเบาหวาน ? คำตอบคือไฟเบอร์จะไปหน่วงการดูดซึมคาร์โบไฮเดรทในอาหาร เมื่อมันดูดซึมช้าลง หมายความว่าระดับน้ำตาลในเลือดจะไม่สูงอย่างฉับพลัน ซึ่งง่ายต่อการจัดการของตับอ่อน ช่วยให้ลดปริมาณอินซูลินที่ผลิต และในระยะยาว จะช่วยเพิ่มความไวต่ออินซูลินให้กับเซลของร่างกาย ซึ่งผู้ป่วยเบาหวานประเภทที่สองมีปัญหาเรื่องความไวต่ออินซูลินของเซลในร่างกาย

ด้วยเหตุผลนี้ การรับประทานอาหารไฟเบอร์สูงทุกๆ มื้อ ท่านสามารถลดค่า Glycemic index ของคาร์โบไฮเดรท และอาหารที่มีน้ำตาลทุกชนิด ตรงนี้เป็นจุดสำคัญ เพราะว่าเป็นเรื่องจำเป็นที่ต้องรับประทานไฟเบอร์ทุกครั้งที่รับคาร์โบไฮเดรทเข้าไปมากกว่าปกติ ยกตัวอย่างเช่น เมื่อคุณกินโดนัท ซึ่งเป็นอาหารขยะที่ต้องหลีกเลี่ยง เพราะมันมีทั้งไขมัน และคาร์โบไฮเดรทบริสุทธิ์ ซึ่งอาจจะมีค่า Glycemic index ที่ 85 แต่ถ้าคุณกินอาหารเสริมไฟเบอร์ Psyllium husk 1 ช้อนโต๊ะ (ช้อนโต๊ะฝรั่งนี่ประมาณ 2 ช้อนกินข้าวไทยได้มั้ง) ผสมน้ำ 1 แก้ว ก่อนรับประทานโดนัทสัก 10 นาที จะให้ผลลดค่า Glycemic index ที่ปรากฏได้เหลือประมาณ 40

เมื่อดื่มอาหารเสริมไฟเบอร์เข้าไปมากๆ แล้วกินอาหารคาร์โบไฮเดรท ท่านสามารถลดค่า Glycemic index ของอาหารนั้นได้ ช่วยผ่อนการทำงานของตับอ่อนลง ลดการพุ่งขึ้นของระดับน้ำตาลในเลือด และปกป้องร่างกายคุณโดยย้อนกลับกระบวนการของโรค โดยหยุดสภาวะการทำลายที่เกิดขึ้นซ้ำๆ ที่เป็นต้นเหตุของโรคเบาหวาน

จำไว้เลยว่าเบาหวานประเภทที่สองนั้นไม่ใช่โรค แต่เป็นภาวะของระบบเมตาบอลิซึมที่เป็นผลจากเหตุธรรมดาๆ ซึ่งเหตุเกิดจากการรับประทานอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรทบริสุทธิ์สูง รูปแบบการใช้ชีวิต และการไม่ออกกำลังกาย ไม่มีอะไรที่ทำให้เกิดโรคโดยตรง ไม่ใช่การผ่าเหล่าของยีน (แต่พันธุกรรมอาจจะทำให้คุณมีโอกาสมากกว่านิดหน่อยก็เท่านั้น --ผู้แปล) ที่ทำให้คุณเป็นเบาหวาน แต่มันเป็นผลจากการที่คุณเลือกทานอาหารไม่เหมาะสม และการออกกำลังน้อยเกินไป และด้วยเหตุนี้ มันก็เป็นข่าวดีไปในตัว เพราะว่าสามารถที่จะย้อนกระบวนการนี้ได้โดยเลือกรับประทานอาหารที่ดีมีคุณค่า ดังที่ได้บรรยายไว้ตอนต้น ร่วมกับการออกกกำลังกายอย่างพอเพียง

ทำไมข้าพเจ้าจึงทราบเรื่องนี้? มีสองเหตุผล ข้อที่หนึ่ง ข้าพเจ้าใช้เวลากว่า 5000 ชั่วโมงในการศึกษาเรื่องโภชนาการ สาเหตุของเบาหวาน และวิธีที่จะย้อนกลับกระบวนการของโรคด้วยอาหาร และเหตุผลข้อที่สอง ข้าพเจ้าดำเนินชีวิตมาทางสู่โรคนี้ด้วยตัวเอง ข้าพเจ้าเคยมีสภาวะเริ่มแรกของเบาหวาน ที่เรียกว่า ไฮโปไกลซีมิค (Hypoglycemic) ข้าพเจ้าป่วยด้วยอาการต่างๆ และเริ่มน้ำหนักเกิน แต่ข้าพเจ้าสามารถย้อนกระบวนการของโรคโดยเลือกอาหารที่ดีต่อสุขภาพ ดังที่ได้บรรยายให้ท่านแล้ว โรคนี้สามารถย้อนกลับหายได้เมื่อเป็นในระยะเริ่มต้น

สรุปเคล็ดลับเบาหวานข้อสุดท้าย คือการทานอาหารไฟเบอร์สูงๆ เท่าที่จะทำได้ และหาอาหารเสริมมารับประทานร่วม ซึ่งเป็นวิธีที่ง่ายในการเสริมไฟเบอร์ให้ร่างกาย

------------------------------------------------





















ประสพการณ์ตรงจากผู้แปล : NaCl

ผมเองก็เกือบไปเหมือนกัน โดยมีอาการไฮโปไกลซีเมีย เช่นเดียวกับผู้เขียน ต่างกันที่ต้นเหตุ ผมมีอาการป่วยตอนเย็นบ่อยมากๆ แต่ที่สังเกตได้คือ แม้ว่าจะเป็นบ่อยเท่าใด รุนแรงจนเข้าโรงพยาบาล หรือเบาๆ พอรำคาญ ก็ไม่เคยมีอาการในวันหยุดเสาร์ อาทิตย์ หรือวันนักขัตฤกษ์เลยแม้แต่ครั้งเดียว มาสงสัยที่สุดก็คือต้นปี 48 ที่ไปช่วยสึนามิที่ภาคใต้ ได้ทานอาหารบริจาคล้วนๆ ซึ่งแน่นอน ไม่มีใครบริจาค “สิ่งหนึ่ง” เพราะไม่จำเป็น

ผมไปทำงานอยู่หลายวัน แม้จะนอนดึกมาก ตื่นเช้ามาก ก็ไม่เป็นอะไรเลย ซึ่งถ้าเป็นที่กรุงเทพ คงต้องมีสักวันที่เดี้ยงแน่นอน แต่ผมกลับมีแรงช่วยงานตลอดทั้งวัน จนกลับมากรุงเทพ พอเริ่มทำงานปกติ ก็ป่วยอีก ทำให้ผมสงสัยว่า อะไรที่ทำให้ป่วยต้องอยู่ในอาหารแน่นอน

ผมเริ่มสังเกต และศึกษาทางอินเตอร์เน็ท หลายเดือนกว่าจะจับทางได้ แรกๆมั่วไปหมด เช่น แพ้กาแฟ? แพ้ชอกโกแลต? แพ้นม? เช็คจนหมด ตรวจด้วยตนเองจนหมด (ผมเป็นวิศวกรนิสัยเสียที่ไม่ยอมอะไรง่ายๆ และคิดว่าตัวเองเป็นวิศวกรได้ก็ต้องเป็นหมอได้วะ) เช็คและทดสอบโดยงดอาหารและต้นเหตุที่เป็นไปได้ทั้งหมด แต่อาการไม่หายเลย...

มีอยู่ครั้งหนึ่งผมอาการหนักมาก ความดัน 100/180 เข้าโรงพยาบาล หมอจับแอดมิดทันที ผมไม่สามารถนอนราบได้ มันเหมือนจะหายใจไม่ออก เอ๊ะ ต้องหายใจไม่เข้าสิ ตื้อๆ ยังไงบอกไม่ถูก หมอเช็คคลื่นหัวใจ แล้วบอกผมว่าถ้าเป็นอีกให้เข้าโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดโดยไม่บอกเหตุผล หลังจากเช็คผลเลือด ครั้งแรก หมอให้น้ำเกลือชนิดกลูโคสสูง และโปตัสเซี่ยมชนิดน้ำให้ทาน พอขวดที่สอง หมอให้น้ำเกลือชนิดโปตัสเซี่ยมสูง พอเช้ามาอาการก็ดีขึ้นมาก

มาวันหนึ่ง หลังจากวันที่ป่วยจนต้องหยุดงานแต่ไม่แรงขนาดเข้าโรงบาล ผมปวดหัวมาก จึงไปวัดความดันที่ห้องพยาบาลของบริษัท ความดันตัวล่างปกติ ตัวบนสูงผิดปกติ 70/135 สังเกตได้ว่าหัวใจเต้นแรงจนรู้สึก ซึ่งผมจำได้ว่ามีความรู้สึกหัวใจเต้นเร็ว แรง ในช่วงที่ป่วยทุกครั้ง จนสงสัย อะไรทำให้ความดันสูง ? ก็สงสัยโซเดียม แต่ไม่ได้ทานเค็ม เลยนึกได้ว่า มี โมโนโซเดียมกลูตาเมต อีกตัวหนึ่ง ที่อาจทานเข้าไปมาก ตอนนั้นเข้าใจว่าเป็นเพราะโซเดียมในนั้น แต่ เมื่อค้นเอกสารในอินเตอร์เน็ทจำนวนมาก อ่านไปเป็นร้อยๆ หน้า หลายสิบเว็บไซต์ พบว่า ปัญหาคือ กลูตาเมต ไม่ใช่ โซเดียม โดยอาการที่บอกในเน็ทตรงกับอาการของผมทุกประการ รวมทั้งอาการไฮโปไกลซีเมียด้วย

ทีนี้คุณก็รู้แล้วนะครับ ว่า “สิ่งหนึ่ง” ที่ผมกล่าวตอนต้นคืออะไร มันคือ ผงชูรส หรือ โมโนโซเดียมกลูตาเมต !!

ผมได้ทราบความจริงที่น่าตกตะลึงเกี่ยวกับกลูตาเมต รวมทั้งสารให้ความหวานแทนน้ำตาล หรือที่เรียกว่า แอสปาร์แตม ซึ่งจะถูกกล่าวถึงอยู่ด้วยกันเสมอในบทความและรีวิวงานวิจัย ในฐานะที่มันเป็น Excitotoxin หรือสารพิษต่อระบบประสาทชนิดหนึ่ง ซึ่งมีผลร่างกายหลายระบบมาก ทั้ง สมอง หัวใจ ระบบเอ็นดอซรีน ไฮโปทาลามัส ธัยรอยด์ ตับอ่อน และอื่นๆ ซึ่งสรุปแล้วผมโดนเข้าไป เต็มๆ

อาการของผม กลูตาเมตไปรบกวนระบบผลิตอินซูลิน ทำให้น้ำตาลในเลือดลดต่ำลงอย่างต่อเนื่อง จนถึงระดับอันตราย รวมถึงไปกระตุ้นระบบไฟฟ้าหัวใจ ทำให้หัวใจเต้นผิดปกติ ซึ่งล้วนอันตรายถึงตายทั้งสองกรณี หากรักษาไม่ทัน และหากเป็นต่อเนื่อง แน่นอน ผมมีโอกาสที่จะเป็นเบาหวานประเภทสอง เนื่องจากเซลดื้อต่ออินซูลินที่ผลิตมามากเกินไป

จากการแอบดู หลอกถาม และวิชามารอื่นๆ พบว่าแต่ละร้านใส่ผงชูรสในอาหารเกือบ 1 ช้อนกินข้าวในทุกจานที่ขายให้ทุกคน นอกจากนี้มีเพื่อนร่วมงานผู้รับประทานขนมอย่าง ปาท่องโก๋ตอนเช้า มีอาการเหมือนผมเด๊ะในเวลา 11 โมง และเพื่อนที่มีอาการหัวใจเต้นผิดปกติตอนบ่ายๆ เหมือนผม อีกคนปวดหัว และมีความรู้สึกเครียดจนทำงานไม่ได้บ่อยๆ

นั่นหมายความว่า บางคน ก็ได้รับผลและมีอาการ แต่บางคนอาจทนได้มากกว่า และไม่มีอาการ แต่ที่น่าตกใจคือ ในปาท่องโก๋ไม่กี่ชิ้น มีผลถึงกับหัวใจเต้นผิดปกติ และมีอาการไฮโปไกลซีเมียในเวลาไม่กี่ชั่วโมง!!

มีการทดลองซ้ำ (ไม่เชื่อว่าจะเป็นปาท่องโก๋) เพื่อยืนยันผลจากปาท่องโก๋ พบว่า ในปาท่องโก่น่าจะมีผงชูรสจำนวนมากเกินระดับปกติไปหลายสิบเท่าจริงๆ และมีสายสืบรายงานว่า ร้านปาท่องโก๋บางร้านซื้อผงชูรสไปเป็นกระสอบ พร้อมกับแป้งไปด้วยกัน !!

ถึงแม้ว่าผมจะทำอะไรไม่ได้กับแม่ค้าพ่อค้าเหล่านี้ แต่ผมสามารถเตือนทุกท่านได้ ผ่านทางอินเตอร์เน็ทที่กำลังอ่านอยู่นี้ ว่าจงระวังอาหารทุกจาน ขนมทุกชนิดที่ซื้อ มันอาจเป็นต้นเหตุของอาการป่วยของคุณ โปรดระวังอย่าทานอาหารที่ไม่แน่ใจ อย่าทานเพราะว่าอร่อย ถ้าร้านใดมีคนว่าอร่อย ผมแนะนำว่าอย่าเข้า อย่าอุดหนุน จนกว่าจะแน่ใจว่ามาจากฝีมือจริงๆ ไม่ใช่เพราะชูรส 1 ช้อนกินข้าว

ทุกวันนี้ ผมและเพื่อนๆ ที่ทราบเรื่องนี้จากผม ต่างหลีกเลี่ยงอาหารดังกล่าว และไม่มีใครป่วยอีกเลย ทุกคน รวมทั้งผมเอง สุขสบายดี ไม่มีอาการป่วยจนต้องลางาน ซึ่งนับถอยหลังไป 1 ปี ผมไม่ต้องลาป่วยเลยแม้แต่วันเดียว






Create Date : 07 เมษายน 2550
Last Update : 8 เมษายน 2550 15:03:13 น.
Counter : 11348 Pageviews.

9 comments
สวัสดีปีใหม่ ๒๕๖๗ มาช้ายังดีกว่าไม่มา
(2 ม.ค. 2567 07:30:30 น.)
The Last Thing on My Mind - Tom Paxton ... ความหมาย tuk-tuk@korat
(1 ม.ค. 2567 14:50:49 น.)
สวัสดีปีใหม่ Rain_sk
(1 ม.ค. 2567 21:38:33 น.)
BUDDY คู่หู คู่ฮา multiple
(3 ม.ค. 2567 04:49:04 น.)
  
ขออภัย ลืม แปลสองครั้งดันใช้สรรพนามไม่ตรงกัน


บางทีเป็นคำว่าผม บางทีเป็นคำว่าข้าพเจ้า อันนี้หมายถึงผู้เขียนหนังสือนี้นะครับ ถ้าหมายถึงตัว NaCl ที่แปลให้อ่านกันจะวงเล็บไว้คับบบ

โดย: NaCl วันที่: 7 เมษายน 2550 เวลา:13:40:53 น.
  
ขอบคุณมากๆ ครับที่ส่งมาให้อ่าน

ทุกวันนี้หาอาหารเพื่อสุขภาพราคาประหยัดทานยากนะครับ
โดย: freeek!!! วันที่: 7 เมษายน 2550 เวลา:14:41:59 น.
  
ขอบคุณสำหรับสาระดี ๆ ที่น่าอ่านนะคะ
โดย: ying (yoyo_ying99 ) วันที่: 7 เมษายน 2550 เวลา:16:34:54 น.
  
โดย: NaCl วันที่: 16 เมษายน 2550 เวลา:17:21:02 น.
  
ขอบคุณมากค่ะ ขยันเนอะ
โดย: ต๊ากุ้ด วันที่: 19 เมษายน 2550 เวลา:10:53:12 น.
  
มาดูด ความรู้ อ่ะคะ
โดย: นักเคมี วันที่: 26 พฤษภาคม 2550 เวลา:19:48:07 น.
  
จะมาตามอ่านเรื่อยๆนะคะ ขอบคุณคะ

เเม้เเต่ปาท่องโยงใส่ผงชูรสเหรอเนี่ย เพิ่งจะรู้ น่ากลัวจริงๆ
โดย: วาฬอันดามัน วันที่: 29 มิถุนายน 2550 เวลา:15:55:00 น.
  
นั่นหมายความว่า วัฒนธรรมการทำอาหารของร้านอาหารทั่วไปมักจะนิยมการใส่ผงชูรสเป็นอย่างมาก (ถึงมากที่สุด) ตัวอย่างเช่นผมไปทานร้านลาบกับเพื่อนที่ทำงาน ดันทะลึ่งไปเห็นตอนเค้ากำลังปรุงพอดี สองช้อนโต๊ะครับต่อน้ำตกหนึ่งจานกลางๆ

เพื่อหลีกเลี่ยงการได้รับผงชูรสมากขนาดนั้น ผมเลยสั่งหมู่ปิ้งมากินสี่ไม้กับข้าวเหนียวแทนครับ

ตอนนี้ไม่นึกว่าปาท่องโก๋ก็มีครับ
โดย: Jump.Jr วันที่: 4 ธันวาคม 2550 เวลา:8:10:22 น.
  
เจ๋งครับ
โดย: Mr.Terran วันที่: 26 เมษายน 2551 เวลา:9:54:26 น.
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

Nacl.BlogGang.com

NaCl
Location :
นนทบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 12 คน [?]