ลาวใต้ - อุบลราชธานี ~~~ มื้อเช้าที่สามชัยกาแฟ วัดหลวง วัดแจ้ง ทริปลาวใต้ - อุบลราชธานี 27 พฤศจิกายน - 4 ธันวาคม 2562 ตอนที่ 14 เที่ยววัดเมืองอุบล เช้าวันที่ 3 ธันวาคม 2562 หลังจากเสิร์ชดูร้านอาหารเช้าหลายร้าน ตกลงใจเลือกร้านสามชัยกาแฟค่ะ เพิ่งนึกออกว่า ทริปอุบล ยังอัปบล็อกไม่จบค่ะ เช้านี้เรากินอะไรบ้าง กาแฟโบราณ ไข่กระทะ ข้าวจี่เวียดนาม ปาท่องโก๋จิ้มนมข้น เยอะอยู่ค่ะ รวม ๆ เดินผ่านโรงเรียนอนุบาล บรรยากาศช่วงเช้าหน้าโรงเรียน เหมือน ๆ กันหมดเนาะ 07.45 น. เวลาเดินเล่น ค่อย ๆ เดิน ก็จะได้ละเลียดรื่นรมย์อะไรแบบนี้ล่ะค่ะ 07.55 น. วัดแรกของเช้านี้ค่ะ วัดหลวง เป็นวัดคู่บ้านคู่เมืองจังหวัดอุบลราชธานี ผู้สร้างคือ พระประทุมวรราชสุริยวงศ์ (เจ้าคำผง) ที่ตั้งติดกับที่พักอาศัยของพระประทุมวรราชสุริยวงศ์ ซึ่งชาวเมืองอุบลจะเรียกว่า คุ้มญาหลวง หรือคุ้มโฮงกลาง เหตุที่ชื่อวัดหลวงนั้นเรียกตามชื่อพระประทุมวรราชสุริยวงศ์ ที่เรียกกันว่า “ญาหลวงเฒ่า” ในอดีตนั้นวัดหลวงเป็นสถานที่ประชุมทำพิธีถือน้ำพิพัฒน์สัตยาก่อนที่จะมีวัดสุปัฏนารามวรวิหาร วัดถูกสร้างขึ้นปี พ.ศ. 2334 ภายในวัดเสนาสนะที่สร้างล้วนวิจิตรงดงามด้วยศิลปะการแกะสลักปิดทองลงรักประดับกระจกศิลปกรรมแบบหลวงพระบาง ทั้งพระประธาน หอไตร เจดีย์ธาตุ ศาลาการเปรียญ สิมอุโบสถ หอกลอง หอระฆัง กุฎิสงฆ์ หอปราสาทธรรมาสน์ แต่ปัจจุบันถูกรื้อถอนออกหมดแล้วด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ พระพุทธรูปสำคัญของวัดหลวง คือ พระสำริดปางห้ามญาติ พระไม้จันทร์ปางห้ามญาติ พระทรงเครื่องกษัตริย์ พระพุทธรูปแบบล้านช้าง พระแก้ว แต่ปัจจุบันได้สูญหายไปบ้างแล้วเช่นกัน รูปหล่อของพระประทุมวรราชสุริยวงศ์ (เจ้าคำผง) วิหารพระเจ้าใหญ่องค์หลวง พระเจ้าใหญ่องค์หลวง พระเจ้าใหญ่องค์หลวง เป็นพระประธานที่ประดิษฐานอยู่บนศาลาการเปรียญหรือวิหารพระเจ้าใหญ่องค์หลวงของวัดหลวง พุทธลักษณะปางเรือนแก้ว พระอิริยาบถประทับนั่งขัดสมาธิราบในซุ้มเรือนแก้ว พระหัตถ์ซ้ายวางหงายบนพระเพลา พระหัตถ์ขวาวางคว่ำบนพระชานุ นิ้วพระหัตถ์ชี้พระธรณี พระพุทธรูปปางเรือนแก้วนี้ในพุทธตำนานอธิบายความไว้ว่า ในสัปดาห์ที่ 4 หลังตรัสรู้ พระพุทธองค์เสด็จจากรัตนจงกรมเจดีย์ไปประทับในเรือนแก้ว (รัตนคฤห) ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ซึ่งเทพยดาเนรมิตถวาย เพื่อทรงพิจารณาพุทธธรรม ในกำหนด 7 วัน จนบังเกิดเป็นประภาวลี (รัศมีที่แผ่ออกจากกายสำหรับบุคคลมีบุญญาธิการ หรือพระพุทธรูป) สถานที่ดังกล่าวจึงมีชื่อ “รัตนฆรเจดีย์” พระพุทธรูปปางนี้เป็นพระพุทธรูปประจำเดือน 7
เจ้าราชบุตร (หนูคำ) หนึ่งในคณะอาญาสี่ ผู้ปกครองเมืองอุบลราชธานีได้สร้างวัดทองนพคุณสนองพระคุณมารดาแล้วมีใจชื่นชมยินดีมาก จึงให้สร้างวัดอีกวัดหนึ่งขึ้นที่สวนอีกแปลงของท่านและอยู่ทางเหนือของเมือง วัดแจ้งถูกสร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2431 ตรงกับรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 เมื่อเดินทางจากตัวเมืองไปทางเหนือพอมาถึงบริเวณวัดนี้ก็จะสว่างพอดี หรือเรียกว่า แจ้งพอดี จึงขนานนามวัดนี้ว่า “วัดแจ้ง” นอกจากนี้ท่านยังได้สร้างพระประธานประดิษฐานไว้ในศาลาการเปรียญและสร้างอูปมุงสำหรับใส่อัฐิธาตุบรรพชนของท่านไว้ด้วย
สิมวัดแจ้งนั้นได้รับการยกย่องว่ามีรูปทรงสวยงามและมีงานจำหลักไม้ที่มีฝีมือแบบพื้นบ้านโดยแท้ซึ่งนับวันจะหาดูเป็นตัวอย่างศึกษาได้ยาก สร้างแล้วเสร็จ พ.ศ. 2455 หรือหลังจากการตั้งวัดแล้ว 24 ปี โดยญาท่านเพ็ง เป็นผู้ควบคุมการก่อสร้าง มีขนาดความกว้าง 6 เมตร ยาว 15 เมตร สูง 10 เมตร หันหน้าไปทางทิศตะวันออก
“ และบริเวณแผงหน้าจั่วสามเหลี่ยมมีรูปลวดลายประดับที่บอกเราตัวตน ประกอบด้วยรูปแกะสลักเป็นรูปดอกบัว อันน่าจะหมายถึงที่มาของชื่อเมืองอุบล ลวดลายช่อดอกกาละกับ ซึ่งเป็นแม่ลายสำคัญของสกุลช่างหลวงเวียงจันทน์ ที่นิยมใช้มากตามวัดต่าง ๆ ในเขตเมืองอุบล แบบแผนลวดลายกระจังรวนแบบสยาม ซึ่งพบมากในแถบเมืองอุบล หรือสาหร่ายรวงผึ้งแบบสยาม ที่ผสมผสานกับฮวงผึ้งแบบล้านช้างได้อย่างมีเอกลักษณ์ที่โดดเด่นเฉพาะตัว และส่วนที่สำคัญคือ ที่หน้าบัน หรือสีหน้าที่มีความแตกต่างจากวัดอื่น ๆ กล่าวคือมีการใช้รูปสัตว์ในวรรณคดีอย่างรูปคชสีห์ ซึ่งถือเป็นรูปสัญญะของกลุ่มเจ้านายพื้นเมืองที่มีฐานานุศักดิ์รองมาจากเจ้าเมือง ซึ่งน่าจะสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องกับ คตินิยมรูปสัตว์ที่ทำนกหัสดีลิงค์ประเภทดั่งที่คุณพ่อบำเพ็ญ ณ อุบล ได้อธิบายว่า เมรุรูปคชสีห์ ใช้กับผู้ที่ถึงอสัญกรรม ที่มีตำแหน่งรองลงมาจากเจ้าอาญาสี่ แต่เป็นผู้มีเชื้อสายสืบมาจากอาญาสี่ ไม่มีสิทธิ์นำศพขึ้นนกหัสดีลิงค์ เจ้านายและประชาชนจึงทำเมรุขึ้นอีกแบบหนึ่งเป็นรูปคชสีห์ ประกอบหอแก้ว แล้วเชิญศพขึ้นประดิษฐานบนหอแก้ว แล้วก็ชักลากไปพิธีฌาปนกิจ เมรุคชสีห์ ครั้งสุดท้ายคือเมรุเผาศพพระอุบลกิจประชากร (ท้าวบุญเพ็ง บุตรโฮบล) ดังนั้นการปรากฏรูปคชสีห์ในส่วนสีหน้าที่สำคัญนี้ ย่อมสื่อความสัมพันธ์อย่างมีนัยยะสำคัญกับผู้สร้างวัดแจ้ง แห่งนี้ ประกอบข้างซ้ายขวาช้างเอราวัณ (อีกนัยยะหนึ่งหมายถึงเทพแห่งทิศตะวันออก) และมีรูปพระอินทร์ประทับอยู่ด้านบน (ซึ่งถูกโจรกรรมหายไปนานแล้วน่าจะก่อนปีพ.ศ. 2510) คตินี้ช่างพื้นเมืองอุบลน่าจะได้รับอิทธิพลร่วมมาจากสยามเช่นเดียวกับสิมวัดทุ่งศรีเมือง สำนักช่างที่มีความสัมพันธ์เชิงช่างกับสยามอย่างแนบแน่น ซึ่งก็ปรากฏการใช้รูปพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณที่สีหน้าสิมด้วยเช่นกัน หากแต่ในวัดพื้นเมืองทั่ว ๆ ไป คตินี้ไม่เป็นที่นิยมในหมู่ช่างพื้นบ้าน ส่วนยอดที่เป็นเครื่องลำยองต่าง ๆ ล้วนเป็นลักษณะสกุลช่างพื้นบ้านเมืองอุบล โดยเฉพาะรูปนาคสะบัดหงอน ส่วนวัสดุมุงหลังคา เดิมมุงด้วยแป้นไม้หรือกระเบื้องไม้ ราวปี พ.ศ. 2495 จึงมีการซ่อมแปลงเป็นกระเบื้องดินเผาตามบันทึกของ วิโรฒ ศรีสุโร ในหนังสือสิมอีสาน ทั้งหมดจะเห็นถึงการผสมผสานกันไปมาของ 2 สกุลช่าง ทั้งราชสำนักเวียงจันทน์และราชสำนักสยาม เฉกเช่นเดียวกันกับพัฒนาการทางสังคมวัฒนธรรม ที่เคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงไม่เคยหยุดนิ่งตายตัว ก่อให้เกิดเป็นนวัตศิลป์ใหม่ไทย-อุบล ที่มีอัตลักษณ์ของตัวเองผ่านเป็นบทบันทึกทางประวัติศาสตร์สมัยที่ส่งผ่านงานช่างสร้างสรรค์ ณ สิมวัดแจ้ง แห่งเมืองอุบลและอีสานในเวลาต่อมา
|
บทความทั้งหมด
|