Will Not Cry In Public @ Chula Art Center 17 April - 17 May 2008
งาน Will Not Cry In Public ก็มีศิลปิน 3 คนด้วยกัน คนแรกคือ ปฐมพล เทศประทีป (มือกลองวงอัศจรรย์จักรวาลไง) มี 2 ชิ้น ชิ้นแรกเป็นวิดีโอประมาณ 9 นาที เป็นคนคนไปยืนกลางป่า กลางเขา ดูแล้วหลอนดี ส่วนอีกชิ้นก็คือไอ้ภาพที่มืดๆ แล้วมีแสงนิดๆ นั่นแหละ มันคือ iPod 10 ตัวที่ไปติดรอบฝาผนัง โดยเป็นคลิปจาก youtube ที่ทุกคนร้องเพลง Just The Way You Are อันนี้ไอเดียเก๋ดีนะ แต่...ขี้เกียจดู 555 (อนึ่ง ชิ้นนี้ระหว่างดูระวังสะดุดสายไฟตาย)
Will Not Cry in Public 17 เม.ย. 17 พ.ค. 2551 หอศิลป์วิทยนิทรรศน์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
นิทรรศการศิลปะครั้งนี้น่าสนใจตั้งแต่เรื่องของ ชื่อ เพราะในขณะที่ศิลปินทั้ง 3 คน เรียกกลุ่มของตัวเองว่า Yield (ที่แปลว่าการยินยอม) แต่ชื่องานนั้นกลับเป็น จะไม่ร้องไห้ให้ใครเห็น (Will Not Cry in Public) โดยความขัดแย้งนี้มาจากวิถีชีวิตของเราที่ถูกบีบรัดจากกรอบบางอย่างของสังคม แต่ลึกๆ แล้วเราต่างต้องการขัดขืน และมีพื้นที่ของตัวเอง นั่นคือสิ่งที่ศิลปินต้องการสื่อหรือใช้วิธีตั้งคำถามผ่านสื่อภาพเคลื่อนไหว
โอฬาร เนตรรังษี สำรวจถึงเรื่องความงามและรูปลักษณ์ งานชุด His 'n' Hers แบ่งจอเป็นสองฟาก แสดงภาพผู้ชายและผู้หญิงแต่งตัวแต่งหน้าก่อนออกไปทำงาน อันเป็นกิจวัตรที่เราทำเป็นประจำ จนอาจลืมไปแล้วว่าเราทำไปเพื่ออะไร ส่วน How do I look? เป็นวิดีโอที่รวมโฆษณาผลิตภัณฑ์ความงามหลายชิ้นเข้าด้วยกัน เมื่อยืนดูกล้องวิดีโอก็จะจับภาพผู้ชมไปฉายบนจอ ชวนให้คิดคำนึงว่าภาพไหนคือตัวตนที่แท้จริงของเรากันแน่
ถัดมา ปฐมพล เทศประทีป พูดถึงเรื่องของพื้นที่และความเชื่อมโยงกับระบบจักรวาล ในงานชุด Just the Way You Are เขานำไอพ็อด 10 เครื่องไปติดที่ฝาผนัง โดยทุกอันเล่นคลิปจาก YouTube ที่แต่ละคนกำลังร้องเพลงดังของบิลลี่ โจเอล เป็นการสื่อถึงพื้นที่เล็กๆ ของคนในยุคนี้ และการเชื่อมโยงของคนทั่วโลก ส่วน There is no center of the universe วิดีโอยาว 9 นาที เป็นภาพชายหนุ่มที่ยืนท่ามกลางกลุ่มหมอกหนาทึบ ประกอบด้วยเสียงสังเคราะห์ที่หลอกหลอน ผู้กำกับจำลองให้เกิดปรากฏการณ์ บิ๊กแบง ขึ้นอีกครั้ง ซึ่งจะทำให้ผู้คนเริ่มต้นใหม่ และไม่ยึดติดกับความคิดหรือกรอบใดๆ ทั้งสิ้น
สุดท้าย สถิตย์ ศัสตรศาสตร์ เล่าถึงความซับซ้อนทางโครงสร้างของโลกยุคใหม่ ด้วยวิดีโอความยาว 30 นาที This construct can serve no purpose anymore ซึ่งได้แรงบันดาลใจมาจากคำพูดของ HAL-9000 คอมพิวเตอร์ในหนังเรื่อง 2001: A Space Odyssey ที่ว่า การสนทนานี้ไม่สนองเป้าหมายใดๆ อีกต่อไป หนังทดลองการโครงสร้างเล่าเรื่องด้วยบทสนทนาที่ซ้อนทับไปเรื่อยๆ จนเราไม่อาจรู้อีกแล้วว่าเรื่องราวนี้เริ่มต้นหรือจบลงที่ใด ซึ่งสะท้อนถึงสภาวะปัจจุบันที่ยากจะแบ่งแยกระหว่างความจริงและความลวง
ตามมาดูที่ blog เด่ะ
มี Exhibition อ่ะ