![]() โดย: นางใจ IP: 203.113.71.201 วันที่: 12 มิถุนายน 2549 เวลา:11:56:42 น.
โย จ อปฺปมฺปิ สุตฺวาน ธมฺมํ กาเยน ปสฺสติ (ขุ.ธ. ๒๕/๔๙)
ผู้ศึกษาธรรมแม้น้อย แต่ทำตามธรรมนั้นมาก มีประโยชน์กว่าคนฟังธรรมมาก แต่ทำตามธรรมได้น้อย
โดย: Dusitb
วันที่: 12 กรกฎาคม 2549 เวลา:7:56:47 น."ถ้ายังตัดอุปาทานไม่ได้ตราบใด ก็คงมืดตื้ออยู่อย่างนั้น ตัดอุปาทานได้มีนิพพานเป็นที่ไปในเบื้องหน้า หรือพูดให้ฟังง่ายกว่านี้ก็ว่า เมื่อตัดอุปาทานเสียได้ จะมองเห็นพระนิพพานอยู่ข้างหน้า อวิชชาที่แปลว่าไม่รู้นั้นได้แก่ไม่รู้อดีตปัจจุบันอนาคตของสังขาร ไม่รู้ปฏิจจสมุปบาทและอริยสัจจะ"
........................................หลวงปู่วัดปากน้ำ หลวงปู่วัดปากน้ำท่านบอกว่า ที่อุปาทานเกิดขึ้น โดยไปยึดมั่นถือมั่นเอาขันธ์ ๕ ว่าเป็นตัวเป็นตนนั้นก็เพราะมีอวิชชาเป็นต้นเหตุ อวิชชานี้เป็นรากเหง้า เป็นต้นตอของกิเลส ที่มันหยั่งรากลึกลงไปอยู่ในใจคนและเป็นความมืดที่สามารถแผ่ออกไปหุ้ม ไปคลุมใจไว้ ทำให้มนุษย์ทั้งหลายมองเห็นขันธ์ ๕ ได้ไม่ครบหมดทุกส่วน อย่างดีก็เห็นแต่เพียงส่วนที่เป็นกาย แต่มองไม่เห็นส่วนที่เป็น "ใจ" เมื่อมองไม่เห็น ใจ ก็เลยไม่เห็นกลไกการทำงานของใจทั้ง ๔ ขั้นตอน คือ รับ จำ คิด รู้ ก็เลยยิ่งไม่รู้จักเวทนา คือ ความรู้สึก ไม่รู้จักสัญญา ความจำได้หมายรู้ ไม่รู้จักสังขาร ความคิดปรุงแต่ง และไม่รู้จักวิญญาณ คือรับรู้ เพราะฉะนั้นทั้งมนุษย์ทั้งสัตวโลกอื่นๆ ไม่มีใครเห็นทั้ง "ใจ" และกลไกการทำงานของใจตนเอง เพราะไม่เห็น ก็เลยทำให้หลงเข้าใจผิด ไปยึดมั่นว่าขันธ์ ๕ แต่ละอย่างเป็นตัวตน หลงเข้าใจว่า รูปเป็นตัวตน เข้าใจว่า เวทนาเป็นตัวตน เข้าใจว่าสัญญาเป็นตัวตน เข้าใจว่า สังขารเป็นตัวตน เข้าใจว่า วิญญาณเป็นตัวตน เมื่อไปยึดมั่นอย่างนี้ด้วยอำนาจของอวิชชาที่มาหุ้มใจ จึงทำให้มองไม่เห็นนิพพาน ทั้ง ๆ ที่นิพพานก็มีอยู่ในศูนย์กลางของพระธรรมกายที่มีอยู่แล้วภายในตัว ไม่เพียงแต่ไม่เห็นเท่านั้น ยังไม่รู้สึกเฉลียวใจด้วยว่า นิพพานมีอยู่ข้างใน เป็นต้นแหล่งของความสว่าง ปัญญา และความสุขแท้จริง แม้กระทั่งมีใครมาบอก ก็ยังไม่เชื่อ ดีไม่ดีกลับไปดูถูกผู้มาบอกด้วยความหลงผิดหรือโกรธ หาว่าเขาหลอกลวงอีก เมื่ออวิชชาเข้ามาห่อหุ้มใจ เลยทำให้ไม่รู้อดีต ปัจจุบัน อนาคตของสังขาร "ที่ว่าไม่รู้อดีต" คือไม่รู้ว่า ร่างกายและจิตใจ ของเรามีความเป็นมาอย่างไร "ไม่รู้ปัจจุบัน" คือ ไม่รู้ว่าร่างกายและจิตใจที่กำลังดำเนินอยู่นี้มีความแตกดับอยู่อย่างไร แล้ว"อนาคตต่อไป" ร่างกายและจิตใจจะเป็นอย่างไรต่อไป ยิ่งไม่มีทางรู้ได้ เว้นเสียแต่จะมี "วิชชา" ซึ่งเป็นความรู้ที่เกิดขึ้นจากการเห็นด้วย"ตาธรรมกาย" เท่านั้น จึงจะสามารถขจัดความมืดที่ห่อหุ้มใจอันเกิดจาก "อวิชชา" ซึ่งเป็นต้นตอของกิเลสได้เด็ดขาด เมื่อไม่รู้อดีต ปัจจุบัน อนาคต ของทั้งร่างกายและจิตใจ ก็เลยทำให้ยิ่งไม่รุ้จัก ปฏิจจสมุปบาท วงจรลูกโซ่ของเหตุปัจจัยให้เกิดทุกข์ ที่พระเดชพระคุณหลวงปู่วัดปากน้ำ ได้บอกไว้ว่า มีอวิชชาเป็นสมุทัยหรือเหตุให้เกิดทุกข์นั่นเอง พูดง่าย ๆ ก็คือการที่ทุกข์นานาประการเกิดขึ้นมาได้นั้น ก็เพราะอาศัยปัจจัยที่สืบต่อเนื่องกันมา คือ ๑. มี "อวิชชา" เป็นต้นเหตุของทุกข์ ๒. เพราะมีอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมี "สังขาร" ๓. เพราะมีสังขารเป็นปัจจัย จึงมี วิญญาณ ๔. เพราะมีวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมี "นามรูป" ๕. เพราะมีนามรูปเป็นปัจจัย จึงมี "อายตนะ ๖" ๖. เพราะมีอายตนะ ๖ เป็นปัจจัย จึงมี "ผัสสะ" ๗. เพราะมีผัสสะเป็นปัจจัย จึงมี "เวทนา" ๘. เพราะมีเวทนาเป็นปัจจัย จึงมี "ตัณหา" ๙. เพราะมีตัณหาเป็นปัจจัย จึงมี "อุปาทาน" ๑๐. เพราะมีอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมี "ภพ" ๑๑. เพราะมีภพเป็นปัจจัย จึงมี ชาติ ๑๒. เพราะมีชาติเป็นปัจจัย จึงมี "ชรา มรณะและความทุกข์" ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องที่จะเอาแต่เพียงตรึกตองด้วยความคิดให้เข้าใจนั้นยาก เพราะแม้แต่พระอานนท์เองถึงท่านจะเป็นพระโสดาบันแล้วก็ตาม ก็ยังไม่อาจเข้าใจเรื่องปฏิจจสมุปบาทนี้ได้อย่างทะลุปรุโปร่ง เช่นในครั้งหนึ่ง พระอานนท์ท่านนั่งสมาธิ เพื่อพิจารณาธรรมนี้อยู่ แล้วท่านก็รู้สึกว่า ปฏิจจสมุปบาท ที่เขาว่ากันว่ายากนักหนานั้น ทำไมถึงดูเหมือนง่ายสำหรับทานเหลือเกิน คิดได้ดังนี้ ท่านก็เลยเข้าไปเผ้ากราบทูลเล่าความคิดของท่านแก่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธองค์จึงตรัสตอบว่า "ดูก่อนอานนท์ เธออย่ากล่าวอย่างนี้ ดูก่อนอานนท์ เธออย่ากล่าวอย่างนี้ ปฏิจจสมุปบาทนี้ เป็นธรรมลึกซึ้ง ทั้งมีกระแสความลึกซึ้ง เพราะไม่รู้ ไม่รู้ตรัสรู้ ไม่แทงตลอดธรรรมนี้ หมู่สัตว์นี้จึงเป็นเหมือนเส้นด้ายที่ยุ่ง เป็นเหมือนกล่มเส้นด้ายที่เป็นปม เป็นเหมือนหญ้ามุงกระต่ายและหญ้าปล้อง ย่อมไม่ผ่านพ้น อบาย ทุคติ วินิบาต สงสาร ดูก่อนอานนท์ เมื่อภิกษุเห็นความพอในเนืองๆ ในธรรมทั้งหลายอันเป็นปัจจัยแห่งอุปาทานอยู่ ตัณหาย่อมเจริญ เพราะตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน เพราะอุปาทานเป็นปัจจัยจึงมีภพ เพราะมีภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชราและมรณะ โสก ปริเทว ทุกข โทมนัส และอุปายาส ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้" นี่มันยากอย่างนี้และท้ายที่สุดก็เลยไม่รู้จักอริยสัจหรือความจริงประจำโลก ๔ ประการ คือ ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ หลักการดับทุก และทางปฏิบัติเพื่อการดับทุกข์ ที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายตรัสรู้ โดย: Dhamma IP: 203.144.153.117 วันที่: 27 กรกฎาคม 2549 เวลา:2:57:56 น.
ธรรม๓ฝ่าย มีกุศลธฺม๑ อกุศลธฺม๑ อฺพพยากตธฺม๑ เหล่านี้อยู่ในตัวคุณ คอยบงการ กระตุ้นให้คิด พูด ทำไปตามอำนาจแห่งธรรมนั้นๆ
ยามใดที่อกุศลธรรม มีอำนาจมากก็จะบังคับให้คิด พูด ทำไปในทางอกุศล และมีผลคือวิบากมารองรับทำให้เมื่อบาปส่งผลย่อมทำให้ชีวิตตกต่ำลง ต้องรับทุกข์ทรมานยาวนานในสังสารวัฎจนกว่ากรรมนั้นจะเบาบางลง หรือบุญที่เคยทำไว้ได้ช่อง มาส่งผล.. ยามใดที่กุศลธรรมมีพลังอำนาจมากกว่า ก็จะดึงดูดให้ คิด พูด และทำในสิ่งที่เป็นกุศล เรียกว่าบุญ.. บุญและบาปจึงช่วงชิงกันอยู่ตลอดทุกๆ อนุวินาที เราจึงควรตั้งอยู่ในความไม่ประมาท คือ ไม่ประมาทในการทำทาน รักษาศีล และเจริญภาวนา เพื่อให้จิตใจแช่อิ่มอยู่ใน บุญกุศล จิตก็จะคลายจากอำนาจกระแสกิเลสอันเป็นบ่วงแห่งอกุศลธรรม เมื่อกิเลสเบาบางจิตย่อมผ่องใสขึ้น ๆ อวิชชาที่คอยห่อหุ้มใจก็จะค่อยๆ หลุดร่อนออก ทำให้"ใจ" คือ ความเห็น ความจำ ความคิด และความรู้ เกิดปัญญาหยั่งรู้ สามารถอบรม สั่งสอนตนเองได้ รู้เท่าทันบ่วงของมาร สามารถเอาตัวรอดในสังสารวัฏ และสั่งสมบารมีจนกระทั่งเต็มเปี่ยม และบังเกิดญาณหยั่งรู้เฉพาะตน และเข้าสู่พระนิพพานได้ในที่สุด พระนิพพานจึงไม่ได้อยู่ในป่า บนเขา ในถ้ำ ใต้ร่มไม้ หรือในที่แห่งใดในโลก ไม่ได้อยู่ที่สีของเนื้อผ้า ไม่ได้อยู่ที่หน้าตา ท่าทาง(นั่ง นอน ยืน เดิน) บุคคลิกลักษณะเคร่งขรึมน่าเคารพกราบไหว้ พระนิพพานเป็นแหล่งแห่งความบริสุทธิ์ล้วนๆ และอยู่ภายในตัวคุณนั่นเอง เพียงหมั่นฝึกฝนอบรมตนเองให้บริสุทธิ์ ทั้งความคิด คำพูด และการกระทำ จนกระทั่งจิตหลุดพ้นจากกิเลส อาสวะ คุณก็จะเข้าใกล้แหล่งของความบริสุทธิ์ซึ่งรอคอยคุณอยู่มานานแสนนาน ......นั่นแหละ.........พระนิพพานอยู่ภายในตัวคุณ โดย: พระนิพพานอยู่ภายในตัวคุณ IP: 203.144.153.246 วันที่: 10 สิงหาคม 2549 เวลา:1:04:53 น.
อเนกะชาติสังสารัง สันธาวิสสัง อะนิพพิสัง
คะหะการกัง คะเวสันโต ทุกขา ชาติ ปุนัปปุนัง สัพพา เต ผาสุกา ภัคคา คะหะกูฎัง วิสังขะตัง วิสังขาระคะตัง จิตตัง ตัณหาหัง ขะยะมัชฌะคา. เราแสวงหาช่างผู้ทำเรือน เมื่อไม่ประสบได้ท่องเที่ยวไปสู่สังสาระ (การเกิด) ไม่ใช่เพียงชาติเดียว ความเกิดบ่อย ๆ เป็นทุกข์ แนะนายช่างผู้ทำเรือน เราพบท่านแล้ว ท่านจะทำเรือนอีกไม่ได้ ซี่โครงทุกซี่ของท่านเราหักเสียแล้ว ยอดเรือนเราก็รื้อเสียแล้ว จิตของเราถึงธรรมปราศจากเครื่องปรุงแต่งแล้ว เพราะเราบรรลุธรรมเป็นที่สิ้นตัณหาแล้ว พุทธวจนะบทนี้ เป็นคำตรัสรับรองจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า ธรรมชาติของสรรพสัตว์เมื่อเกิดแล้วก็ต้องตาย หนีไม่พ้น ซึ่งก็วนเวียนสู่การเกิดการตายกันมาแล้วอย่างมากมาย ไม่ใช่เกิดตายเพียงครั้งเดียว แต่เกิดตายนังครั้งไม่ถ้วน เพราะแม้แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหัตสาวก ผู้ทรงฤทธิ์เดช เหาะเหิน เดินอากาศ สามารถขจัดกิเลสอาสวะได้ ในอดีตก็ยังต้องเวียนตายเวียนเกิดอยู่นาน กว่าจะพ้นจากชีวิตในสังสารวัฏ แม้ภพชาติสุดท้ายของท่านเหล่านี้ก็ยังจะต้องเผชิญกับกฏแห่งกรรม อีกทั้งยังทำให้ทราบถึงความมีอยู่ของสังสาร คือการเวียนเกิดเวียนตายและผู้ที่สามารถคอยควบคุมบังคับบัญชาให้สรรพสัตว์เวียนว่ายอยู่ในวังวนแห่งชีวิตอยู่ตลอดเวลา ซึ่งไม่ต่างอะไรกับคุกที่ใช้คุมขังนักโทษผู้กระทำผิดกฏที่กำหนดไว้ เมื่อทำแล้วก็มีผลคือต้องไปรับผลของการกระทำในภพภูมิต่างๆ โดยกรรมของตนที่กระทำไว้จะนำเจ้าของกรรมนั้นไปเกิด ซึ่งไม่อาจหลีกเลี่ยงและไม่อาจเลือกได้ วงจรนี้เรียกว่า "สังสารวัฎ" บางทีก็เรียกว่า "วัฎฎสงสสาร" หรือ วังวนแห่งชีวิต คือวงจรชีวิตหลังความตายของสรรพสัตว์ที่เวียนว่ายตายเกิดไปสู่ปรโลก ซึ่งวงจรนี้เองที่เราจะต้องทราบความเป็นมาของมันอย่างถ่องแท้ตามแบบอย่างที่พระพุทธองค์ทรงปฏิบัติ สังสารวัฎเป็นวงจรเฉพาะของผู้ที่ยังมีกิเลส มีความพอใจยินดีอยากได้อยากมี มีความยึดติดกับรูปลักษณ์สัมผัส กับสิ่งของที่ไม่เป็นสาระว่าเป็นสาระของชีวิต ไม่สามารถแยกแยะว่าอะไรคือ ถูกผิด (ผิดคือไม่รู้ว่าผิดแต่ทำเพราะพลาดพลั้ง) ดีชั่ว(ชั่วคือรู้ว่าไม่ดีแต่ก็จะทำ) ควรไม่ควร (มีวินิจฉัยเสียเพราะถูกกิเลส๓ ตระกูลครอบงำ) ก่อให้เกิดความตรึกครุ่นคิดอยู่ในเรื่องกามราคะ ความพยาบาทปองร้าย เบียดเบียน เป็นเหตุให้จิตฝ่ายอกุศลบังคับบัญชาให้สรรพสัตว์สร้างกรรมทางกาย ทางวาจา ทางใจ โดยมีตัณหาคือความทะยานอยากควบคุมให้สร้างกรรมเพิ่มก่อให้เกิดภพชาตินี้ชาติหน้าเวียนเกิดเวียนตายต่อไปไม่รู้จบ ทำให้เสพคุ้นยึดถือยึดติดเป็นอาสวะหรือตะกอนที่นอนเนื่องอยู่ในกมลสันดาน เปรียบเหมือนการสร้างเรือนต่อเติมตรงนั้นนิดตรงนี้หน่อยจนเรือนนั้นเต็มไปด้วยโครงสร้างที่ซับซ้อนมากมาย ฉันใด ผู้ที่ประกอบกรรมดีชั่วไว้มากเท่าไรผลกรรมก็มากตามไปด้วย ฉันนั้น โดย: ชราวรรค, ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท, มก. เล่ม 42 ข้อ 21 หน้า 141 IP: 203.144.153.225 วันที่: 9 ตุลาคม 2549 เวลา:23:20:51 น.
พระอุบาลีทูลถามว่า ภิกษุผู้โจทก์ ปรารถนาจะโจทผู้อื่น พึงพิจารณาธรรมเท่าไรในตน แล้วโจทผู้อื่น
พระผู้มีพระภาคตรัสว่าภิกษุผู้โจทก์ ปรารถนาจะโจทผู้อื่นพึงพิจารณาธรรม ๕ ประการในตนว่า ๑. เรามีความประพฤติทางกายบริสุทธิ์หรือหนอ เราประกอบด้วยความประพฤติทางกายบริสุทธิ์ ไม่มีช่อง ไม่มีตำหนิธรรมนี้มีแก่เราหรือไม่ ๒. เรามีความประพฤติทางวาจาบริสุทธิ์หรือหนอ เราประกอบด้วยความประพฤติทางวาจาบริสุทธิ์ ไม่มีช่อง ไม่มีตำหนิ ธรรมนี้มีแก่เราหรือไม่ ๓. จิตของเรามีเมตตาปรากฏ ไม่อาฆาตในสพรหมจารีทั้งหลายหรือหนอ ธรรมนี้มีแก่เราหรือไม่ ๔. เราเป็นพหูสูต ทรงสุตะ เป็นที่สั่งสมสุตะหรือหนอ ธรรมเหล่านั้นใด ไพเราะในเบื้องต้น ท่ามกลาง ในที่สุด ธรรมนี้มีแก่เราหรือไม่ ๕. เราจำปาติโมกข์ทั้งสองได้ดี โดยพิสดาร สวดไพเราะ คล่องแคล่ว วินิจฉัยถูกต้องโดยสุตตะ โดยอนุพยัญชนะหรือหนอ ธรรมนี้มีแก่เราหรือไม่ ถ้าไม่ใช่ เธอถูกถามจะตอบไม่ได้ เธอย่อมจะมีผู้กล่าวว่า เชิญท่านเล่าเรียนความประพฤติทางกาย.... ความประพฤติทางวาจา.... เชิญท่านเข้าไปตั้งเมตตาจิต... เชิญท่านจงเล่าเรียนปริยัติเสียก่อน... เชิญท่านเล่าเรียนวินัยเสียก่อนวินัยเสียก่อน .............................................. พระอุบาลีทูลถามว่า ภิกษุผู้โจทก์ปรารถนาจะโจทผู้อื่น พึงตั้งธรรมเท่าไรไว้ในตน แล้วโจทผู้อื่น พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ภิกษุผู้โจทก์ปรารถนาจะโจทผู้อื่นพึงตั้งธรรม ๕ ประการไว้ในตน แล้วโจทผู้อื่น คือ ๑. เราจักกล่าวโดยกาลอันควร จักไม่กล่าวโดยกาลอันไม่ควร ๒. จักกล่าวด้วยคำจริง จักไม่กล่าวด้วยคำอันไม่เป็นจริง ๓. จักกล่าวด้วยคำสุภาพ จักไม่กล่าวด้วยคำหยาบ ๔. จักกล่าวด้วยคำประกอบด้วยประโยชน์ จักไม่กล่าวด้วยคำไร้ประโยชน์ ๕. จักมีเมตตาจิตกล่าว จักไม่มุ่งร้ายกล่าว ผู้โจทก์โดยไม่เป็นธรรมต้องเดือดร้อน พระอุบาลีทูลถามว่า ภิกษุผู้โจทก์โดยไม่เป็นธรรม พึงถึงความเดือดร้อนด้วยอาการเท่าไร พระพุทธเจ้าข้า พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรอุบาลี ภิกษุผู้โจทก์โดยไม่เป็นธรรม พึงถึงความเดือดร้อนด้วยอาการ ๕ คือ:- ๑. ท่านโจทโดยกาลไม่ควร ไม่โจทโดยกาลอันควร ท่านต้องเดือดร้อน ๒. ท่านโจทด้วยเรื่องไม่จริง ไม่โจทด้วยเรื่องจริง ท่านต้องเดือดร้อน ๓. ท่านโจทด้วยคำหยาบ ไม่โจทด้วยคำสุภาพ ท่านต้องเดือดร้อน ๔. ท่านโจทด้วยเรื่องไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ไม่โจทด้วยเรื่องประกอบด้วยประโยชน์ ท่านต้องเดือดร้อน ๕. ท่านมุ่งร้ายโจท มิใช่มีเมตตาจิตโจท ท่านต้องเดือดร้อน ดูกรอุบาลี ภิกษุผู้โจทก์โดยไม่เป็นธรรม พึงถึงความเดือดร้อนด้วยอาการ ๕ นี้ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะภิกษุแม้อื่น ไม่พึงสำคัญเรื่องที่โจทด้วยคำเท็จ ฯ .............................................. ผู้โจทก์โดยเป็นธรรมไม่ต้องเดือดร้อน พระอุบาลีทูลถามว่า ภิกษุผู้โจทก์โดยเป็นธรรม พึงถึงความไม่เดือดร้อน ด้วยอาการเท่าไร พระพุทธเจ้าข้า พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรอุบาลี ภิกษุผู้โจทก์โดยเป็นธรรม พึงถึงความไม่เดือดร้อน ด้วยอาการ ๕ คือ:- ๑. ท่านโจทโดยกาลอันควร ไม่ใช่โจทโดยกาลอันไม่ควร ท่านไม่ต้องเดือดร้อน ๒. ท่านโจทด้วยเรื่องจริง ไม่ใช่โจทด้วยเรื่องไม่เป็นจริง ท่านไม่ต้องเดือดร้อน ๓. ท่านโจทด้วยคำสุภาพ ไม่ใช่โจทด้วยคำหยาบ ท่านไม่ต้องเดือดร้อน ๔. ท่านโจทด้วยเรื่องประกอบด้วยประโยชน์ ไม่ใช่โจทด้วยเรื่องไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ท่านไม่ต้องเดือดร้อน ๕. ท่านมีเมตตาจิตโจท ไม่ใช่มุ่งร้ายโจท ท่านไม่ต้องเดือดร้อน ดูกรอุบาลี ภิกษุผู้โจทก์โดยเป็นธรรม พึงถึงความไม่เดือดร้อนด้วยอาการ ๕ นี้ ข้อนั้นเป็นเพราะเหตุไร เพราะภิกษุแม้อื่นก็พึงสำคัญว่าควรโจทด้วยเรื่องจริง ฯ .............................................. โจทก์พึงมนสิการธรรม ๕ ประการ พระอุบาลีทูลถามว่า ภิกษุผู้โจทก์ปรารถนาจะโจทผู้อื่น พึงมนสิการธรรมเท่าไรไว้ในตน แล้วโจทผู้อื่น พระพุทธเจ้าข้า พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรอุบาลี ภิกษุผู้โจทก์ปรารถนาจะโจทผู้อื่นพึงมนสิการธรรม ๕ อย่างไว้ในตน แล้วโจทผู้อื่น คือ:- ๑. ความการุญ ๒. ความหวังประโยชน์ ๓. ความเอ็นดู ๔. ความออกจากอาบัติ ๕. ความทำวินัยเป็นเบื้องหน้า ดูกรอุบาลี ภิกษุผู้โจทก์ปรารถนาจะโจทผู้อื่น พึงมนสิการธรรม ๕ อย่างนี้ไว้ในตน แล้วโจทผู้อื่น ฯ ผู้ถูกโจทโดยไม่เป็นธรรมไม่ต้องเดือดร้อน พระอุบาลีทูลถามว่า ก็ภิกษุผู้ถูกโจทโดยไม่เป็นธรรม ไม่ต้องเดือดร้อนด้วยอาการเท่าไร พระพุทธเจ้าข้า พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรอุบาลี ภิกษุผู้ถูกโจทโดยไม่เป็นธรรม ไม่ต้องเดือดร้อน ด้วยอาการ ๕ คือ:- ๑. ท่านถูกโจทโดยกาลไม่ควร ไม่ถูกโจทโดยกาลอันควร ท่านไม่ต้องเดือดร้อน ๒. ท่านถูกโจทด้วยเรื่องไม่จริง ไม่ได้ถูกโจทด้วยเรื่องจริง ท่านไม่ต้องเดือดร้อน ๓. ท่านถูกโจทด้วยคำหยาบ ไม่ถูกโจทด้วยคำสุภาพ ท่านไม่ต้องเดือดร้อน ๔. ท่านถูกโจทด้วยเรื่องไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ไม่ได้ถูกโจทด้วยเรื่องประกอบด้วยประโยชน์ ท่านไม่ต้องเดือดร้อน ๕. ท่านถูกโจทด้วยมุ่งร้าย ไม่ถูกโจทด้วยเมตตาจิต ท่านไม่ต้องเดือดร้อน ดูกรอุบาลี ภิกษุผู้ถูกโจทโดยไม่เป็นธรรม ไม่ต้องเดือดร้อนด้วยอาการทั้ง ๕ นี้ ฯ .............................................. ผู้ถูกโจทโดยธรรมต้องเดือดร้อน พระอุบาลีทูลถามว่า ก็ภิกษุผู้ถูกโจทโดยธรรม พึงถึงความเดือดร้อนด้วยอาการเท่าไร พระพุทธเจ้าข้า พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรอุบาลี ภิกษุผู้ถูกโจทโดยธรรม พึงถึงความเดือดร้อนด้วยอาการ ๕ คือ:- ๑. ท่านถูกโจทโดยกาลอันควร ไม่ใช่ถูกโจทโดยกาลอันไม่ควร ท่านต้องเดือดร้อน ๒. ท่านถูกโจทด้วยเรื่องจริง ไม่ใช่ถูกโจทด้วยเรื่องไม่เป็นจริง ท่านต้องเดือดร้อน ๓. ท่านถูกโจทด้วยคำสุภาพ ไม่ใช่ถูกโจทด้วยคำหยาบ ท่านต้องเดือดร้อน ๔. ท่านถูกโจทด้วยเรื่องประกอบด้วยประโยชน์ ไม่ใช่ถูกโจทด้วยเรื่องไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ท่านต้องเดือดร้อน ๕. ท่านถูกโจทด้วยเมตตาจิต ไม่ใช่ถูกโจทด้วยมุ่งร้าย ท่านต้องเดือดร้อน ดูกรอุบาลี ภิกษุผู้ถูกโจทโดยธรรม พึงถึงความเดือดร้อนด้วยอาการ ๕ นี้แล ฯ ผู้ถูกโจทก์พึงตั้งอยู่ในธรรม ๒ ประการ พระอุบาลีทูลถามว่า ก็ภิกษุผู้ถูกโจทก์ พึงตั้งอยู่ในธรรมเท่าไรพระพุทธเจ้าข้า พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรอุบาลี ภิกษุผู้ถูกโจทก์ พึงตั้งอยู่ในธรรม ๒ ประการ คือ ความจริง ๑ ความไม่ขุ่นเคือง ๑ ฯ โดย: โจทก์พระอย่างไร ถึงไม่ต้องเดือดร้อน? IP: 203.144.153.225 วันที่: 9 ตุลาคม 2549 เวลา:23:24:16 น.
|










ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [