|
ตีนลูบหน้า ฉันเป็นแฟนขาประจำ ของคุณสุวพงศ์ จั่นฝั้งเพ็ชร ผู้เขียนคอลัมน์ -ร่มรื่นในเงาคิด ในมติชนสุดสัปดาห์ ...ที่มักจะให้แนวคิดดี ๆ กับฉันเสมอมา บางครั้งบางครา ก็หยิบประเด็น เนื้อหาในหนังสือ มาเล่า..มาถก ให้เราได้คิด กระตุกรอยหยักในสมอง บ้าง ครั้งนี้ ฉันแวบไปเห็น ชื่อหัวข้อ ในคอลัมน์ ..ตีนลูบหน้า... ว้าว ดุจัง แต่พอได้อ่าน เออ แฮ่ะ ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงคงจะหวาดเจี้ยว...จังหู

คุณสุวพงศ์ ท่านว่าไว้ดังนี้ นั่งอ่าน เศษโศก หนังสือรวมเรื่องสั้นของ พรเทพ เฮง แล้วขำ ที่ขำ ไม่ใช่เพราะเรื่องสั่นในหนังสือเป็นเรื่องตลกอะไรดอก แต่ขำ ที่อาชีพ นักการเมือง ที่ว่าทรงเกียรติทรงอำนาจ จนใครต่อใครใฝ่ฝันอยากจะลิ้มลองเหลือเกินนั้น ได้กลายเป็นแรงบันดาลใจ ในทางร้าย ให้นักเขียนหยิบมาเป็น พล็อต เขียนเรื่องสั่นกันหลากหลายมุม แสบๆ ทั้งนั้น นักแล้วก็สงสาร นักการเมือง ที่ถูกก่นด่าไม่เว้นวัน แต่ก็นั่นแหละ ดูเหมือน ผู้ทรงเกียรติ ทั้งหลายจะอดทนกันได้อย่างเหลือเชื่อ ต้องถือเป็น มนุษย์พันธุ์หนาพิเศษ ที่สามารถทนทานกับแรงเสียดทานได้ทุกรูปแบบ หรือจริงๆมันอาจคุ้มค่ากับเรื่อง ต้องหนา เพราะอำนาจ อิทธิพล ผลประโยชนฺ์ที่ได้กลับคืนมานั้น มันคุ้มค่าหรือเกิน!! แรงบันดาลใจจากนักการเมืองที่พรเทพ เฮง หยิบมารเขียนนั้น ต้องถือว่าแรง เพราะไปถึงขนาด ตีนลูบหน้า ซึ่งก่อนที่จะไปถึงประเด็นว่า ทำไมต้อง ตีนลูบหน้า มีเร่องขำที่ต้องเล่าสู่กันฟังก่อน ชาติ กอบจิตติ ได้เขียนไว้ในคำนำของหนังสือเล่มนี้ ตอนหนึ่งว่า เมื่อผมอ่านต้นฉบับมาถึงเรื่อง ปารษณี (อยู่ในรวมเรื่องสั้นชุดนี้)ผมคิดว่า คุณพรเทพคงได้รับแรงบันดาลใจมาจากเรื่อง บริการรับนวดหน้า ของผม เพราะมีการเอาเท้า(ตีน) นาบพรเทพเขียนเรื่องนี้ก่อนผมลงตีพิมพ์ใน สนามหน้า 42 โดยสำนักพิมพ์เม่นวรรณกรรม ซึ่งผมเองก็ไม่เคยอ่าน จึงเกิดการเข้าใจผิด บางครั้งการทำงานของนักเขียนอาจจะพ้องกันทางความคิดได้ อ่านถึงตอนนี้ อดจะ หึ-หึ ในใจไม่ได้ หึ-หึ เพราะมุข ตีนลูบหน้า คงแรงเอาการถึงได้เป็นจุดบันดาลใจให้นักเขียน 2 คนหยิบมาใช้ตรงกันอย่างบังเอิญ ใบหน้า นักการเมือง คงเป็นที่พิสมัยของพรเทพ เฮง และชาติ กอบจิตติ อย่างสุง ถึงมีแรงปรารถนาอยากเอา ตีนลูบหน้า ขึ้นมาเช่นนี้ (ฮา) สำหรับเรื่องสั่น ปารษณี ของพรเทพ เฮง อันเกี่ยวกับมุข ตีนลูบหน้า นั้น ขอเกริ่นเอาไว้เผื่อใครสนใจจะได้ไปหาฉบับเต็มมาอ่าน
เรื่องมันมีอยุ่ว่า บ้านเมือง (ยุคไหนไม่ทราบ ตกอยู่ในมือนายทุนเกือบทั้งหมด ทำให้คนส่วนใหญ่ของประเทศที่เป็นเกษตรกร ถูกละเลย ไม่มีการแก้ไขปัญหา ความยากจน มีช่องว่างระหว่างชนชั้นในสังคมเกิดการประท้วงอยากหนักหน่วง มีการปะทะระหว่างชนชั้น กลายเป็นการจลาจลนับครั้งไม่ถ้วน และขยายวงไปทั่วประเทศ จนต้องประกาศภาวะฉุกเฉิน และนำกฎอัยการศึกมาใช้ แต่กระนั้นก็ยังควบคุมสถานการณ์เอาไว้ไม่ได้ เกิดกลุ่มก่อการร้ายคอยก่อกวนสร้างสถานการณ์เพื่อทำลายภาพพจน์และนโยบายของรัฐบาลในการบริหารบ้านเมือง นักการเมืองที่บริหารประเทศ ดิ้นรนหาทางออกเพื่อที่จะอยู่ในอำนาจต่อไป ที่สุดก็ปิ้งไอเดียขึ้นมา ด้วยการประกาศตั้ง สภาปารษณี ขึ้นมา เป็นสภาที่มีสมาชิกมาจากประชาชนชั้นล่าง จำนวน 2,000 คน หน้าที่ของสมาชิกสภาปารษณี ก็คือ เป็น ผู้แทน ของประเทศชั้นล่างเพือมาระบายความเก็บกด ต่อ ฯพณฯ ที่บริเวณลานเมือง ระบายด้วยการให้ ตีนลูบหน้า นักการเมืองทั้งหลายเป็นการย้ำเตือนและเตือนสติผู้ทรงเกียรติทั้งหลาย ที่ต้องไม่ลืมประชาชนซึ่งเป็นฐานล่างของประเทศ ใครลืมก็ขอให้รำลึกถึง ตีน ของสมาชิกสภาปารษณีเหล่านี้เอาไว้ ดังนั้น คุณสมบัติเด่นของสมาชิกสภาปารษณีที่จะรับคัดเลือก ก็คือ ต้องตีนโต ใหญ่ แบนหนาเตอะ ซึ่งสอดคล้องยิ่งกับชาวบ้านชั้นล่าง สำหรับพิธี ตีนลูบหน้า ก็ถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ มีการถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์ไปทั่วประเทศ โดยตัวแทนชายหญิงของสภาปารษณีสองพันคน ต้องมารวมตัวกันตรงลานกลางแจ้งหน้ารัฐสภา เหล่าผู้ทรงเกียรติตั้งแต่หัวหน้ารัฐบาล รัฐมนตรี และผู้ทรงเกียรติทั้งหลาย นอนในร่องฟูกประจำตำแหน่งที่ไว้เรียงรายกัน จากนั้นตัวแทนของสภาปารษณีก็ทยอยเอาฝ่าตีนลูบใบหน้า เริ่มตั้งแต่ตำแหน่งใหญ่ที่สุด ไปจนคนสุดท้าย คนละหนึ่งวินาที ปรากฏว่า พิธี ตีนลูบหน้า ซึ่งถ่ายทอดสดไปทั่วประเทศ สามารถสยบกระแสความไม่พอใจของชาวบ้านที่มีต่อรัฐบาล ได้อย่างชะงัด จนพิธีนี้กลายเป็นพิธีสำคัญประจำชาติ และถูกกำหนดไว้ว่า ทุกครั้งที่รัฐบาลจะเข้าบริหารประเทศ จะต้องผ่านพิธี ตีนลูบหน้า เสียก่อนเพื่อเป็นการเตือนสติ บรรเจิดไหม สำหรับมุข ตีนลูบหน้า นักการเมือง ช่างเป็นแรงบันดาลใจได้ดีจริงๆ และ แหะ-แหะ หากเห็นว่าวิธีนี้เข้าท่า นักการเมืองก็น่าจะเอาไปใช้ดูบ้าง ซึ่งอาจจะลดกระแสความไม่พอใจของชาวบ้านลงก็ได้ และเชื่อว่า ทั้งพรเทพ เฮง และ ชาติ กอบจิตติ คงไม่คิดค่าลิขสิทธิ์ ยกให้ฟรี ถือเป็นการทำบุญ!!!
หุ หุ หุ เป็นไง อ่านแล้ว บรรเจิดอย่างที่ท่านว่าไหม.. หนอ
ที่มา : มติชน - สุดสัปดาห์ ฉบับประจำวันที่ 18-24 เม.ย. 2551 ปีที่ 28 ฉบับที่ 1444, หน้า 80 คอลัมน์ - ร่มรื่นในเงาคิด โดย....สุวพงศ์ จั่นฝั้งเพ็ชร
|
Manow-noi.BlogGang.com
manow_noi
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [ ?]
|
|