ชีวิตจริงยิ่งกว่านิยายของชายตาบอด
วันนี้ไม่ได้มารีวิวหนังสือนะค่ะ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่แจมเจอเองมากับตัว เมื่อเย็นนี้เลยค่ะพอดีแจมไปตั้งกระทู้ไว้ในห้องโต๊ะเครื่องแป้ง เลยอยากเอามาฝากเพื่อนๆ ในบล็อคเผื่อใครอยากช่วยเหลือน้องเขา
วันนี้มันน่าเบื่อที่สุด งานก็เข้า นายก็ด่า ฝนก็ตกหนักเหมือนพายุจะเข้า เรียกได้ว่าวันนี้มันช่างเยอะแยะเหลือเกินสำหรับเรา แต่วันนี้เราได้เห็นชีวิตของคนๆหนึ่ง ที่ดิ้นรนทำมาหากินด้วยความสุจริตถึงแม้ว่า เขาจะไม่ได้เกิดมาสมประกอบเหมือนเราๆ ท่านๆ เพราะว่าเขาไม่มีโอกาสได้อ่านกระทู้ที่เราเขียนขึ้นมาแน่นอน ใช่ค่ะเรากำลังจะเล่าเรื่องของน้องผู้ชายตาบอดคนนึงที่เราเจอระหว่างทางกลับบ้าน (อาจจะยาวมากหน่อยนะค่ะ)
วันนี้เราก็เดินทางกลับบ้านตามปกติ โดยต้องมาข้ามเรือที่ท่าเรือข้ามฟากวิบูลย์ศรี (ท่าเรือปากน้ำ สมุทรปราการ) ระหว่างที่เรากำลังนั่งอยู่ในเรือข้ามฟาก เราก็เจอผู้ชายคนนึงเดินจูงน้องผู้ชายตาบอดคนนี้มาส่งที่เรือ
เราก็ยังคิดว่า "ทำไมน้องเขามาคนเดียว ฝนก็ตก (ถึงตอนนั้นมันออกแนวพรำๆก็เถอะ) เรือแล่นไปเรื่อยๆจนถึงฝั่งพระสมุทรเจดีย์ พอเรือกำลังจะเทียบท่า น้องคนนี้ก็กำลังจะก้าวขึ้นเรือ แต่ว่าเรือมันจอดไม่เทียบท่านัก เรียกว่าห่างฝั่งทีเดียว คนในเรือก็พยายามช่วยน้องเขา โดยบอกว่าอย่าเพิ่งข้าม เราเองอยู่ใกล้น้องเขาที่สุด ก็ดึงแขนน้องเขาไว้
ป้าคนนึงบอกเราว่า "หนูตาดีเดินไปส่งน้องเขาขึ้นรถหน่อยนะ"
ระหว่างทางที่เดินมาเราก็ชวนน้องเขาคุยได้ความว่า กำลังจะไปขึ้นรถเมล์สาย 20 กลับบ้าน เราก็เลยเดินไปรอส่งที่ป้าย
พอดีพ่อเรามารับ เลยลงมายืนรอเป็นเพื่อนกับน้องเขาด้วยระหว่างที่ยืนรอ ก็นานเอาการนะเพราะรถสาย 20 ก็ไม่มาซะที ก็เลยชวนคุยเรื่อยเปื่อย
พ่อเรา : นี่มาคนเดียวเลยเหรอ ไม่มีใครมาเป็นเพื่อนเลยเหรอ
น้องA : ครับ
พ่อเรา : มาไกลอย่างนี้ทุกวันเลยเหรอ
น้องA : นานๆที ผมไม่ได้มาแถวนี้บ่อย แต่ถ้าวันหยุดน้องจะมาเป็นเพื่อน
พ่อเรา : พ่อกับแม่หล่ะ
น้องA : ไปทั้งคู่แล้วครับ (เสียชีวิตแล้วทั้งคู่)
พ่อเรา : แล้วอยู่กันยังไง
น้องA : อยู่กัน 3 คนพี่น้อง อยู่กับน้องสาวอีก 2 คน
พ่อเรา : แล้วน้องเรียน/ทำงาน
น้องA : น้องคนที่ 2 ตาบอด เรียนนวดอยู่ที่โรงเรียนคนตาบอดที่ปากเกร็ด (เข้าใจว่าน่าจะเป็นเรื่องของกรรมพันธุ์) คนเล็กกำลังเรียนอยู่ม.5 (น้องคนนี้แหละค่ะที่มาเป็นเพื่อนตอนวันหยุด)
พ่อเรา : อย่างนี้เราก็เป็นคนหาเลี้ยงน่ะซิ
น้องA : ครับ พอพ่อแม่ตายบ้านก็ถูกยึด เลยพากันย้ายมา 3 คนพี่น้อง
เรา : ทำไมบ้านถูกยึดหล่ะ
น้องA : พี่สาวคนโตเอาไปจำนอง แล้วโดนจับเพราะขายยาบ้า (มาถึงตรงนี้น้ำตาเราพรากแล้วค่ะ ทำไมชีวิตซับซ้อนขนาดนี้)
พ่อเรา : แล้วบ้านที่อยู่หน่ะ เช่าหรือว่าอยู่กับใคร
น้องA : เช่าเดือนละ 1500 น้ำไฟต่างหาก (อยู่กัน 3 คนพี่น้อง ค่าเช่าบ้าน ค่ากินอยู่ โอ๊ย...ฟังแล้วน้ำตายิ่งไหล แม่ค้าที่ป้ายรถก็ร้องไปแล้วค่ะ)
พ่อเรา : แล้วมีใครช่วยบ้างมั๊ย
น้องA : ผมได้เบี้ยคนพิการเดือนละ 500 แต่รัฐบาลก็ดีนะเขาให้เรียนฟรี (เข้าใจว่าหมายถึงน้องๆ) แต่ผมออกมาตอนม.3 (คณะรัฐบาลค่ะ 500บาท นี่ไม่ทราบคุณใช้อะไรคิดค่ะ คุณพอมั๊ยกับเงินจำนวนนี้ที่ต้องใช้ในเดือนนึง)
พ่อเรา : แล้วถ้าอยากช่วยเหลือนี่ต้องติดต่อยังไง
น้องA : ถ้ามีงานให้ผมไปร้องเพลงได้นะครับ (เท่าที่ถามมาคือน้องเค้ามีพี่ๆ คนอื่นอีกประมาณ 5 คนซึ่งสามารถรวมตัวกันเพื่อไปเล่นดนตรีได้)
เรา(พยักหน้าเข้าใจ) : มีเบอร์ติดต่อมั๊ย
น้องA : มีครับ 086-xxx-xxxx
จากนั้นก็คุยกันไปเรื่อยๆ รอจนรถเมล์มาถึงส่งน้องขึ้นรถเมล์ ฝากบอกกับคนขับรถเมล์ว่าช่วยดูน้องเขาด้วยนะ น้องลงตลาดดาวคะนองนะ ก่อนแยกกันเราสำทับบอกน้องA ให้สู้ๆนะ จากนั้นเราก็แยกกลับบ้านของเรา ระหว่างทางเราคิดในใจตลอดทางว่า ขอบคุณเหลือเกินที่เกิดมาสมบูรณ์ ร่างกายครบ 32 ขอบคุณที่ได้เกิดมาเป็นลูกพ่อกับแม่
กระทู้นี้ที่เราเขียนขึ้นมา เพียงเพราะอยากบอกกับทุกคนว่าในวันที่เราบ่นกันว่าชีวิตน่าเบื่อ เซ็ง ทำไมชีวิตมันห่วยอย่างนี้ อยากให้มองชีวิตของเด็กผู้ชายคนนี้ที่เราเล่าให้ฟัง เพราะเขาดิ้นรนทำมาหากินด้วยอาชีพสุจริตเลี้ยงดูน้องอีก 2 คน เขาไม่ท้อถอยแม้ว่าเขาจะมองไม่เห็น เขาก็ไม่เคยแบมือขอเงินใครฟรี เขาร้องเพลงเพื่อแลกกับเศษเงิน มันคือเงินบริสุทธิ์ที่มาจากน้ำพักน้ำแรงน้องเขาจริงๆ ไม่ได้คดโกงใครมาทั้งนั้น เมื่อเรามองชีวิตของน้องA ทำให้เรารู้สึกมีพลังใจมากขึ้นที่จะลุกไปทำงานพรุ่งนี้เช้าอีกเป็นกองเลย ปัญหาที่เจอมันไม่ได้ใหญ่โตเท่าที่น้องเขาเผชิญเลยด้วยซ้ำ
*** พอจะมีใครที่รู้จักองค์กร/มูลนิธิที่สามารถช่วยเหลือน้องได้แบบยั่งยืนบ้างมั๊ยค่ะ เช่น มีงานประจำให้น้องเขาเพราะว่าเราสงสารน้องมาก เนื่องจากเราถามว่าวันนี้ได้เงินเยอะมั๊ย น้องเขาบอกว่าไม่ได้เลยเพราะฝนตก
แจมเองก็ช่วยเหลือน้องเขาไป 500 บาทเอง ยังพูดกับพ่อเลยว่าเสียดายที่แจมมีเงินแค่นี้เอง (บริษัทแจมเงินเดือนออกช่วงกลางเดือนนะค่ะ หมายความว่า ณ บัดนาวสถานะกินแกลบอยู่ค่ะ ยิ่งกว่านั้นคือได้นำไปละลายทรัพย์ในการสั่งหนังสือ + งานอมรินทร์เรียบร้อยแล้วค่ะ) แต่พ่อบอกว่าไม่หรอกเรามีแค่นี้ก็ช่วยเท่าที่มี ได้แต่ภาวนา ขอให้น้องเขามีชีวิตที่ดีขึ้น อยู่รอดปลอดภัยในสังคมที่คนเห็นแก่ตัวไม่มีใครสนใจใครทั้งนั้น
|
แต่น้องเค้าต้องทำงานหาเลี้ยงน้องๆไปด้วยนี่สิ จะช่วยยังไงดีน้า
พลอยเองก็ยังเรื่อยเปื่อยอยู่ ช่างต่างกะน้องเค้าจริงๆสู้ชีวิตมากๆอะ