. . . ผลิบานด้านใน (การฝึกจิตมิให้หลงอยู่ในความโกรธ) . . . ~


เมื่อวานหยิบหนังสือดิฉันฉบับวันที่ 15 ก.ย.50 ขึ้นอ่าน เห็นว่าคอลัมน์เป็นหูเป็นตา ของคุณศิเรมอร อุณหธูป น่าสนใจ เหมาะจะนำไปใช้ในการดำรงชีวิต ดำรงสติ ดำรงอารมณ์ ที่เกิดขึ้นและเปลี่ยนไปเสมอในชีวิตประจำวัน ... เลยขอคัดบางส่วนมาฝากเพื่อนๆ ค่ะ อยากเอามาทั้งหมดนะคะแต่พิมพ์ไม่ไหวค่ะ








บทความเรื่อง "ผลิบานด้านใน" เน้นเฉพาะถ้อยคำที่จำเป็นในการดำรงชีวิตในแต่ละวัน ซึ่งเมื่อถึงเวลาหนึ่ง เราต้องหาที่ยึดใจ เพื่อมิให้ปัดเป๋ไปในทางที่ให้โทษ แทนการให้คุณให้กุศล อันหมายถึงด้านที่ให้ความเจริญงอกงามแก่ใจ


"สิ่งที่ได้มาเปล่า คือความเฒ่าชรา"

เป็นสิ่งที่ได้มาเปล่า ไม่อยากได้ก็ต้องได้อยู่ดี หนีไปสุดหล้าฟ้าเขียว หรือผ่าตัดดึงรั้งมากี่หน มันก็มาเยือนประชิดหน้าตาเนื้อตัวอยู่ดี ไม่มีพลาด โลกเรามีแต่ความไม่เที่ยง เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ไม่มีความจีรังอย่างที่เข้าใจกันไปเอง หากประจักษ์แจ้งแก่ใจก็สามารถยอมรับความจริงในข้อนี้ได้โดยไม่ต้องหนี ไม่ต้องดิ้นรนดื้อดึง


ดังนั้นเมื่อยังมีชีวิตอยู่ได้แลเห็นความสำคัญของจิต ดูแลรักษาส่วนที่เป็นนามธรรมนี้ให้สะอาดจากความลุ่มหลง ผูกโกรธ โลภตะกละได้มากเท่าไหร่

---ก็เป็นที่หวังได้ว่า จิตลักษณะที่เปลื้องได้มากเท่านี้ จะไม่พาไปเร่ร่อนอยู่ในเมือกตมต่ำได้







"ความผิดของผู้อื่นเห็นง่าย ความผิดของตนเห็นยาก"

เป็นสัญชาติญาณของสัตว์ เข้าข้างตัวเอง ไม่ว่าสัตว์ชั้นไหนก็ตาม ... และสัตว์คนกว่า 99 % มักหาสิ่งที่ไม่ดีในตัวเองไม่เจอ ค่าที่มัวจ้องเพ่งโทษอยู่แค่ภายนอกตัว มองไม่เห็นสองด้านสองฝั่ง ... หลงทิศหลงทาง หลงน้อยเนื้อต่ำใจ หลงโกรธขึ้ง หลงเครียดยาวนาน และวิ่งวนอยู่กับความผิดของผู้อื่น ความถูกของตนไม่จบ

อาจมองสองฝั่งสองด้าน ฝั่งเขา ฝั่งเรา ด้วยการตั้งคำถาม และหาคำตอบที่ไม่เข้าข้างตนเองให้เจอ เพื่อย่อยออกมาพบ "ตรงกลาง" ไม่งั้นสุดโต่งด้านตื้อด้านเดียว มืดตึ๊ดตื๋อด้วย


ปัญหาที่เกิดขึ้นเพราะเราเดินตรงกลางๆ ไม่เป็น สายกลางช่วยให้ปัญหาของเราน้อยหรือลดลง ผู้อบรมจิตตัวเองอยู่เป็นประจำท่านหนึ่งเคยกล่าวแก่ดิฉันว่า

"ติผู้อื่น บ่นว่า ไม่พอใจเขา ถ้าเราไม่อยากให้เกิดอีก ก็ต้องมองข้ามอาสวะกิเลสของเราเองให้พ้น ไม่มีประโยชน์อะไร ติเขา เขาไม่เปลี่ยน เราก็ไม่เปลี่ยน ... เราก็มิได้ดีไปกว่าใคร อยู่ๆ นั่งทำร้ายตัวเองให้ทุกข์ เขาก็ต้องว่าเขาทำดีที่สุดแล้ว เราก็ต้องว่าเราทำดีที่สุดแล้วเช่นกัน เดี๋ยวก็ค่ำแล้ว เป็นชาติใหม่แล้ว เดี๋ยวก็ตายจากกันแล้ว"







"จะให้คนอื่นเงียบนั้น เราต้องเงียบก่อน"

ถ้าจะเงียบให้ได้ ต้องฝึกสติค่ะ ไม่เช่นนั้นไม่มีทาง คนที่เงียบไม่ได้ นิ่งไม่ได้ ฟังเฉยๆ ไม่ได้ ตบโต้กลับด้วยอารมณ์ระดับเดียวกัน จนเลยเถิดเตลิดเปิดเปิงไปทั้งคู่ ... บางรายอาจไม่ใช้อารมณ์ หากพยายามอธิบายในมุมของตน มีสติอยู่กับเจตนาที่จะอธิบายในมุมของตน แต่คู่ตรงข้ามมีอารมณ์เฉ่งอย่างเดียวการพยายามอธิบายออกไปก็ไร้ประโยชน์ เงียบเสียดีกว่า

เงียบแล้ว อาจจะมีการตามราวีอีกกี่ยก ยิ่งต้องเงียบให้สนิท ทุกนาทีต้องมีสติ ไม่อย่างงั้นเราก็มีโอกาสขาดผึงได้เช่นกัน

นักราวี นักประชดประชัน หยิกแกมหยอก นักด่า นักหาเรื่อง นักใช้อารมณ์ทั้งหลาย นักใช้ข้ออ้างเป็นเหตุผลจิปาถะ ... ถ้าเราหนีไม่ได้ ก็ใช้คนพวกนี้เป็นแบบฝึกหัดให้เราข้ามให้พ้นวังวนของอารมณ์

--- เพื่อลด ละ ลานิสัยอันหมักดองในสันดานของเราเอง ไม่ไปแก้ที่ใคร แก้ที่ตัวเราเอง ตรงที่สุด


คนอื่นก็คือคนอื่นอยู่ร่ำไป เขาก็มีชีวิตอารมณ์ของเขาเป็นของเขา ของเราก็เป็นของเรา ทั้งประจักษ์และตระหนักถึงโทษของโทสะโทโส รีบเอาตัวเอาใจของเราพาไปขัดเกลา คือฝึกมันให้เกิดความเท่าทัน ไม่ต้องไปเท่าทันใคร ให้เท่าทันตัวเราเอง







"ผู้เยือกเย็นกว่าคือผู้ชนะ"

เจ็บใช่ไหม กัดฟันกรอด กัดเข้าไว้ ฟันฟางกร่อนไปไม่ว่า อย่าให้สะเทือนถึงอารมณ์อันพร้อมกระพือ ... โดนโหมเข้าอีก ปิดหู ปิดตา ปิดอารมณ์ ปิดใจ มันก็แค่เสียง รวมทุกเสียงให้เป็นหนึ่ง ไม่ว่าคำด่าแปดกระบุง หรือคำชมแปดกระบุง ก็แค่เสียงเท่านั้น ไปนำพาอะไรกับมัน

หมั่นฝึกจนสติว่องไวพอจึงจะเป็นผู้ชนะ หมัดเด็ดคือเยือกเย็นให้เป็น ไม่ร้อนตามเขา ไม่ขยายความร้อนของเขามาที่หูของเรา สติจ๋ามาทันไหม ไม่ทันลงไปที่ใจทันที เอวังกะละมังมีรู พรุนไปหมด

ขอให้เป็นผู้รู้โทษของโทโส รู้โทษของผู้แพ้ไฟในตนเอง มาหาเองไม่มีหรอกเจ้าความเยือกเย็น จับหลักได้แล้วต้องฝึกกันตลอดเวลา เห็นโทษของสิ่งใด จึงพยายามดิ้นรนไปอยู่ฝั่งตรงข้ามมันได้เมื่อไหร่ จึงจะเป็นผู้ชนะตัวเองแท้จริง







"คนฉลาดมิใช่พูดเป็นอย่างเดียว ต้องนิ่งเป็นด้วย"

ฉลาดในที่นี้มิใช่ฉลาดทางโลก แต่ฉลาดที่ได้มองเห็นธรรมชาติในตัวเอง ที่เลว-ไม่ดีต่อตนและคนอื่น ดิฉันได้พยายามแก้ไข ปรับตน ฝึกฝนตน จิตใจ นิสัยสันดานจนนิ่งเป็น ได้ตั้งใจแล้ว แม้ซ้ำชั้นกี่รอบ ก็ลุกขึ้นอีก เพียรต่อไป

เพราะการระเบิดอารมณ์มันง่ายเกินไป ใครก็ทำได้ วัยไหนก็ทำกัน จนติด-ฝังเป็นสันดาน เหมือนนิ่งเสพติด ถึงเวลาถอดถอนมันเสียทีก่อนตาย ... นิ่งไม่เป็น ถนัดแต่ใช้อารมณ์ โง่จนตายเหมือนกัน เกิดอีกก็โง่อีกอยู่ดี ไม่อาวดีกว่า

นิ่งให้เป็นนี่มันฉลาดอย่างไรนะ
คงคล้ายๆ การพายเรือของชีวิตเราไปเรื่อยๆ ย่อมต้องเจอะเจอทั้งน้ำขึ้นน้ำลงทุกวัน ถ้าน้ำขึ้น แล้วขยันพายสวนทาง ทวนน้ำที่เชี่ยวแรงขึ้นไป ผลก็คือจบเห่ ไปไม่รอด

รู้วิถีของน้ำ จึงปล่อยให้ลอยเลื่อนเคลื่อนไปตามสายน้ำ ไม่ต้านไม่ฝืนพายจ้ำพรวดๆ ให้หมดเรี่ยวแรง น้ำลงเมื่อไหร่ค่อยพายไปยังทิศทางที่ต้องการ มันจึงพานาวาชีวิตไหลลื่นไปสบายๆ ละม้ายคล้ายสายน้ำยามนั้น ...




(ที่มา : บทความเรื่อง "ผลิบานด้านใน" ในคอลัมน์ 'เป็นหูเป็นตา' ของศิเรมอร อุณหธูป
นิตยสารดิฉัน ฉบับวันที่15 กันยายน 2550 หน้า 110-113)




. . . คิดถึงเพื่อนๆ นะคะ
ขอให้มีความสุขทุกวันค่ะ. . .






ขอขอบคุณ :
บทความจากนิตยสารดิฉัน
ภาพประกอบสวยๆ จาก google.com
และไลน์น่ารักจากบล็อกคุณ Klakung ค่ะ




" Les Feuilles mortes" (the Falling leaves) by Yves Montand



Create Date : 09 ธันวาคม 2550
Last Update : 9 ธันวาคม 2550 4:24:53 น.
Counter : 762 Pageviews.

0 comments
: หยดน้ำในมหาสมุทร 34 : กะว่าก๋า
(12 เม.ย. 2567 05:52:40 น.)
Day..10 โฮมสเตย์ริมน้ำ
(11 เม.ย. 2567 08:25:45 น.)
: หยดน้ำในมหาสมุทร 31 : กะว่าก๋า
(9 เม.ย. 2567 05:58:44 น.)
สักกายทิฐิ **mp5**
(8 เม.ย. 2567 11:07:04 น.)

Kittyvicky.BlogGang.com

the Vicky
Location :
NY  United States

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]