Day 6 ทะเล ท้องฟ้า มนุษย์ป้า และรถเมล์สุดหรรษาของหล่อน (Amalfi & Ravello)
มาเขียนบลอกต่อ หลังจากหายไปนานหลายเดือนตั้งแต่โควิด19 ระบาด
ช่วงปิดเมืองไม่ค่อยได้ออกไปไหนก็ทำให้ไม่มีอารมณ์จะเขียนบลอก พอช่วงนี้ออกบ้านบ่อยเลยมีแรงฮึดกลับมาเขียนต่อ รอวันจะได้ไปเที่ยวอีกครั้ง

วันนี้ออกนอกโรม ย้ายไปนอนเมืองตากอากาศริมทะเลทางใต้ ที่เมืองอะมัลฟี่ 
ด้วยความที่ไปนอนแค่คืนเดียว เลยฝากกระเป๋าลากใบใหญ่ไว้ที่โฮสเทล เสียค่าฝาก 2 ยูโร สะพายไปแต่เป้กับกระเป๋าใส่ของใบเล็กเพื่อความคล่องตัว
จองรถไฟของ Italo ไปลงสถานี  Salerno ตอนเห็นตู้โดยสารก็แอบกรี้ดในใจ ดูดีมาก 



แถมโชคดี ได้นั่งเดี่ยวด้วย สบายสุดๆ ระหว่างเดินทางก็มีขนมน้ำดื่มแจก 
ตื่นเต้นได้นั่งรถดีเกินคาด เลยหน้าตาสดใส ยังไม่รู้ชะตากรรมตัวเอง หึ หึ



เป็นรถด่วน เลยจอดระหว่างทางแค่ 2 สถานี Roma Tiburina กับ Napoli Centrale ซึ่งผู้โดยสารส่วนใหญ่จะลงรถที่เนเปิ้ลส์
พอผ่านเนเปิ้ลส์มา ฝั่งขวาจะเห็นภูเขาไฟวิซุเวียสเด่นเป็นสง่า



ดูปลอดภัยมาก เลยทิ้งกระเป๋าเป้ไว้ตรงที่นั่ง แล้วมาสำรวจห้องน้ำก่อนลงสถานีปลายทางซาแลร์โน  ห้องน้ำสะอาดและกว้างขวาง



มาถึงเมืองซาแลร์โน (Salerno) สภาพแวดล้อมก็ต่างไปจากเมืองก่อนๆ นี่ขนาดว่าเป็นต้นทางไปเมืองตากอากาศสุดหรูแบบคาปรี หรือโพสิตาโน่
แต่บ้านเมืองดูทรุดโทรมกว่าโรม หรือฟลอเรนซ์แบบรู้สึกได้ เอาเป็นว่าบรรยากาศในสถานีรถไฟมาคุกว่าโรม ที่ตอนแรกก็ว่าไม่น่าไว้ใจเท่าไหร่แล้วอ่ะนะ



ลงรถไฟมาแบบงงๆ ว่าต้องไปซื้อตั๋วรถไปอะมัลฟี่ที่ไหน เราเดินมาถามคนขับรถบัสตรงป้ายรถเมล์ เค้าก็ชี้กลับให้ไปที่สถานีรถไฟ เราเลยเดินตามทิศที่เค้าชี้มา
มายืนต่อคิวซื้อตํ๋วตรงนี้ร่วมครึ่งชั่วโมง จนได้คุยกับเจ้าหน้าที่ขายตั๋ว เลยรู้ว่ามาผิดที่จ้าาา ตรงนี้ไม่ได้ขายตั๋วแบบที่เราต้องการ
แล้วเค้าก็อุตส่าห์เดินออกมาส่งเราถึงออฟฟิศขายตั๋วของบริษัทที่ขายพาสรถเมล์ 

(ซึ่งคนอิตาลีนี่โคดชิลเหอะ ถ้าต้องซื้อตั๋วแบบที่ต้องคุยกับคนนะ แถวอาจจะไม่ยาว แต่ใช้เวลาสื่อสารต่อคนนานมาก
นวยนาดสุด นี่ก็เดินมาส่งเราไปซื้อตั๋วอีกที่นึงเลย คนที่ต่อคิวด้านหลังก็รอเงกต่อไปนะจ้ะ)


ขอแทรกเล่าเรื่องการเดินทางด้วยขนส่งสาธารณะในคาบสมุทรอะมัลฟี่
- เมืองเริ่มต้น: ไม่เริ่มจากทิศใต้ของคาบสมุทร คือ ซาแลร์โน ก็เริ่มจากทิศเหนือ คือ ซอเรนโต้  
ที่เลือกซาแลร์โน เพราะดูง่ายดีรถไฟต่อเดียวถึง ส่วนซอเรนโต้ต้องลงเนเปิ้้ลส์ แล้วต่อรถไฟท้องถิ่น ยังไม่กล้าลงเนเปิ้ลส์ด้วย เพราะชื่อเสียงทางอาชญากรรมเค้ากระฉ่อนจริงอะไรจริง 
- ขนส่งทางบก: รถเมล์ ราคาถูกแต่คุณภาพชีวิตต่ำเตี้ย ขอให้เลี่ยง / รถนำเที่ยว ราคาแพง นั่งสบาย
- ขนส่งทางน้ำ: เรือเฟอรี่ แนะนำเลย วิวดี นั่งสบาย คุมเวลาได้ ถึงไวแต่รอบอาจไม่เยอะในช่วงหน้าโลว์
- นอกจากนี้้ยังสามารถเช่ารถมอเตอร์ไซค์หรือรถยนต์ขับเองก็ได้ แต่เราก็ไม่เปรี้ยวขนาดนั้น แถมถนนแถวนี้ยังแคบมากๆ



ตอนแรกซื้อตั๋วรถเมล์แบบเหมา 24 ชม. ขึ้นกี่รอบก็ได้ในเวลา ราคา 10 ยูโร 
ต้องอธิบายก่อนว่าที่อะมัลฟี่โคสท์ จะมีเมืองตากอากาศหลายเมือง อยู่ติดทะเลบ้าง อยู่บนผาสูงบ้าง เวลามาเที่ยวเค้าก็จะแวะเที่ยวกันไปเรื่อยๆ
บางทีก็นอนเมืองเล็ก ค่าห้องก็ถูกหน่อย แล้วค่อยนั่งรถหรือลงเรือไปเที่ยวเมืองอื่น ดังนั้นการซื้อพาสแบบนี้ก็ดูจะคุ้ม

....แต่
...ช้าก่อน...
ดูสภาพความแออัดในรถก่อนค่า  เบียดกันแบบรถเมล์เมืองไทยช่วงเวลาเร่งด่วนเลยค่ะ นี่เราไปช่วง low season  แล้วนะ ต้นเดือนตุลา
แถมตอนจะขึ้นรถ  เด็กแถวนี้โผล่มาจากไหนไม่รู้เป็น 10 คนก็พากันกรูขึ้้นรถ แซงนักท่องเที่ยวที่เค้ายืนต่อคิวกันมาก่อนหน้า เสียอารมณ์สุดๆ ก็เลยได้ยืนเบียดเป็นปลากระป๋องแบบที่เห็น



เท่านั้นยังไม่พอ ความหฤหรรษ์มันเพิ่งเริ่มต้นค่ะ จากนั้นพอรถเริ่มออกจากป้าย ก็เป็นทางตรงซัก 10  นาทีแรก
จากนั้นถนนเลาะไปตามขอบหน้าผาล้วนๆ แทบไม่มีทางตรง คดเคี้ยวมากๆ 
....ไม่รอดค่ะ เราเริ่มเมารถ
 
โชคดีที่ป้าคนที่นั่งตรงกับจุดที่เรายืนปิดทางตรงที่นั่งของนางกำลังจะลงรถ เราก็กำลังจะเข้าไปเสียบนั่งแทนอยู่แล้ว นางกางแขนขวางเราแล้วเรียกเด็กเวรที่แซงคิวเมื่อตะกี้ให้มานั่งแทนค่ะ เด็กชายที่มานั่ง อายุน่าจะ  12-14 ตัวสูงกว่าเราอีก วัยกะลังกวนได้ที่เลย พอมานั่งก็ตะโกนคุยกะเพื่อนที่อยู่ทางด้านหลังตลอดเวลา แล้วเอาเข่ามากระทุ้งขาเราเรื่อยๆ เราก็เลยกระแทกกลับสู้บ้าง 
เมารถก็เมา แล้วต้องมาไฟว้กะอิเด็กพวกนี้อีก  เห้อออ 
 
ผ่านไปเกือบชั่วโมง เหงื่อออกท่วมตัว แต่มือเย็นเจี๊ยบ อาการเมารถชักจะหนักข้อขึ้น เปิดดูแผนที่ในมือถือ  ยังไม่ถึงครึ่งทางไปอะมัลฟี่เลย ยืนทำใจสูดหายใจลึกๆ วิวทะเลไม่มีให้ดูค่ะ  เพราะยืนฝั่งที่เห็นแต่ผาหิน แต่แล้ว อยู่ๆเด็กชายก็ลุกจากที่นั่ง ไปคุยเล่นกะเพื่อนด้านหลังเองเฉย เราเลยได้โอกาสนั่งแทนที่ ..ผ่านไปซัก 5 นาที ได้ยินเสียงตะโกนมาจากด้านหลังรถ เสียงดังมาก คือทุกคนบนรถหันไปมองอ่ะ
 
ใช่ค่ะ.. เด็กคนนั้นเรียกเรา เดาว่าจะให้เราลุกเพราะต้องการจะกลับมานั่งที่ พูดอิตาเลียนทั้้งหมด เราก็ไม่เข้าใจหรอก  รู้เรื่องแค่ mi scuzi ที่แปลว่า excuse me  นั่นแหละ แต่เรื่องอะไรจะลุกให้ล่ะคะ เราตีหน้ามึนกลับไป แล้วบอกว่าฉันไม่รู้เรื่องที่เธอพูด พูดเป็นภาษาอังกฤษได้มั้ย ก็คุยกันแบบโลกคู่ขนานอยู่พักนึง จนเด็กเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ต่อความตีมึนของเราไปเอง ตอนหันหน้ากลับมา เราว่ามีคนที่เอาใจช่วยเราอยู่นะ เพราะมีคนบนรถยิ้มมาให้เราด้วย ก็..เด็กก๊วนนี้มันกวนจริงๆ (ไม่ก็เอ็นดูปนเอือมมนุษย์ป้าทะเลาะกับเด็กบนรถเมล์นี่แหละ)


 
พอใกล้ถึงอะมัลฟี่คนบนรถก็บางลง ทุกคนได้ที่นั่งกันหมด เด็กคนนั้นก็ลงรถไปซักเมืองก่อนหน้านี้ แต่ความเมารถยังไม่จางหายไป
เรากำถุงพลาสติกที่เตรียมมาด้วยติดมือไว้  ข้างๆเราเป็นคุณพี่ยิปซีนั่งอยู่ เหงื่อออกท่วมตัว แต่ข้างในเย็นเฉียบ ...ในที่สุดก็ต้านไม่ไหว 
ใช่ค่ะ... เราอ้วกบนรถเมล์ไปอะมัลฟี่ น่าอายมาก ยังดีที่พกถุงติดตัวมาด้วย และไม่ได้กินมื้อเที่ยงก่อนขึ้้นรถ เตรียมตัวมาดีก็เลยก้มหน้าอ้วกหลังเบาะแบบเงียบๆ ไม่ทำความเปรอะเปื้อนให้สภาพแวดล้อม สงสารก็แต่ พี่ยิปซีที่ต้องมานั่งใกล้ชิดกับมนุษย์ป้าเอเชียอย่างเราจัง ถึงกับต้องเบือนหน้าหนี

ไม่ถึง 10  นาที  ก็มาลงรถสุดสาย เมืองที่เราจะนอนพักคืนนี้ที่ อะมัลฟี่ สิริรวมใช้เวลาเดินทางจากซาแลร์โน-อะมัลฟี่ก็เกือบ  2 ชั่วโมง
ลงรถปุ๊บ รีบถ่ายตามหลังรถเมล์คันเกิดเหตุหรรษาต่างๆนานา



มาเช็คอิน เก็บของที่โรงแรมกันก่อน  Albergo Sant'Andrea เป็นที่พักทำเลทอง อยู่ติดกับจัตุรัสกลางเมือง บางห้องของโรงแรมก็จะได้วิวลานกลางเมืองและ Amalfi Duomo ด้วย (ซึ่งไม่ใช่ห้องของเรา) ราคาสำหรับแถวๆนี้ก็จัดว่าถูก 60 ยูโร พร้อมอาหารเช้า ห้องก็ทั่วๆไป
แต่คืนนี้เป็นคืนเดียวที่ได้นอนห้องส่วนตัว ใช้ห้องน้ำคนเดียว สำหรับเราก็คือ ฟินมากกก



จัตุรัสกลางเมืองที่ว่า และโบสถ์ด้านหลังคือ Amalfi Duomo



ของฝากของที่ระลึกแถวๆนี้  ก็จะเป็นงานเซรามิค สีสันสดใสเฉพาะตัว กับสินค้าจากเลม่อน



ชายหาดเมืองอะมัลฟี่ วันนี้แดดแรง ฟ้าสดใสมาก ตอนแรกแพลนจะไปโพสิตาโน่  ส่วนพรุ่งนี้พยากรณ์ว่าจะมีฝนตกอึมครึมทั้งวัน



มารอรถเพื่อไปโพสิตาโน่ ตรงนี้เป็นจุดรวมรถสาธารณะไปยังเมืองท่องเที่ยวต่างๆ แต่พอเห็นคิวคนรอรถไปโพสิตาโน่เท่านั้นแหละ เปลี่ยนใจไปราเวลโล่ดีกว่า



มีรถ sightseeing ที่จะไปราเวลโล่ มาจอดพอดี จริงๆจะรอขึ้นรถเมล์ที่ใช้พาสขึ้นก็ได้นะ แต่ยอมจ่าย 5 ยูโรเพื่อความสะดวกสบายดีกว่า ยังขมคอไม่หาย
รถเปิดหลังคารับสายลมแสงแดดเต็มที่ขนาดนี้ ไม่น่าเมารถซ้ำรอยเดิมแล้วแหละ



ถนนอารมณ์เหมือนทางขึ้นเขาไปม่อนแจ่ม นั่งรถใช้เวลาประมาณ 20-30 นาที



ก่อนจะเข้าตัวเมืองราเวลโล่ เราเดินย้อนมาดูหอแสดงดนตรี Oscar Niemeyer Auditorium
เมืองนี้มีชื่อเสียงจากการเป็นเมืองตากอากาศแล้วมีคนดังๆ  เซเลบจากวงการต่างๆ รวมถึงวงการดนตรีมาพักผ่อนหาแรงบันดาลใจ  อย่าง Richard  Wagner เป็นต้น
ช่วงหน้าร้อน ก็จะมีงานแสดงดนตรีจัดขึ้นเป็นประจำ จนได้ชื่อว่าเป็น city  of  music



เข้าเมือง ก็จะพบจัตุรัสกลางเมืองก่อน Piazza Vescovado และ  Ravello Duomo



มีร้านอาหาร ร้านขายของ บรรยากาศน่ารักมากๆ ใกล้ๆกับจัตุรัสมีที่ท่องเที่ยว  Villa Rufolo แต่เราไม่ได้เข้าไปที่นี่ค่ะ 
ไปเข้าวิลล่าอีกที่ Villa Cimbrone เดินไกลหน่อย จะได้ถือโอกาสชมเมืองไปด้วย



ของที่ระลึกอีกเช่นเคย เซรามิกและเลม่อน



ใช้เวลาประมาณ 20 นาที ในการเดินไป Villa Cimbrone วิวสองข้างทางก็เพลิดเพลินมาก 



สวนในบ้านใครซักคน กับวิวทะเลไกลๆ



ถึงด้านหน้าวิลล่าแล้วค่ะ ปัจจุบันเป็นโรงแรมหรู เปิดให้ชมสวนด้านในได้ ค่าเข้า 7 ยูโร



แค่ประตูก็สวยน่ารักแล้ว



พื้นที่ด้านในกว้างขวาง รูปแบบพื้นที่เดิมของสวนเป็นแบบเรเนซองส์ซึ่งจะเน้นทรงเรขาคณิต มีสมมาตร แต่พอช่วงต้นคริสตศตวรรษที่ 20 เปลี่ยนเจ้าของเป็นคนอังกฤษ
เลยมีการจัดสวน จัดต้นไม้แบบสวนอังกฤษเข้ามาผสมอยู่ด้วย



ติดกับทางเข้าสวน มีคอร์ทยาร์ดเล็กๆ กลิ่นอายอาหรับ ชวนฝันมาก



ประติมากรรม เทพีเซเรส (Ceres)  หรือดีมีเตอร์ในภาษากรีก  เป็นเทพแห่งความอุดมสมบูรณ์ของพืชผล ตั้งอยู่ดักทางก่อนจะถึงไฮไลท์ของสวนนี้



Terrazza dell'Infinito ระเบียงจุดชมวิวอันโด่งดังของวิลล่าชิมโบรเน่ มองเห็นวิวทะเลไทรีเนี่ยนสีน้ำเงินเข้มด้านล่างได้กว้างไกลมาก



สมชื่อระเบียงอินฟีนิิตี้ เห็นจนสุดสายตา ผืนน้ำผืนฟ้ามาเชื่อมกัน



นึกเสียดายที่มาคนเดียว เลยไม่มีรูปถ่ายตัวเองแแบบดีๆกับระเบียงชมวิวนี้เลย 

นี่ก็บ่ายแก่ๆแล้ว แต่ยังไม่ได้กินมื้อเที่ยง เลยแวะร้านเจลาโต้ของโรงแรมซักหน่อย อยู่ด้านล่างของระเบียงนั่นแหละค่ะ
มาแถวนี้ก็ต้องสั่งรส Limone  หรือเลม่อน ของดีประจำท้องถิ่น



ถ้วยนี้ 5 ยูโร แพงกว่าราคาเจลาโต้โดยเฉลี่ย 2-3  เท่า แต่ก็เข้าใจได้ เพราะสั่งในโรงแรมที่มีห้องพักราคาต่อคืนเริ่มต้นหลักหมื่น แถมวิวดีอีก



ตรงจุดนี้มีความหลอนหน่อยๆ มีเราเดินไปอยู่คนเดียว ลงไปอ่านแผ่นหินที่เค้าสลักไว้ข้างรูปปั้น เนื้อความเหมือนเขียนให้คนตายเลย ไปต่อดีกว่า... 



เดินกลับเข้าเมืองราเวลโล่ เป็นเมืองเล็กๆ เดินเที่ยวได้สบายๆ นักท่องเที่ยวไม่แน่นแบบอะมัลฟี่หรือโพสิตาโน่



คนแต่งตัวดีกันจริง นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่คือฝรั่งวัยเกษียณ



ขากลับ เราขึ้นรถเมล์แบบที่ใช้กับตั๋วพาสที่ซื้อมาตอนแรก ลงมาถึงอะมัลฟี่ ก็เริ่มมืดแล้ว



ร้านอาหารริมหาด



ด้านหน้าอะมัลฟี่ดูโอโม่ยามเย็น  คนยิ่งคึกคัก





มื้อเย็นกินอาหารทะเลชุบแป้งทอดที่ร้านนี้  Cuoppo d'Amalfi อยู่ไม่ไกลจากโรงแแรมที่พัก



คุยกับเจ้าของร้าน เค้าบอกว่าช่วง 2-3ปีหลัง คนมาเที่ยวกันเยอะขึ้นมาก เมื่อก่อนเดือนตุลานี่แทบจะไม่มีคนมาเที่ยวแล้ว แต่ตอนนี้้คนยังเยอะอยู่เลย และแน่นอนช่วง 3-4 เดือนก่อนที่เป็นไฮซีซั่นคนแน่นกว่านี้อีก
มื้อเย็น อยากได้ข้าวสวยกับน้ำพริกกุ้งเสียบมาทานด้วยกัน



กลิ่นประจำเมือง คือกลิ่นเลม่อน เดินๆอยู่แล้วได้กลิ่นเป็นระยะ หอมชื่นใจ



ในกระบะคือเลม่อน ร้านค้าเอาออกมาตั้งให้คนหยิบแบบฟรีๆ เป็นเลม่อนที่เค้าขูดเอาผิว (lemon zest) ออกไปแล้ว 



Andrea Pansa ร้านขนมชื่อดังของเมือง มีทำเจลาโต้ ทำซ็อคโกแลตขายด้วย



ก็จบวันที่พังที่สุดของทริิปไปได้แบบ อืม...ก็ไม่แย่เท่าไหร่นะ 



Create Date : 23 มิถุนายน 2563
Last Update : 23 มิถุนายน 2563 11:40:25 น.
Counter : 1300 Pageviews.

0 comments
กงสุลใหญ่สมใจ ตะเภาพงษ์“ร่วมฉลองสงกรานต์ปีใหม่ไทยในไทม์สแควร์” newyorknurse
(17 เม.ย. 2567 02:18:24 น.)
春和歌山市 : My First Hanami @ Wakayama Castle mariabamboo
(16 เม.ย. 2567 12:49:02 น.)
ระยองฮิสั้น จันทราน็อคเทิร์น
(12 เม.ย. 2567 15:33:48 น.)
ต้นไม้ใบหญ้าเริ่มฟื้นคืนชีพ สวยสุดซอย
(12 เม.ย. 2567 14:13:40 น.)
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Khimyo.BlogGang.com

khimyo
Location :
ลำพูน  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]