ประวัติชาวยิว




ประวัติชาวยิว
ก่อนสมัยพระเยซูประสูติ ชนชาติยิวซึ่งในสมัยโบราณเรียกกันว่า "ฮิบรู" (Hebrew) ซึ่งเป็นชนผิวขาวเผ่า เสมิติคสาขาหนึ่ง มีอาชีพร่อนเร่เลี้ยงสัตว์อยู่ในทะเลทรายอาระเบีย เคยอพยพ เข้าไปตั้งถิ่นฐาน อยู่ทางตอนล่างของลุ่มแม่น้ำยูเฟรติสอยู่ระยะหนึ่ง จนถิ่นที่อพยพเข้าไปอยู่เกิดความแห้งแล้งจึงพากันอพยพต่อไป พวกหนึ่งได้เข้าไปอาศัยอยู่ในดินแดนที่เรียกว่า "ปาเลสไตน์ " อีกพวกหนึ่งเข้าไปอาศัยอยู่ในประเทศอียิปต์ (เมื่อประมาณ 1,400 ปีก่อนคริสต์กาล)

ดินแดนที่เรียกว่า "ปาเลสไตน์" (Palestine) ซึ่งฮิบรูพวกหนึ่งอพยพเข้าไปอาศัยอยู่ครั้งนั้นมีเนื้อที่
ประมาณ 25,000 ตารางกิโลเมตร ตั้งอยู่บนฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน, ทิศเหนือจรดประเทศซีเรีย, ทิศใต้จรดประเทศอียิปต์, ทิศตะวันออกจรดแม่น้ำจอร์แดน, ทิศตะวันตกจรดทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เมื่อพวกฮิบรูอพยพมาสู่ดินแดนนี้ใหม่ๆ บริเวณดังกล่าวเป็นอาณาจักรของพวกเจริญที่ตั้งถิ่นฐานอยู่มาก่อนช้านานแล้ว(ประมาณ1,500 ปี) ที่เรียกว่า "คานาอัน" (Canaan) ของชนเผ่า "เคนันไนท์" (Cananite)

พวกเคนันไนท์เป็นชนเผ่าเสมิติคอีกสาขาหนึ่งซึ่งเจริญขึ้น เพราะได้รับอารยธรรมจากอียิปต์ และบาบิโลเนีย สามารถสร้างบ้านเมืองใหญ่โตมีป้อมปราการล้อมรอบ เรียกว่า "นครเยรูซาเลม" (Herusalem) พวกฮิบรูที่อพยพเข้ามาภายหลังตอนแรก ๆ ต้องอาศัยพวกเคนันไนท์อยู่นอกกำแพงเมือง พวกเคนันไนท์ ซึ่งเป็นเจ้าของถิ่นเดิมเรียกผู้อพยพมาอยู่ใหม่เหล่านี้ว่า "ฮิบรู" (Hebrew) แปลว่า "พวกข้างโน้น" ต่อมาพวกฮิบรู เริ่มเจริญขึ้นเพราะได้รับขนบธรรมเนียมประเพณี และอารยธรรมจากพวกเคนันไนท์ได้เข้าปะปนกับเจ้าของถิ่นเดิม จนกลายเป็นพวกเดียวกันระยะนี้พวกฮิบรูมีความเป็นอยู่ที่แตกต่างกันแบ่งออกได้เป็น 2 พวก คือ พวกที่อยู่ทางเหนือใกล้ชิดกับพวกเคนันไนท์มาก มีขนบประเพณี และวิธีการดำเนินชีวิตเช่นเดียวกันกับพวกเคนันไนท์ ส่วนพวกที่อยู่ทางใต้ ยังคนร่อนเร่เลี้ยงสัตว์ใช้ชีวิตแบบเดิม และรักษาขนบธรรมเนียมประเพณีเดิมอยู่

สังคมของพวกฮิบรู ด้านการปกครองสมัยที่ยังร่อนเร่พเนจรอยู่กันเป็นกลุ่มๆ มีหัวหน้าใหญ่เป็นผู้นำ
เรียกว่า "พาทริอาร์ค" (Patriarch) แปลว่า "พ่อหมู่" เป็นผู้ควบคุม พ่อหมู่ หรือหัวหน้าหมู่มีอำนาจเหนือผู้คน และทรัพย์สินของลูกหมู่ทุกคน ทำหน้าที่เป็นทั้งผู้นำการเดินทาง แม่ทัพ ตุลาการ ผู้สอนศีลธรรมจรรยา และเป็นตัวแทนพระผู้เป็นเจ้าเบื้องบนด้วย ด้านศาสนา พ่อหมู่อธิบายว่าตนทำทุกอย่างตามบัญชาพระผู้เป็นเจ้า การที่ลูกหมู่ผู้ใดจะได้รับทุกข์สุข ขึ้นอยู่กับการกระทำของพวกเขาเอง ถ้าเขาเหล่านั้นเชื่อมั่นในพระเจ้า และกระทำความดี พระเจ้าจะบันดาลให้พบดินแดนที่อุดมสมบูรณ์ และอยู่อย่างเป็นสุข ถ้าไม่เชื่อในพระเจ้า และประพฤติชั่วกันมากๆ พระเจ้าจะทรงลงโทษให้ได้รับทุกข์

พวกฮิบรูมีความเป็นอยู่เช่นนี้เรื่อยมา จนกระทั่งถึงสมัยพ่อหมู่มีนามว่า "ยาคอบ" ยาคอบเป็นคนแรกที่ประกาศ และปฏิบัติตนเป็นผู้ยึดมั่นในพระเจ้าอย่างเคร่งครัด ท่านผู้นี้เรียกชื่อตนเองในขณะประกอบพิธีกรรมทางศาสนาว่า "อิสราเอล" (Israel) แปลว่า "มั่นคงต่อพระเจ้า" นอกจากนี้ยังได้แบ่งพวกฮิบรูออกเป็น 12 กลุ่ม แล้วแต่งตั้งบุตร 12 คนของเขาเป็นหัวหน้า ปกครองกลุ่ม ๆ ละ 1 คน พวกฮิบรูจึงเรียกชื่อพวกตนเองว่า "อิสราเอลไลท์" (Israelite) แปลว่า "ลูกของอิสราเอล" นับแต่นั้น

ต่อมาโจเซฟบุตรชายคนหนึ่งของยาคอบ มีโอกาสเข้าไปรับราชการในราชสำนักของกษัตริย์อียิปต์
ทำความดีความชอบ ที่โปรดปรานของฟาโรห์จนได้รับแต่งตั้งเป็นอัครมหาเสนาบดี ระยะนั้นพวกฮิบรูได้พากันอพยพเข้าไปอาศัยอยู่ในประเทศอียิปต์เป็นจำนวนมาก พวกฮีบรูมีร่างกายแข็งแรง ขยันขันแข็งในการทำงาน และมีความทรหดอดทนต่อความยากลำบาก เมื่อสิ้นบุญโจเซฟแล้ว ฟาโรห์องค์ต่อมาได้เกิดไม่ไว้ใจเกร่งว่าพวกฮิบรูจะเป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศ จึงแยกฮิบรูให้ไปอยู่รวมกลุ่มกันต่างหาก จากพวกตนลดฐานะลงเป็นทาส และเกณฑ์แรงงานไปใช้ในการก่อสร้างพีระมิด





พวกฮิบรูยิ่งได้รับความทุกข์ยากลำบาก ปริมาณประชากรกลับยิ่งเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จนฟาโรห์ต้องมีคำสั่งให้ประหารชีวิตเด็กเกิดใหม่เป็นจำนวนมาก อย่างไรก็ตามครั้งนั้นปรากฏว่าทารกชาวฮิบรูผู้หนึ่งรอดตายจากคำสั่งประหาร เพราะมารดานำเด็กใส่แพลอยน้ำ ทารกนั้นเป็นเด็กชาย เจ้าหญิงอียิปต์องค์หนึ่งพบเข้า และนำไปอุปการะ ตั้งชื่อว่า "โมเสส" (Moses) แปลว่า "ผู้รอดตายจากน้ำ"

เมื่อโมเสสเติบโตขึ้นเป็นผู้มีสติปัญญาดี และได้รับการศึกษาสูงเยี่ยงเจ้าชายองค์หนึ่ง โมเสสมีจิตเมตตาสงสารพวกฮิบรูที่เป็นทาสถูกเกณฑ์แรงงานสร้างพีระมิดให้ฟาโรห์ และถูกผู้คุมทำทารุณกรรมต่างๆ ถึงกับสังหารผู้คุมชาวอียิปต์ที่ทารุณนั้น และลาออกจากตำแหน่งหน้าที่ราชการมาเป็นหัวหน้าวางแผนพาพวกฮิบรูหลบหนีจากอียิปต์ไปสู่ประเทศปาเลสไตน์เป็นผลสำเร็จ ดินแดนแห่งนี้พวกฮิบรูถือว่าเป็นดินแดนแห่งพันธสัญญาแห่งพระเจ้าที่ทรงประทานให้แก่พวกเขา ที่ปาเลสไตน์โมเสสได้รับการยกย่องนับถือจากประชาชน ที่ตนพาหลบหนีจากประเทศอียิปต์ตลอดจนพวกอิสราเอลไลท์ที่อาศัยอยู่ในปาเลสไตน์ จึงได้รับเลือกให้เป็นหัวหน้า ณ ดินแดนแห่งนี้ โมเสส ได้วางรากฐานที่สำคัญให้แก่สังคมฮิบรู คือ

1) จัดทำกฎหมายและกำหนดระเบียบการปกครองพวกอิสราเอลไลท์ขึ้น กฎหมายและระเบียบการ
ปกครองดังกล่าว มีสารที่สำคัญ คือให้ถือว่าพระเจ้าทรงเป็นผู้ปกครองสูงสุดของชาวอิสราเอลไลท์ พระเจ้าทรงมอบหน้าที่ให้ผู้แทนของพระองค์ (ซึ่งได้มาโดยการเลือกตั้ง) เรียกว่า "ยัดซ์" (Judge) แปลว่า "ผู้วินิจฉัย" ทำหน้าที่เป็นตุลาการพิพากษาคดี แผ่นดินทั้งหมดเป็นสมบัติของพระเจ้า ห้ามซื้อขาย ผู้ใดฝ่าฝืนกฎหมายเกี่ยวกับข้อห้ามทางศาสนาจะต้องได้รับโทษอย่างหนัก ผู้กระทำผิด ทางอาญาเช่นไร จะต้องได้รับโทษตอบแทนในทำนองเดียวกัน (ตาต่อตาฟันต่อฟัน)

2) ด้านศาสนา กำหนดให้มีพระเจ้าสูงสุดเพียงองค์เดียว คือ "ยาเวห์" หรือ ยะโฮวา" (Yaveh,
Yahoveh) พระเจ้าทรง ประทานกฎแห่งความประพฤติ (ศีล) แก่ประชาชน 10 ประการ เรียกว่า "บัญญัติ 10ประการ" (Ten Commanments) เมื่อ โมเสสถึงแก่กรรม ปรากฏว่าพวกฮิบรูมีความสามัคคีและมีกำลังเข้มเข็งขึ้น โจชัว คนสนิทของโมเสสสามารถยกกำลังแย่งชิงดินแดน ของพวกเคนันไนท์ได้

นับแต่เริ่มอพยพเข้ามาอยู่ในปาเลสไตน์จนยึดอาณาจักรคานาอันของพวกเคนันไนท์ได้ พวกอารา
เอลไลท์ ไม่เคยมีกษัตริย์ปกครอง จึงไม่สามารถรวมพลังเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ทั้งหมด เมื่อตั้งบ้านเมืองได้ก็ถูกรุกรานจากศัตรูใกล้เคียงพวก ฟิลิสติน (Philistine) ซึ่งอพยพจากเกาะครีต (Crete) เข้ามาตั้งภูมิลำเนาอยู่แถบชายทะเลทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของปาเลสไตน์ พวกอามอไรท์ และฮิตไตท์จากทางเหนือ ทำให้เกิดความจำเป็นที่จะต้องมีกษัตริย์ปกครอง พวกอิสราเอลไลท์ได้พร้อมใจกันเลือกหัวหน้ากลุ่มที่เข้มแข็งในการสงครามผู้หนึ่ง ชื่อ "ซอล" (Saul) ขึ้นเป็นกษัตริย์องค์แรก เมื่อประมาณ 1050 ปี ก่อนคริสต์กาล

สมัยที่พระเจ้าซอล ปฐมกษัตริย์ปกครองพวกอิสราเอลไลท์ พระองค์มิได้สร้างบ้านเมือง และพระราชวังเป็นที่ประทับ ยังคงประทับในกระโจมซึ่งพร้อมที่จะเคลื่อนย้ายได้โดยสะดวก ตอนต้นสมัยแห่งรัชกาลของพระองค์ทรงทำสงครามชนะพวกฟิลิสติน แต่ปลายรัชกาลทรงประสบความปราชัย ต่อมาทรงมีพระสติวิปลาสถึงกับสิ้นพระชนม์พระองค์เอง หลังจากพระเจ้าซอลสิ้นพระชนม์แล้วพวกอิสราเอลไลท์ได้เลือกอดีตข้าราชสำนักของพระเจ้าซอลผู้สามารถในการสงคราม และกล้าหาญที่ถูกพระเจ้าซอลเนรเทศ ขึ้นเป็นกษัตริย์ทรงพระนามว่า พระเจ้าดาวิด (David) พระเจ้าดาวิดทรงครองราชย์ อยู่ระหว่าง 1705-993 ปีก่อนคริสต์กาลสมัยของพระองค์นับได้ว่าเป็นสมัยแห่งความรุ่งโรจน์ของพวกอิสราเอลไลท์ ทรงตีได้นครเยรูซาเลมของพวกเคนันไนท์ และสถาปนาอาณาจักรยูดาห์ (Udah) ขึ้น ณ บริเวณเนินสูงยูเดีย และสมัยนี้เองที่พวกฮิบรูหรือ
อิสราเอลไลท์ เรียกตัวเองว่า "ยูดาย" หรือ "ยิว" (Jew)

สิ้นรัชสมัยพระเจ้าดาวิด พระเจ้าโซโลมอน โอรสพระเจ้าดาวิดทรงทำให้อาณาจักรยูดาห์มั่งคั่ง และรุ่งโรจน์ถึงขีดสุด ทรงสร้างวัด และโบสถ์วิหารงดงามขึ้นในอาณาจักรยูดาห์ ทรงทำนุบำรุงศาสนาประจำชาติของยิวให้เจริญก้าวหน้าขึ้นเป็นอย่างมากอย่างไรก็ตาม ปลายรัชกาลพระเจ้าโซโลมอนทรงปล่อยให้ลัทธิศาสนาฟินิเชียน และอียิปต์ ซึ่งบูชารูปเคารพ และนับถือเทพเจ้าหลายองค์ เข้ามาเผยแผ่ทางภาคเหนือ ทำให้ประชาชนทางเหนือพากันรับนับถือเทพเจ้าของลัทธิศาสนาอื่นมากขึ้น ประชาชนทางใต้ซึ่งเคร่งครัดในลัทธิศาสนาเดิมของตนต่างพากันชิงชังพวกฝ่ายเหนือ ขณะเดียวกันพวกฝ่ายเหนือซึ่งมีฐานะทางเศรษฐกิจดีกว่าพวกทางใต้ก็ไม่พอใจที่กษัตริย์ของตนทำนุบำรุงศาสนาแต่เฉพาะทางใต้ ดังนั้น เมื่อพระเจ้าโซโลมอนสิ้นพระชนม์ เมื่อ 953 ปีก่อนคริสต์กาล อาณาจักรของพวกฮิบรู จึงแตกแยกออกเป็น 2 อาณาจักรคือ

1. อาณาจักรทางเหนือ เรียกว่า "อิสราเอล" (Israel) มีเมืองสมาเรีย (Samaria) เป็นเมืองหลวง
2. อาณาจักรทางใต้ เรียกว่า "ยูดาห์ (Udah) มีเมืองเยรูซาเลมเป็นเมืองหลวง

หลังแตกแยกกันแล้วความขัดแย้งเรื่องศาสนาทำให้สองอาณาจักรเป็นศัตรูกันอย่าง รุนแรง จนถึงกับยกกำลังเข้าทำสงครามกัน ทั้งสองอาณาจักรจึงเสื่อมโทรมลงตามลำดับ จนกระทั่งประมาณ 722 ปีก่อนคริสต์กาล อาณาจักรอิสราเอลก็สูญเสียเอกราชแก่พระเจ้าซาร์กอนที่ 2 กษัตริย์อัลซีเรียที่มารุกราน ประชากรถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลยเกือบทั้งหมด และอีกประมาณ 10 ปีต่อมา อาณาจักรยูดาห์ก็เสียเอกราชแก่พระเจ้าเนบูคัดเนสซาร์ กษัตริย์แคเดีย ผู้ปกครองอาณาจักรบาบิโลเนียใหม่ เมื่อประมาณ 586 ปีก่อนคริสต์กาล ผู้คนถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลยและนครเยรูซาเลมถูกทำลายพวกยิวที่ถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลย ณ กรุงบาบีโลเนียตกเป็นเชลยอยู่ประมาณ 50 ปี จึงได้รับอิสราภาพเมื่อพระเจ้าโซรัสมหาราชกษัตริย์เปอร์เซียทรงตีกรุงบาบีโลเนียได้เมื่อ 536 ปีก่อนคริสต์กาล พระเจ้าไซรัสมหาราช ทรงปลดปล่อยยิวให้กลับถิ่นเดิม ยิวได้กลับไปฟื้นฟูครเยซาเลมขึ้นหม่จนมีฐานะเป็นเมืองศูนย์กลางทางศาสนายิวนับแต่นั้น

อิสราภาพของยิวยืนนานอยู่เพียงชั่วสมัยจักรวรรดิเปอร์เซียเรืองอำนาจเท่านั้น ต่อมาเมื่อจักรวรรดิ
เปอร์เซียต้องสูญเสียอำนาจแก่กรีก ยิวก็ต้องตกอยู่ในอำนาจการปกครองของกรีก และเมื่อกรีกสูญเสียอำนาจแก่โรมัน ยิวก็อยู่ใต้อำนาจการปกครองของจักวรรดิโรมันต่อมา ยิวต้องตกทุกข์ยากและถูกกดขี่บีบคั้นจากชาติต่างๆ ที่ผลัดเปลี่ยนกันเข้ามาปกครองตน ต่อเนื่องกันมาเป็นเวลาช้านาน ท่ามกลางความว้าเหว่ประชาชนยิวต่างรอคอยกาลเวลาที่พระเจ้าของตน จะส่งเมสไซอามาช่วยปลดปล่อยสู่อิสราภาพ





ศาสนาของชาวยิวคือ ศาสนายูดาห์ หรือศาสนายิว (อังกฤษ: Judaism) คือวิถีชีวิต ปรัชญา และศาสนาประเภทเอกเทวนิยมตามความเชื่อของชาวยิว มีต้นกำเนิดในคัมภีร์ฮีบรู (หรือคัมภีร์ทานัค) รวมถึงคัมภีร์ชั้นหลัง เช่น คัมภีร์ทาลมุด ศาสนิกชนยูดาห์ถือว่าวิถีนี้เป็นพันธสัญญาระหว่างพระยาห์เวห์กับวงศ์วานอิสราเอล ศาสนายูดาห์แบบรับบีถือว่าพระยาห์เวห์ได้ประทานธรรมบัญญัติที่เรียกว่าคัมภีร์โทราห์แก่โมเสสที่ภูเขาซีนาย ศาสนายูดาห์มีความเป็นมายาวนานกว่าสามพันปี (นับจากสมัยอับราฮัม) จึงถือเป็นศาสนาเอกเทวนิยมที่เก่าแก่ที่สุดที่ยังดำรงอยู่ในปัจจุบัน] ในคัมภีร์ทานัคที่เขียนขึ้นในยุคหลัง เช่น หนังสือเอสเธอร์ เรียกชาวฮีบรูหรือวงศ์วานอิสราเอลว่าชาวยิว คัมภีร์ของศาสนายูดาห์ยังมีอิทธิพลอย่างมากต่อศาสนาอับราฮัมยุคหลังด้วย คือ ศาสนาคริสต์ ศาสนาอิสลาม และศาสนาบาไฮ รวมทั้งมีอิทธิพลต่อจริยธรรมและระบบซีวิลลอว์ตะวันตกทั้งทางตรงและทางอ้อม

ชาวยิวเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ศาสนา ซึ่งหมายรวมทั้งที่เป็นชาวยิวโดยกำเนิด และคนที่เข้ารีตยิว ในปี ค.ศ. 2010 ประชากรยิวทั่วโลกมีอยู่ประมาณ 13.4 ล้านคน หรือคิดเป็นประมาณร้อยละ 0.2 ของประชากรโลกทั้งหมด ชาวยิว 42% อาศัยอยู่ที่ประเทศอิสราเอล อีก 42% อาศัยอยู่ที่สหรัฐอเมริกาและประเทศแคนาดา ที่เหลือส่วนมากอาศัยอยู่ในทวีปยุโรป 

ขบวนการศาสนายูดาห์ที่ใหญ่ที่สุด คือศาสนายูดาห์ออร์ทอดอกซ์ ศาสนายูดาห์อนุรักษนิยม และศาสนายูดาห์ปฏิรูป แต่ละกลุ่มมีการตีความธรรมบัญญัติแตกต่างกันไป ศาสนายูดาห์ออร์ทอดอกซ์ถือว่าคัมภีร์โทราห์และธรรมบัญญัติมาจากพระเป็นเจ้า เป็นนิรันดร์ เปลี่ยนแปลงไม่ได้ จึงต้องถือปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ศาสนายูดาห์อนุรักษนิยมและศาสนายูดาห์ปฏิรูปจะมีแนวคิดแบบเสรีนิยมมากกว่า ศาสนายูดาห์ปฏิรูปถือว่าธรรมบัญญัติต่าง ๆ เป็นแนวทางปฏิบัติทั่วไป ไม่ใช่ข้อบังคับหรือพันธะ การตีความคำสอนและข้อบัญญัติต่าง ๆ ในศาสนายูดาห์ไม่เป็นสิทธิ์ขาดแก่บุคคลหรือองค์การใดโดยเฉพาะ แต่ยึดตามตัวบทในพระคัมภีร์




การตกเเต่งประดับประดา วันคริสต์มาสของชาวยิว (ไม่มีต้นคริสต์มาส)


คนเผ่าพันธุ์ยิวเป็นคนที่ฉลาดที่สุดในโลก ข้อมูลจากคนที่ได้รางวัลโนเบลทางวิทยาศาสตร์และเศรษฐศาสตร์ ศาสตราจารย์ในมหาวิทยาลัยต่าง ๆ มหาเศรษฐีผู้กุมเศรษฐกิจของโลก นักวิชาการที่ปรึกษาประจำทำเนียบขาว นักดนตรีที่เป็นอัจฉริยะ นักคิดนักเขียน ส่วนใหญ่ล้วนแต่สืบเชื้อสายมาจากยิวอย่างเป็นสัดส่วนที่น่าตกใจ

แต่สาเหตุที่ทำไมเขาถึงฉลาดและประสบความสำเร็จ ก็เป็นเรื่องที่น่าสงสัย จะว่าไปว่าเป็นเพราะการเลี้ยงดูหรือค่านิยมในครอบครัว ก็เป็นส่วนหนึ่ง แต่คนที่มาจากวัฒนธรรมอื่นที่เน้นให้ลูกได้เรียนหนังสือ หรือเป็นจำพวก disciplinarian เช่น คนจีน เกาหลี ก็ยังไม่เก่งเท่าคนยิว น่าจะเป็นเพราะสติปัญญาและกรรมพันธุ์ของชาวยิวที่มีเหนือคนอื่น

ทำไมคนยิวถึงฉลาดเป็นกรด?
รู้สึกว่ายิวจะเป็นศูนย์รวมของความเจริญต่างๆในโลก ชิปอินเทลเซนตริโอก็พัฒนาในอิสราเอล ซอฟต์แวร์ต้านไวรัสคอมพิวเตอร์ตัวแรกก็พัฒนาในอิสราเอล

ถ้าไม่มีคนยิวป่านนี้ก็คงไม่มีโทรศัพท์มือถือที่มีกล้องถ่ายรูป เพราะอิสราเอลเป็นชาติแรกที่พัฒนากล้องถ่ายรูปที่ฟิตกับชิปในโทรศัพท์มือถือ, ชาวยิวเป็น 1 ใน8 ชาติในโลก ที่ยิงจรวดดาวเทียมได้, ชาวยิวเป็นชาติแรกที่พัฒนาแผงโซลาร์เซลล์ที่ใช้ตามบ้านเรือน, ชาวยิวเป็นชาติแรกที่พัฒนากล้องตัวจิ๋วในรูปแคปซูลเพื่อตรวจสอบระบบทางเดินอาหาร, โปรแกรม ICQ ผลิตโดยวัยรุ่นชาวยิว, ชาวยิวมีตลาดอุตสาหกรรมใหญ่ที่สุดในโลก เมื่อเปรียบเทียบกับประชากร, ชาวยิวมีนักวิทยาศาสตร์ และวิศวกรมากที่สุดในโลก, ชาวยิวเป็นชาติเดียวที่คิดค้นสิ่งประดิษฐ์ใหม่ๆมากที่สุดในโลก, ชาวยิวมีนักบินรบมากที่สุดในโลกแล้วไปช่วยรบแล้วในหลายประเทศ


เทศกาลเฉลิมฉลองฮานุกกะฮ์ของชาวยิว

ในภาพเป็นครีมบำรุงผิวหน้า เเละรอบดวงตา เมดอินอิสราเอล มีวางขายที่ห้าง Ross สหรัฐอเมริกา เราลองซื้อมาใช้ ครั้งเเรกก็ชอบเลย เนื้อครีมละเอียด เบา ใช้เเล้วไม่เเพ้ ต่อมาเลยซื้อครีมเเบบในภาพมาใช้เป็นประจำ ใช้ดีกับผิวหน้าเรามาก


ยิวผู้อาภัพ
ในประวัติศาสตร์ของยิวนั้น ยิวต้องรบพุ่งอยู่ตลอดเวลาและตกอยู่ใต้อำนาจของชาวเปอร์เซีย กรีก และโรมัน ผลจากการโจมตีของอาหรับและสงครามครูเสด ทำให้ชาวยิวต้องตกฉานซ่านเซ็นไปอยู่ตามดินแดนต่าง ๆ ทั้งในยุโรปและแอฟริกาเหนือ ยิวจึงเป็นชนชาติที่ถูกกดดันหนัก เพราะต้องเสียอิสรภาพของความเป็นคน กลายเป็น "ผู้อาศัย” ที่ถูกรังเกียจกีดกันต่าง ๆ นานาแต่ยิวส่วนมากก็มีความทะเยอทะยานที่จะก้าวหน้า อันอาจมีรากฐานสืบเนื่องมาจากความเจ็บแค้น บรรพบุรุษได้พร่ำสั่งสอนเหตุการณ์และความยากลำบากให้ลูกหลานตนจดจำยิวจะอยู่ร่วมสนิทสนมกันเป็นกลุ่มก้อน ด้วยความกังวลที่ว่าประวัติศาสตร์จะย้อนรอย

แต่แล้วยิวก็มีปัญหาความขัดแย้งกับเจ้าของประเทศต่าง ๆ ซึ่งตนเข้าไปอยู่อาศัยอีกเช่นเคย เพราะเจ้าของประเทศมักจะคิดว่ายิวฉลาดมากไป เห็นแก่เชื้อชาติเดียวกันโดยไม่เห็นแก่ส่วนรวม ทั้ง ๆ ที่เป็นพลเมืองของประเทศนั้น ๆ และยังเอารัดเอาเปรียบสังคมในทุกแง่ นิสัยเสีย หน้าเลือด โดยเฉพาะทางด้านการค้าขาย การออกเงินกู้โดยคิดดอกเบี้ยเกินกว่าที่กฎหมายได้ระบุไว้ ยิวจึงถูกจองล้างจองผลาญไปทั่วยุโรปและตะวันออกกลาง

เมื่อเจ้าของประเทศเกิดความรำคาญมากขึ้น หลายประเทศในยุโรปจึงสั่งระงับไม่ให้ยิวมีสิทธิที่จะเป็นเจ้าของที่ดิน ห้ามไม่ให้มีการค้าขายกับคนยิว หรือแม้กระทั่งการให้ยืมสตางค์ใช้

หลายประเทศในยุโรปที่เกลียดยิวมาก ถึงกับเผาธง เผาโบสถ์ของพวกยิวทิ้ง ยิวนั้นแม้จะรักชาติ รักความเป็นยิว แต่ก็ไม่มีทางต่อสู้ใด ๆ ทั้งสิ้น ต้องเก็บกดกล้ำกลืนความแค้นไว้ในใจ

ในปี ค.ศ. ๑๒๙๐ อังกฤษประกาศขับไล่ยิวทุกคนให้ออกจากประเทศ หลังจากนั้นในปี ค.ศ. ๑๓๙๒ ฝรั่งเศสก็ออกคำสั่งเดียวกัน ตามด้วยสเปนในปี ค.ศ. ๑๔๙๒ โปรตุเกสในปี ค.ศ. ๑๔๙๗ ยิวต้องหนีหัวซุกหัวซุน พวกที่ไม่ยอมหนีจะถูกกักขังไว้ในเกตโต (Ghetto) อันเป็นสถานกักขังหรือนิคมซึ่งชาวยิวต้องอยู่รวมกัน

ในภายหลัง หลายประเทศในยุโรปพากันสร้างเกตโตกักขังชาวยิว เพื่อจำกัดเวลาและสถานที่ที่ประชาชนอื่นใดจะต้องอยู่ปะปนกับคนยิว ด้วยเหตุผลที่ว่า ยิวจะสร้างความเสื่อมและความอัปมงคลให้แก่ศาสนาคริสต์ (ทั้งนี้เพราะชาวยิวคือผู้ที่สังหารพระเยซูเจ้า)

นักวิจารณ์ทางสังคมศาสตร์เชื่อว่า ความที่ยิวต้องอยู่รวมกันเป็นกลุ่มก้อน ทนทรมานด้วยกันตลอดเวลา ก็ยิ่งสร้างความรักเชื้อชาติให้แก่ยิวมากขึ้นไปอีกจนท่วมท้น ยิ่งมีเวลาที่จะส่งเสริมบำรุงรักษาวัฒนธรรม ประเพณี และประวัติศาสตร์ของตนเองไว้ ชาวยิวจึงมีความแข็งแกร่งมากขึ้นในแง่นี้ ไปอยู่อาศัยในประเทศใดก็ไม่สามารถกลมกลืนกับชาวประเทศนั้น ๆ ได้

ในราวต้นศตวรรษที่ ๑๙ จนจดกลางศตวรรษนี้ โชคเอียงมาทางยิวบ้าง เมื่อชาวยุโรปเริ่มมีน้ำใจและทำลายเกตโตทิ้ง ยิวเริ่มที่จะมีอิสรภาพบ้าง ลูกหลานได้ไปโรงเรียนเป็นเรื่องเป็นราว ผู้ใหญ่ได้เข้าสังคม เป็นเจ้าของกิจการ อยู่ปะปนกับคนอื่นประเทศต่าง ๆ ที่เคยขับไล่ยิวมาก่อน ก็ยินยอมให้ยิวกลับคืนประเทศได้ ยิวเริ่มตั้งตัวกลายเป็นอัครมหาเศรษฐี โดยเฉพาะในประเทศใหม่คือสหรัฐอเมริกา

แต่แล้วสงครามโลกครั้งที่ ๒ (ค.ศ.๑๙๓๙-๑๙๔๕) ก็ระเบิดขึ้นในยุโรป ลัทธิชาตินิยมและลัทธิต่อต้านยิวที่ก่อตัวมานานปี เป็นแรงผลักให้ฮิตเลอร์และพลพรรคนาซีฆ่าชาวยิวถึง ๖ ล้านคน ด้วยความผิดที่ว่าพวกเขาเป็นยิว

เมื่อสงครามโลกครั้งที่ ๒ สงบ องค์การสหประชาชาติได้ถือกำเนิดขึ้น สมาชิกขององค์การสหประชาชาติเห็นพ้องต้องกันว่า ยิวรอบยุโรปที่รอดชีวิตมาได้และไม่มีที่จะไป ควรมีโอกาสกลับไปตั้งตัวใหม่ มีบ้านเมืองเป็นของตนเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่ยิวปรารถนาและเรียกร้องตลอดมา

ในที่สุดยิวก็ได้ก่อร่างสร้างประเทศอิสราเอลบนแผ่นดินปาเลสไตน์ -- แผ่นดินที่เคยเป็นของพวกเขามาก่อน โดยอาศัยอยู่ร่วมกับอาหรับ มุสลิม และคริสเตียน

ความขัดแย้งและการสู้รบได้เกิดขึ้นบนแผ่นดินนี้ตลอดเวลาล่าสุดคือการสังหารนายยิตซัก ราบิน นายกรัฐมนตรีอิสราเอลผู้ล่วงลับ ผู้พยายามนำสันติภาพมาสู่แผ่นดินอิสราเอล

สตรีชาวยิวที่เข้ามาอาศัยอยู่ในสหรัฐอเมริกา ทั้ง2ท่านมีอายุ 98 เเละ 102 ตามลำดับ
 





ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาเยี่ยมบล้อกนะคะ
ที่มาข่อมูล : https://sites.google.com/site/jewsheaven/home/prawati-chaw-yiw

 




Create Date : 19 ธันวาคม 2563
Last Update : 19 ธันวาคม 2563 23:52:20 น.
Counter : 1635 Pageviews.

0 comments
ร้านขายยา Apotek สวยสุดซอย
(9 เม.ย. 2567 20:13:40 น.)
วันหยุดอีสเตอร์ สวยสุดซอย
(28 มี.ค. 2567 16:00:25 น.)
วันที่หิมะยังคงอยู่ Rain_sk
(27 มี.ค. 2567 02:00:05 น.)
การหาหมอในแคนาดาดีกว่าไทยมั้ย? (ตอนที่ 1) สมาชิกหมายเลข 7508362
(23 มี.ค. 2567 08:29:21 น.)
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Kasana.BlogGang.com

สมาชิกหมายเลข 3661152
Location :
ชิคาโก  United States

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 6 คน [?]

บทความทั้งหมด