เจ้าหนี้ ตามคำพิพากษา สามารถเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลของลูกหนี้ได้เพียงใด ตามกฎหมาย PDPA Pacta Sunt Servanda เป็นสุภาษิตภาษาลาติน ที่แปลว่า สัญญาต้องเป็นสัญญา คือ พูดอะไรไว้ ก็ต้องรักษาคำพูด หากจะพูดถึงบริบทของการกู้หนี้ยืมสิน เจ้าหนี้ เมื่อได้ตกลงใจให้ยืมเงินแก่ลูกหนี้ ก็หวังว่าลูกหนี้จะรักษาคำพูด ถึงเวลาก็ต้องจ่ายหนี้ เมื่อไม่จ่าย ไม่ชำระหนี้ เจ้าหนี้ ก็อาศัยอำนาจตามกฎหมายในการฟ้องให้ลูกหนี้ชำระหนี้ หรือปฏิบัติตามสัญญาที่กำหนดไว้ แต่ถ้าไม่ทำ เจ้าหนี้ก็ได้คำพิพากษามาบังคับชำระหนี้ ซึ่งบางคดีอาจจะใช้เวลานับปี หรือหลายปี หรือกลายเป็นสิบปี ทุกข์ทนไม่น้อย ... กรณีเป็นหนี้เงิน แต่ลูกหนี้ไม่ยอมชำระ กลายเป็นทุกข์ของเจ้าหนี้ ที่จะต้องขอให้ศาลแต่งตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดี เพื่อบังคับชำระหนี้ แต่เรื่องก็ไม่ได้ง่าย เพราะเจ้าพนักงานบังคับคดี จะให้เจ้าหนี้ไปสืบทรัพย์สินของลูกหนี้มาว่าอยู่ที่ใดบ้าง ในบัญชีธนาคารมีเงินไหม อยู่ที่ธนาคารไหนบ้าง มีที่ดิน ฯลฯ อะไรที่ไหนบ้าง ... แน่นอนที่สุด สถาบันการเงิน ฯลฯ มักจะปฏิเสธโดยอ้าง PDPA ว่าเป็นข้อมูลส่วนบุคคลของลูกหนี้ ธนาคาร มีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ของสถาบันการเงิน/ธนาคารแห่งประเทศไทย คือเก็บรักษาไว้เป็นความลับ แม้จะมีคำพิพากษามาก็ตาม ... กรณีนี้ ถือเป็นความเข้าใจผิด อ้างกฎหมายผิด และผิดหลักเหตุผล คือ อ้างว่ามีกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล จึงเปิดเผยไม่ได้ บอกรายละเอียดทรัพย์ของลูกหนี้ไม่ได้ และอ้างผิดครั้งที่สอง คือ อ้างว่ามี กฎหมายที่ควบคุมสถาบันการเงิน ห้ามมิให้เปิดเผยข้อมูลของลูกหนี้ กรณีนี้ คือ อยู่ดี ๆ ไปเปิดเผย ไม่ใช่ กรณีมีคำพิพากษาของศาลมาเแล้ว ... ตาม พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนุคคล พ.ศ.๒๕๖๒ มาตรา ๔ (๕) สรุปความ กฎหมาย PDPA ไม่ใช้บังคับกับการดำเนินงานของเจ้าหน้าที่ในกระบวนการบังคับคดี กรณีนี้ หากเป็นการดำเนินการของเจ้าพนักงานบังคับคดีโดยตรง ก็จะได้รับการยกเว้น กล่าวคือ หากเจ้าหน้าที่ต้องการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับทรัพย์ของลูกหนี้ ก็ไม่ต้องอาศัยความยินยอมของลูกหนี้ แต่ประการใด ... อย่างไรก็ตาม ในทางปฏิบัติ จะพบว่าเจ้าพนักงานบังคับคดี ไม่เคยสืบทรัพย์ด้วยตนเอง แต่จะให้เจ้าหนี้ไปสืบทรัพย์ของลูกหนี้ จึงเป็นการยากที่แปลความขยายตาม มาตรา ๔(๕) ของกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ให้รวมถึงการสืบทรัพย์ของเจ้าหนี้ด้วย .... แม้กระนั้นก็ตาม ตาม มาตรา ๒๔(๕) กำหนดข้อยกเว้นที่ไม่ต้องอาศัยความยินยอมของลูกหนี้ ในการสืบทรัพย์ รวบรวมข้อมูลของลูกหนี้ คือ กรณีที่ธนาคาร (ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล) ได้รับคำพิพากษาของเจ้าหนี้ ย่อมเห็นได้ว่า เป็นผลประโยชน์โดยตรงของเจ้าหนี้ ซึ่งตาม กฎหมายนี้ มาตรา ๒๔(๕) ให้อำนาจผู้ควบคุม ต้องส่งข้อมูลส่วนบุคคลให้เจ้าหนี้ หากพิจารณาแล้ว เป็นประโยชน์ของธนาคาร หรือเจ้าหนี้ (บุคคลอื่นที่ไม่ใช่ผู้ควบคุม) กรณี้ ย่อมมีพันธะหน้าที่จะต้องส่งมอบข้อมูลให้กับเจ้าหนี้ โดยจะต้องจัดทำบันทึกกิจกรรม (ROPA) ไว้อย่างชัดเจน ในการเปิดเผยข้อมูลนั้น .... สำหรับเหตุผลที่ผู้เขียนเห็นว่า ธนาคารฯ ต้องเปิดเผยข้อมูลทรัพย์สินลูกหนี้ นอกจากหลักสุภาษิตลาตินทั่วไปแล้ว หลักการสำคัญ คือ มีเหตุที่ธนาคารจะต้องปฏิบัติ คือ มีคำพิพากษาของศาลแล้ว ธนาคารเพียงชั่งนำหนัก #### ปัจจัยที่ (๑) ประโยชน์อันชอบธรรมที่เจ้าหนี้ กับลูกหนี้ และธนาคาร มีส่วนเกี่ยวข้อง มากน้อยเพียงใด #### ปัจจัยที่ (๒) การเข้าถึงข้อมูลของลูกหนี้ มีกี่วิธีการ และวิธีการที่ธนาคารต้องเปิดเผย เป็นวิธีการที่จำเป็นมากน้อยเพียงใด สำหรับผู้เขียน เห็นว่า ตามหลักกฎหมายปกครอง ไม่จำเป็นต้องการจำเป็น และเหลือวิธีการเดียวแต่ประการใด แต่ต้องชั่งน้ำหนัก ในบรรดาวิธีการต่าง ๆ นั้น วิธีการนี้ จำเป็นและร้ายแรงน้อยที่สุด #### ปัจจัยที่ (๓) หลักสัดส่วน และกระทบต่อผลประโยชน์ของลูกหนี้ตามหลักสัดส่วน โดยพิจารณาจากปัจจัยทั้งหมด ................ ผู้เขียนจึงเห็นว่าถ้าธนาคารไม่ให้ข้อมูลฯ ถือว่ากระทำละเมิดต่อเจ้าหนี้ ฯ ย่อมฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจากหนี้ที่ไม่ได้รับนั้นได้จากธนาคาร และการตีความนี้ จะช่วยให้สังคมสงบสุข เพราะหากเจ้าหนี้ ที่ต้องเสียทรัพย์สินมากมาย ทั้งทรัพย์ต้นทุน และค่าใช้จ่ายในการได้กระดาษคำพิพากษามานั้น ไม่อาจจะบังคับคดีได้ อย่างนี้ เจ้าหนี้ ก็อาจจะใช้วิธีการอื่นที่อาจจะนำมาซึ่งความขัดแย้งและอาชญากรรมรุนแรงต่อลูกหนี้ อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ซึ่งไม่คุ้มค่าเลย ............... หมายเหตุ การตีความ PDPA เป็นการตีความแบบพิสดาร ไม่ผูกพันกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล กรรมการผู้เชี่ยวชาญ หรือสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล แต่ถ้าใครนำไปใช้ ขอให้เจริญ ๆ ๆ |
บทความทั้งหมด
|







ผู้ติดตามบล็อก : 82 คน [