Investor Joe กับสายการบิน (4)



Investor Joe กับสายการบิน (4):สุดท้ายแล้วกับ TAA




*เขียนเมื่อ 9/21/18 ที่ Ann Arbor, MI


คิดว่าตอนที่ 4 นี้จะเป็นตอนสุดท้ายเกี่ยวกับเรื่องสายการบินแล้วนะครับในตอนนี้ Investor Joe จะมาดูว่ามีข้อมูลอะไรที่น่าจะเป็นประโยชน์ต่อการวิเคราะห์ AAV อีกไหม แต่ออกตัวไว้ก่อนว่า Investor Joe เป็นนักดนตรี เพราะฉะนั้นหากตกหล่นข้อมูลอะไรไป กราบขออภัยท่านผู้อ่านมา ณ ที่นี้ด้วยข้อมูลที่หามาได้ก็มาจาก google ทั้งนั้นแหละครับ เข้าเรื่องกันเลยดีกว่า


Let’s อิมแมจิ้น . . . .

1) สายการบินบ้านเราเกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและฤดูกาลแบบแนบชิดสนิทกันเหมือนปาท่องโก๋

a. ดูจากสถิติบนหน้าข่าวหนังสือพิมพ์จำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางมายังประเทศไทยยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเกิดเหตุบ้าเหตุบออะไรที่เมืองไทยยังไง๊ . . . คนก็ยังแห่มาเที่ยวเมืองไทย ขนาดฝรั่งเมืองแอน อาร์เบอร์ที่ Investor Joe อาศัยอยู่ยังอยากจะมาเที่ยวเมืองไทยเลยครับ เมื่อฤดูร้อนที่ผ่านมา Investor Joe ได้มีโอกาสกลับไปอยู่เมืองไทย ก็เห็นแต่นักท่องเที่ยวโดยเฉพาะชาวเอเชียแน่นขนัดนี่ยังไม่นับพวก expat ที่มาทำงานที่เมืองไทยอีกไม่รู้เท่าไรต่อเท่าไร ห้างบางห้างนี่ ขยี้ตาแล้วขยี้ตาอีก แทบหาคนไทยไม่เจอ

b. แต่อย่างไรก็ตามเมืองไทยไม่สะดวกเที่ยวทุกฤดูกาล นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติมักจะเดินทางกันเยอะช่วงปลายปี-ต้นปี คือ ปลายฝนต้นหนาวและช่วงวันหยุดยาว เพราะฉะนั้นช่วงไตรมาส 2-3 จึงแผ่วๆ ไป แต่จะกลับมาคึกคักช่วงไตรมาส 4-1 เสมอ

c. รัฐบาลไม่มีทางปล่อยให้ธุรกิจการท่องเที่ยวแย่หรอก นี่คือรายได้หลักของเขาเลยนะ พอเกิดเรื่องเรือจีนล่ม นักท่องเที่ยวจีนลดลง มีนโยบายลงมาทันทีเลย โดยจะมีโปรโมชั่นให้คนจีนไม่ต้องเสียค่าวีซ่าผ่านทาง ทำทุกอย่างเพื่อเรียกแขกกลับมา


2) Investor Joeรู้สึกว่าการเดินทางด้วยเครื่องบินโดยสารภายในภูมิภาคยังมีช่องให้เติบโตอีกมาก

a. ด้วยระบบไร้สายที่สะดวก ทำการตลาดง่ายขึ้น มีโปรโมชั่นเด้งขึ้นมาบนทีวีหรือในมือถือตลอด, มีการจับกลุ่มกันของนักเที่ยวใน line, มีคน baby boomer ที่กำลังจะเกษียณอีกมากที่ต้องหาอะไรทำ (ส่วนใหญ่ก็ไปเที่ยว), รวมไปพฤติกรรมของคน millennial ที่รักความเป็นอิสระต้องค้นหาตัวเอง ทำให้เกิดแรงกระตุ้นให้ออกเดินทาง

b. Penetration rateของจำนวนประชากรที่ใช้เครื่องบินโดยสารยังน้อยอยู่เมื่อเทียบกับจำนวนประชากรทั้งหมดในภูมิภาค

c. ยังมีอีกหลายประเทศ หลายเมือง ในรัศมี 4 ชั่วโมงที่ TAA ยังไม่ได้มีเส้นทางบินไป ค่อยๆ เปิดเส้นทางนี้ ปิดเส้นทางนั้น ปรับไปเรื่อยๆ ก็ยังมีช่องทางสร้างตลาดได้อีกมากอีกทั้ง TAA มีเป้าหมายจะเพิ่มเครื่องบินในฝูงทุกปี โดยในปี 2020 ตั้งเป้าเอาไว้ว่าจะมีเครื่องบินทั้งหมด 70-72 ลำ

d. เดี๋ยวนี้ซื้อตั๋วง่าย จ่ายง่ายเงินไหลออกจากบัญชีง่าย ใช้เวลาเพียง 15 นาทีก็สามารถซื้อตั๋วไปเที่ยวได้ คลิ๊ก คลิ๊ก คลิ๊ก!

e. ราคาตั๋วเครื่องบินแทบจะพอๆ กับราคาตั๋วรถไฟและรถทัวร์แล้ว จะไปเสียเวลาอินดี้หลายชั่วโมงทำไมกัน นั่งเครื่องบินดีกว่า

f. ทอท. (AOT) เพิ่งจะประกาศขยายสนามบินดอนเมือง เฟส 3 สร้างและปรับปรุงสนามบินรองทั่วประเทศ คิดเป็นจำนวนเงินหมื่นๆ ล้านบาท ถ้าสำเร็จก็จะเป็นการกระตุ้นให้คนใช้เครื่องบินไปในตัว  บินไปโน่นบินไปนี่กันสนุกเลยคราวนี้


.......................

Investor Joe อิมแมจิ้น ข้อ 1) และ 2)


จำนวนนักท่องเที่ยว, ผู้เดินทางโดยเครื่องบินและสนามบินที่มากขึ้นจะทำให้มี AAV รายได้เพิ่มขึ้นทุกๆ ปีตามลำดับ แต่รายได้ก็มักจะลดลงในช่วงไตรมาส 2-3 เสมอ จึงทำให้เดารายได้ทั้งปีได้ยากแต่ bottom line คือ อย่างไรเสีย รายได้จะต้องเพิ่มขึ้นทุกปี


3) กำไรของสายการบินมักแปรผกผันกับราคาน้ำมันดิบและค่าเงิน

a. คือ น้ำมันแพง = กำไรลดลง/น้ำมันถูก = กำไรดี เนื่องจากต้นทุนหลักของสายการบินคือ jet fuel เมื่อไรก็ตามที่ราคาน้ำมันแพงก็มักจะไปกินกำไรเสมอ แต่ TAA ก็ใช้คนน้อยอยู่แล้ว และอีกทั้งก็ยังมีรายได้จากค่า fee ต่างๆ ที่เพิ่มขึ้นทุกปีมาบรรเทาผลกระทบจากราคาน้ำมันอยู่

b. ราคาน้ำมันอยู่นอกเหนือการควบคุมและคาดเดาของทุกๆ คน จะให้ไปทำ hedging ตลอดเวลาก็ไม่ใช่เรื่อง ไม่ใช่ธุรกิจของเขา Investor Joe เห็นว่าราคาน้ำมันขึ้นลงนี่เป็นเรื่องการเมือง ทำอะไรกับมันไม่ได้

c. ข่าวดีก็คือ ราคา commodities ทั้งหลายนั้นมีการขึ้นลงเป็นวัฎจักร มันขึ้นไปสูง เดี๋ยวมันก็ลงมา

d. เครื่องบินรุ่นใหม่ เช่น Airbus A320NEO หรือ Boeing 737Max ก็สามารถประหยัดน้ำมันกว่าเดิมถึง 20% พอจะลดผลกระทบจากราคาน้ำมันที่ผันผวนไปได้นิดนึง

e. ค่าใช้จ่ายของ AAV นั้นใช้เงินสกุล USD ชำระ แต่รายได้รับเป็นเงินบาท ถ้า USD appreciate มาก อาจเป็นเหตุให้ขาดทุน fx ได้

f. ข่าวดี (อีกแล้ว) ค่าเงินก็เป็น commodities อย่างหนึ่ง มันแข็ง เดี๋ยวมันก็อ่อนอุ๊ปส์ ไม่ได้ทะลึ่งนะ


.......................

Investor Joe อิมแมจิ้น ข้อ 3)


เวลาที่น้ำมันราคาแพง ทุกสายการบินย่อมได้รับผลกระทบอย่างเท่าเทียมกันแต่สายการบินที่จัดการต้นทุนได้ดีจะอยู่รอดในระยะยาว จากประวัติศาสตร์ของ AirAsia นั้น ในปีที่น้ำมันดิบขึ้นไปจนถึงราคา $100/barrel และ USD appreciate สุดๆ ในเขาก็ยังทำกำไรได้ถึงแม้จะน้อยแต่ก็ยังมีกำไร ค่าเงินนั้นไม่ได้มีผลกระทบอะไรอย่างมีนัยยะสำคัญ Investor Joe คิดว่าเวลาที่ราคาน้ำมันขึ้นสูงเป็นโอกาสที่ควรเข้าซื้อเพราะราคาหุ้นมักจะลงตามกำไรที่ลดลง แต่เมื่อราคาน้ำมันกลับสู่ระดับปกติ เดี๋ยวกำไรก็จะกลับมาเอง


4) คนมักบอกว่าธุรกิจสายการบินนี่มีการแข่งขันที่สูงราคาตั๋วถูกควบคุมโดยหน่วยงานรัฐบาล

a. จริงแต่การแข่งขันกันก็ทำให้คนที่อยู่รอดมีกำลังที่จะกิน market share คนที่อ่อนแอไปได้เรื่อยๆ เมื่อ 5 ปีที่แล้ว TAA มีส่วนแบ่งทางการตลาดเพียง 20+% เท่านั้นเอง วันนี้มีถึง 30+% คู่แข่งหลายรายก็ยังขาดทุนอยู่ร่ำไป คู่แข่งบางรายก็หายไปจากธุรกิจแล้ว

b. สายการบินที่บริหารจัดการต้นทุนได้ดีจะสามารถตั้งราคาตั๋วที่ต่ำได้ นี่คือคนกำหนดราคาตลาด การแข่งขันของ LCC อยู่ที่ราคาตั๋วที่ “ใครๆ ก็บินได้” อย่างไรก็ตามสายการบินแต่ละสายการบินมีความสามารถในการจัดการต้นทุนได้ไม่เท่ากัน หากต้องลดราคาตั๋วลงมาให้เท่ากันกับผู้เล่นเจ้าอื่นๆ แต่ตัวเองจัดการต้นทุนได้ไม่ดีเท่ากับเขาก็เสี่ยงกับการขาดทุนเท่ากับไม่มีความสามารถในการแข่งขัน กลับไปอ่านที่ข้อ a.

c. ราคาตั๋วมีเพดานกำหนดเอาไว้ก็จริงแต่ไม่มีใครขายตั๋วเต็มราคาเพดานอยู่แล้วถ้าไม่ใช่ตั๋วประเภทที่ซื้อวันนั้นขึ้นเครื่องวันนั้น คนส่วนมากซื้อตั๋วล่วงหน้า จึงไม่ใช่เรื่องที่ต้องน่าวิตก


.......................

Investor Joe อิมแมจิ้น ข้อ 4)


TAA ได้สถาปนาตัวเป็นผู้อยู่รอดได้ในระยะยาวท่ามกลางกระแสการแข่งขันที่รุนแรงนอกจากนั้น Investor Joe เห็นว่า TAA มีอำนาจในการตั้งราคาตลาดในประเทศสูงเพราะเป็นผู้เล่นที่มีต้นทุนการดำเนินงานที่ต่ำ ซึ่งเมื่อรวมไปถึงตัวเลขต่างๆ ที่ได้ชี้แจงเอาไว้ในตอนที่ 3ล้วนเป็น moat ที่คู่แข่งเอาชนะ TAA ได้ยาก


.......................

Investor Joe อิมแมจิ้นสรุป


จากทุกคำที่ Investor Joe ได้กล่าวมา มีความเห็นว่าในเรื่องโมเดลธุรกิจ AAV เป็นผู้ที่อยู่รอดได้ในระยะยาว เป็นธุรกิจที่ใกล้ตัวต้องกินต้องใช้ มีแบรนด์ มีสไตล์ มีอำนาจการต่อรอง/ตั้งราคา มีการเก็บแต้ม Big Loyalty ทำให้ลูกค้ามีการใช้ซ้ำและมีต้นทุนในการเปลี่ยนไปใช้เจ้าอื่นมี moat ที่เหนือกว่าคู่แข่งในประเทศอย่างเห็นได้ชัด มี growth story ที่พอจะเห็นว่าเป็นจริงได้ เมื่อย้อนกลับไปอ่านบทสัมภาษณ์ในอดีตผู้บริหารก็ทำได้จริงอย่างที่ว่าไว้เสมอ แต่เมื่อดูตัวเลขทางการเงินจะเห็นว่าราคาน้ำมันมีผลกระทบกับกำไรมากพอสมควรกำไรก็คงจะขึ้นๆ ลงๆ ไม่สม่ำเสมออย่างนี้แหละ คงมีบางปีที่ถึงกับปริ่มๆ ขาดทุน เมื่อดูค่า ROA, ROE, GPM, NPM, dividend yield ก็เห็นจะเป็นเพียงหุ้นธรรมดาๆไม่ได้ดีเด่อะไรนัก แต่ก็ดีกว่าคู่แข่งนะฮะ หากจะให้วางตำแหน่งของ AAV ว่าเป็นหุ้นประเภทไหน Investor Joe คงจะเรียก AAV ว่าเป็นเป็นหุ้น “วัฐจักร” เพราะราคาขึ้นลงตามสวนทางกับราคาน้ำมัน


เวลานี้ที่ราคาน้ำมันกำลังอยู่ในช่วงขาขึ้นสวนทางกับราคาหุ้น AAV ที่ลงมาตลอด จนถึงขณะนี้ P/BV ต่ำกว่า 1 แล้ว Investor Joe จำได้ว่า AAV เคยมี P/BV ต่ำกว่า 1 ครั้งเดียวตอน IPO ใหม่ๆ แล้วราคาก็ไหลลงไปจนหลุด 4 บาท แล้วก็วิ่งไป 7 บาทกว่าๆ ลงมา 4 บาท วิ่งไปบาทกว่าๆ ใหม่ แล้วก็ลงมาจนทำจุดต่ำสุดรอบนี้ที่ 4.1x บาทนี่คงจะเป็นโอกาสดีในการเข้าซื้อนะครับ ในระยะสั้น ดูท่าพี่ Trump จะคว่ำบาตรไม่ให้ชาติพันธมิตรสั่งน้ำมันจากอิหร่านจะทำให้ราคาน้ำมันขึ้นสูงไปอีก รอให้ประกาศงบไตรมาส 3 ก่อน Investor Joe คิดว่างบจะออกมาไม่ดี ซื้อตอนนั้นก็ยังไม่สาย ถือรอจนถึงรอบขาขึ้นอีกครั้งเมื่อราคาน้ำมันลดลง


ทุกครั้งที่ Investor Joe จะลงทุนในบริษัทอะไรก็มักจะมีขั้นตอนตั้งแต่ตอนที่ 1-4 เช่นนี้แล หวังว่าเรื่องสายการบินจะเป็นประโยชน์กับเพื่อนนักลงทุนทุกคน ว่าแต่ ไม่ต้องเชื่อ Investor Joe ไปซะหมดนะครับ เงินของท่าน ท่านรับผิดชอบเองวันนี้ขอลาไปดูหนังกับภรรยาก่อนนะครับ




Create Date : 11 พฤศจิกายน 2561
Last Update : 11 พฤศจิกายน 2561 7:33:42 น.
Counter : 414 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Joeparinya.BlogGang.com

drparinyamusic
Location :
Ann Arbor, Michigan  United States

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]