The Phantom of the Opera, แฟนธอม ของ ชูมัคเกอร์
ถ้าจะให้พูดถึงผลงานของผู้กำกับโจเอล ชูมัคเกอร์ ผมนึกถึงห่อของขวัญสวยๆ ที่รูปแบบภายนอกดูสะดุดตา ชูมัคเกอร์เก่งตรงนี้ เขาสร้างหนังของเขาให้ดูสะดุดตา น่าค้นหา ด้วยงานสร้าง ด้วยแนวคิด ด้วยโครงเรื่อง ตัวอย่างหนังที่มีสีสัน เย้ายวนให้เราอยากเข้าไปแกะดู แต่เมื่อเปิดกล่องดูของข้างในแล้วนั่นเป็นอีกเรื่อง หนังของชูมัคเกอร์หลายเรื่องที่ประสบความสำเร็จได้เพราะเขาได้บทหรือนักแสดงที่ดี ซึ่งเป็นเหมือนของที่อยู่ในกล่องที่เราไม่รู้ว่าจะเป็นอะไร แต่บางครั้งเปิดออกมาก็ถูกใจเรา เป็นต้นว่า Phone Booth ที่ได้การแสดงที่ลื่นไหลของคอลิน ฟาเรล กับ คีเฟอร์ ซุทเธอร์แลนด์ ช่วยเอาไว้ หรือ Flatliners ที่ได้แนวคิดที่แปลกใหม่กับการเล่าเรื่องที่ดีของชูมัคเกอร์ทำให้เราสนุกตาม แต่หลายเรื่องที่ไม่ประสบความสำเร็จก็เพราะบทหนังไม่ดี แม้ว่าจะได้นักแสดงที่ดีก็ตาม เป็นต้นว่า The Good Company ที่แนวคิดการนำแอนโธนี ฮอปกิ้น ประชันกับคริส ร็อก เป็นแนวคิดที่ดูเย้ายวน แต่หนังที่น่าเบื่อมากๆ


แล้ว The Phantom of the Opera นี่ล่ะ ภายนอกของหนังเป็นอะไรที่เย้ายวน ดูมีเสน่ห์จริงๆ แต่เมื่อเข้าไปดูข้างในแล้ว มันก็เป็นของที่ใช้ได้ครับ มันไม่ถูกใจผมทั้งหมด มันเกือบน่าเบื่อ แม้ว่าผมจะค่อนข้างตั้งความหวังกับชูมัคเกอร์ไว้สูงสำหรับหนังเรื่องนี้ ผมคิดว่านี่เป็นหนังที่เป็นทางของเขา คือสามารถให้เขาสร้างสรรค์งานสร้างได้อลังการในรูปแบบที่เขาถนัด หนังมีเรื่องราวสยองขวัญที่เป็นแนวหนังที่เขาทำประสบความสำเร็จที่สุด เขาน่าจะทำออกมาได้ยอดเยี่ยม แต่หนังทำได้ยอดเยี่ยมเพียงด้านงานสร้างและเทคนิคเท่านั้น หนังกลับดูธรรมดาในแง่ของการเล่าเรื่อง ปัจจัยสำคัญที่ช่วยอุ้มหนังเรื่องนี้ให้ผมดูได้ตลอดรอดฝั่งก็คือ เอมี่ รอสซั่ม ผู้มารับบทคริสตีน และเพลงอันอมตะของแอนดรูว์ ลอยด์ เว็บเบอร์


แล้วหนังเรื่องนี้ของชูมัคเกอร์ผิดพลาดตรงไหน ผมคิดว่าหนังเป็นเพราะชูมัคเกอร์มองเรื่องราวของ The Phantom of the Opera เป็นเรื่องราวของรักสามเส้า โรแมนติกมากกว่าเป็นเรื่องราวสยองขวัญ และเน้นไปที่เรื่องราวความรักระหว่างคนสามคนมากเกินไป นั่นก็คือตัวของแฟนธอมที่รับบทโดยเจอราร์ด บัทเลอร์, ราอูล ที่รับบทโดยแพทริค วิลสัน และคริสตีน ที่รับบทโดยรอสซั่ม แทนที่จะแสดงความร้ายกาจของแฟนธอม ผู้ที่เป็นเหมือนอัจฉริยะโรคจิตแบบฮันนิบาล เล็คเตอร์ ให้มากกว่านี้ ทำให้หนังความยาวสองชั่วโมงนิดๆ ดูน่าเบื่อไปในบางครั้ง ขาดความตื่นเต้นเท่าที่ควร แต่นี่อาจเป็นเนื้อเรื่องดั้งเดิมในฉบับละครบรอดเวย์ของลอยด์ เว็บเบอร์ ก็เป็นได้ ผมไม่เคยได้ดูงานละครเรื่องนี้ นอกจากฉบับหนังสยองขวัญขาวดำของลอน เชนนี่ย์ แต่ผู้กำกับหนังที่ดีควรรู้ว่าส่วนไหนควรนำมาถ่ายทอดและดัดแปลงเพิ่มเติมให้เหมาะสม


หนึ่งฉากที่ผมชอบที่สุดในหนังก็คือฉากเปิดเรื่องตอนที่ตัวละครในวัยชราแล้วไปที่โรงละครเพื่อประมูลสิ่งของในโรงละครโอเปร่า จากนั้นเราก็ย้อนสู่ยุคที่โรงละครแห่งนี้รุ่งเรืองผ่านสายตาของตัวละคร ฉากที่เปลี่ยนจากขาวดำเป็นสีทำออกมาได้น่าตื่นตาตื่นใจมาก รวมถึงการแพนของกล้องที่ชอนไชให้เห็นทุกส่วนของโรงละครไปพร้อมๆ กับเพลงเปิดฉาก เป็นภาพที่น่าทึ่งจริงๆ ครับ ส่วนอีกฉากที่ผมชอบที่สุดก็คือฉากงานเต้นรำสวมหน้ากากที่แสดงให้เห็นถึงความสามารถของชูมัคเกอร์เรื่องการควบคุมงานสร้าง เป็นหนังที่ทำได้ตื่นตาไม่แพ้กัน


ในส่วนของนักแสดง อย่างที่เกริ่นตอนต้นว่าหนังเรื่องนี้ได้รอสซั่มช่วยอุ้มเอาไว้ เธอเป็นจุดศูนย์กลางของหนังและเธอก็ถ่ายทอดตัวละครออกมาให้มีเสน่ห์ รวมถึงใบหน้าที่สวยแบบไร้เดียงสาของเธอ หนังดูน่าดูทุกครั้งที่มีเธออยู่บนจอ เธอร้องเพลงได้ไพเราะ ถ่ายทอดเพลงออกมาได้ไปพร้อมๆ กับการแสดงสีหน้าที่เข้ากับเพลง วิลสันนั้นก็ทำได้ดีในบทของสุภาพบุรุษหน้ามลผู้รักจริง เรื่องเสียงร้องนั้นไม่ต้องพูดถึง เขาเป็นนักแสดงละครบรอดเวย์อยู่แล้ว นักแสดงสมทบทุกคนก็ทำได้ดีเช่นกัน มิแรนดา ริชาร์ดสันในบทครูฝึก เคียอาเรน ไฮนด์ และ ไซมอน โคเวน ในบทสองผู้จัดการโรงละคร สร้างสีสันให้กับหนังได้ดีเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะสองคนหลังที่ทำให้ผมรู้สึกขบขันได้อยู่ตลอดที่ออกฉากมา ส่วนมีมี่ ไดเวอร์ในบทดาราใหญ่ของโรงละครออกจะดูเวอร์ไปนิดจนเหมือนนางอิจฉาในละครดาวพระศุกร์ บางครั้งก็เวอร์กำลังดี บางครั้งก็เวอร์จนน่ารำคาญ


ส่วนแฟนธอมของเรา เป็นตัวละครสำคัญ แต่ความสำคัญกลับถูกคริสตีนกลบหมด อาจเพราะการแสดงที่หาความน่าเกรมขาม น่ากลัวไม่ได้เลยของบัทเลอร์ ตัวละครในหนังพูดถึงความน่ากลัวสารพัดของแฟนธอม แต่ทุกครั้งที่ออกฉาก เขาดูเหมือนซอร์โรมากกว่าจะเป็นแฟนธอม ดูลึกลับบ้าง แต่ไม่น่ากลัว ไม่รู้สึกเลยสักนิดว่าชายผู้นี้จะเป็นฆาตกรโหดได้ บัทเลอร์ไม่สามารถถ่ายทอดด้านที่น่ากลัวของแฟนธอมออกมาได้เลย ทำให้ดูไม่น่าเชื่อเมื่อเขาทำสิ่งที่ร้ายกาจ และแม้ว่าเขาจะมีเสียงที่เหมาะสมกับแฟนธอม แต่เขาดูเหมือนออกมา ?ร้องเพลง? มากกว่า ?แสดงหนังเพลง? ส่วนที่ดีที่สุดในการแสดงของบัทเลอร์อยู่ช่วงท้ายเรื่องที่แสดงความเจ็บปวดรวดร้าว เขาทำได้ดีในช่วงนั้น


มาที่เรื่องของเพลงบ้าง ลอยด์ เว็บเบอร์เก่งอยู่แล้ว เพลงละครของเขาเป็นอมตะและฟังกี่ครั้งก็ยังไพเราะ ผมฟังซาวด์แทร็คของ The Phantom of the Opera ครั้งแรกเมื่อสิบปีก่อน ได้ฟังอีกครั้งในหนังก็ยังชื่นชอบอยู่ ด้วยภาพอันน่าตื่นตาและการแสดงของรอสซั่มทำให้เคลิบเคลิ้ม แต่ชูมัคเกอร์น่าจะตัดทอนบางส่วนออกไปบ้าง ถ้าไม่ใช่เพราะมีเพลงที่ไพเราะมากๆ และการแสดงที่ดีของนักแสดง การใช้บทเพลงเป็นบทสนทนาตลอด 2 ชั่วโมงของหนัง ทำให้เราเบื่อได้ ตัวอย่างเช่นฉากที่สุสานนั่น ตอนนั้นเป็นตอนที่ผมรู้สึกเริ่มจะเบื่อแล้ว ยังดีเติมฉากฟันดาบเข้าไปทำให้มีแอ็คชั่นที่ทำให้รู้สึกตื่นขึ้นมา


กล่าวโดยสรุป อย่างที่ผมเกริ่นเอาไว้ ผมหวังไว้สูงสำหรับหนังเรื่องนี้ ซึ่งเป็นธรรมดาที่คาดหวังสูงก็ย่อมรู้สึกผิดหวังบ้างเมื่อหนังทำไม่ได้ตามที่คาดหวัง แต่หนังเรื่องนี้ไม่ใช่หนังที่แย่ เป็นเพียงหนังเพลงที่ใช้ได้เรื่องหนึ่ง



Create Date : 07 กุมภาพันธ์ 2552
Last Update : 7 กุมภาพันธ์ 2552 10:18:58 น.
Counter : 1879 Pageviews.

1 comments
  
แฟนธ่อม แค่ฟังแต่เพลงก็แทบจะเล่าเรื่องได้ จินตนาการได้บรรเจิด เพลงก็ทำไว้เพื่อละครโดยเฉพาะ พอมาอยู่ในหนังทำไมความขลังมันหายไปไหนหมดไม่ทราบ

แม้ว่าคริสตีนจะร้องได้โออยู่ (ถึงจะเทียบต้นฉบับไม่ได้ก็เหอะ) แต่เสน่ห์ของเสียงมันไม่มัดใจเหมือนชมละคร คงเพราะความสดกระมัง?

และที่ทนไม่ได้คือเสียงของเจอราร์ด บัตเลอร์นั่นแหละ หุๆๆ แฟนธ่อม เป็นครูให้คริสตีน แต่ร้องได้..ปวดเฮดมาก แล้วเห็นด้วยว่าเล่าเรื่องได้น่าเบื่อ แม้จะมีโปรดักชั่นอลังการมาช่วยก็เหอะ
โดย: หมีบางกอก (Bkkbear ) วันที่: 11 มิถุนายน 2552 เวลา:21:55:52 น.
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

Jediyuth.BlogGang.com

JEDIYUTH
Location :
กรุงเทพ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]

บทความทั้งหมด